เพราะความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อราชครูหลี่ จึงพระราชทานปูนบำเหน็จความชอบอยู่มิขาด เรียกได้ว่าฐานะและชื่อเสียงของท่านราชครูนั้น มิได้ด้อยไปกว่าจวนของเสนาบดีแต่ละฝ่ายเลย
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าหลวงเหล่านั้นรัศมีช่างแรงกล้านัก” สวีซื่อ ฮูหยินบ้านรองกล่าวขึ้น หลายวันที่ผ่านมา พวกนางต้องอยู่อย่างหวาดผวา ไม่กล้าย่างเท้าออกจากเรือน ดีที่ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น จึงสามารถยกเป็นข้ออ้างในการไม่ออกนอกเรือน
“อืม” ฮูหยินผู้เฒ่าเผลอพยักหน้าคล้อยตามลูกสะใภ้อย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วพลันต้องชะงักหน้าค้างเอาไว้ แล้วกลับมานั่งหลังตรงดังเดิม
“ฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องสินเดิม” จางซื่อเอ่ยขึ้น เมื่อนางนึกถึงเรื่องสำคัญในตอนนี้ ข้าหลวงกลับวังไปแล้ว หากพวกนางรายงานความคืบหน้าต่อฮองเฮา แน่นอนว่าไม่นานนี้ ขบวนของหมั้นหมายจักต้องตามมาอย่างแน่นอน
“อืม เคยเตรียมเช่นไรก็ทำเช่นนั้น ถิงเอ๋อร์ไร้ซึ่งวาสนาแล้ว เดิมทีมันควรเป็นของเจียวเอ๋อร์ตั้งแต่แรก ในเมื่อเจ้าของตัวจริงกลับมาก็คืนไปเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวน้ำเสียงเหนื่อยล้า พูดจบก็ไล่บรรดาลูกสะใภ้กลับไป
จางซื่อลอบกำหมัดอยู่ภายใต้แขนเสื้อ เจ็บใจจนแทบจะกระอักเลือดออกมาจากทวารทั้งเจ็ด เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ คล้ายว่าแม่สามีไม่ไยดีกับเรื่องนี้เลยสักนิด
สำหรับฮูหยินผู้เฒ่านั้น หลานคนใดได้เป็นพระชายาก็ล้วนแต่เชิดหน้าชูตาด้วยกันทั้งสิ้นกระมัง แต่ถิงเอ๋อร์ของนางเล่า ต้องปฏิเสธแม่สื่อที่มาทาบทาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาประพฤติตนอยู่ในธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่เท่ากับว่า ข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วรื้อสะพานหรอกหรือ เช่นนั้นนางจะยอมได้อย่างไร ในเมื่อจวนนี้ไม่มีความสามารถช่วยเหลืออะไรได้ เห็นทีว่านางคงต้องขอความช่วยเหลือจากฝั่งบิดาเสียแล้ว
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หลี่เจียวเหนื่อยไม่น้อย วันนี้จึงเป็นวันที่นางสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด เฝ้านับวันรอเรื่องการกลับมาของคนผู้นั้นด้วยใจจดจ่อ
“คุณหนูชาร้อน ๆ เจ้าค่ะ” ฉินซินสาวใช้ข้างกายเรียกเจ้านาย ที่ตอนนี้สติล่องลอยไปยังพื้นที่ห่างไกล
“อืม” หลี่เจียวรับคำในลำคอ จากนั้นก็ยกชาขึ้นจิบเพื่อขับไล่ ความเหน็บหนาว
“คุณหนูเจ้าคะ คนเรือนในส่งข่าวเรื่องสินเดิมของคุณหนูมาเจ้าค่ะ” ฉินซินรายงานความเคลื่อนไหว แม้ว่าคุณหนูของนางจะเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เพราะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่สามารถปิดหูตาที่ถูกส่งไปเฝ้าระวังในเรือนต่าง ๆ ได้
“จะต้องกังวลเรื่องเหล่านั้นไปไย ถึงอย่างไรพวกเขาคงไม่ปล่อยให้จวนราชครูขายหน้ากระมัง หากจัดเตรียมสินเดิมให้กับว่าที่พระชายาไม่ดีพอ เรื่องนี้คงกลายเป็นเรื่องตลกที่ถูกเล่าขานไปจนลูกหลานเติบใหญ่” หลี่เจียวไม่คิดกังวลเลยสักนิด
ในครั้งนั้นนางจำได้ว่าขบวนสินเดิมของน้องสาวนั้นยาวมากเพียงใด เรียกได้ว่าเป็นรององค์ชายแปดเพียงสามส่วนเท่านั้น นอกนั้นไม่มีสิ่งใดที่ด้อยค่าเลยสักนิด เพราะมารดาของหลี่ถิงคือบุตรสาวของรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรนางก็ย่อมจัดให้สมเกียรติอย่างหาที่ติมิได้
หลี่เจียวในตอนนั้น ถึงกับกลั้นน้ำตาแห่งความปีติยินดีกับน้องสาวเอาไว้ไม่ไหว จากนั้นไม่นานโชคชะตาก็นำพาให้นางได้พบกับชายในดวงใจ แล้วเกิดเรื่องราวมากมายขึ้น คิดถึงตรงนี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
นางไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้มากน้อยเพียงใด กระทั่งเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วยังไม่เหมือนเดิม แม้ว่าเส้นเรื่องจะยังคงเดิม ทว่าตอนนี้ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้ว จิตใจของคนผู้นั้นเล่า จะเปลี่ยนตามไปด้วยหรือไม่
ทางด้านตำหนักชินอ๋อง ทราบข่าวเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างองค์ชายแปดกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่แล้ว ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงโปร่ง สง่างาม ตามแบบฉบับของราชวงศ์สูงศักดิ์ รูปโฉมนั้นไม่ต้องเอ่ย ถึงอย่างไรก็เป็นที่กล่าวขานของสตรีไปทั่วทั้งเมืองหลวง
“นางกลับมาแล้วหรือ” เสียงทุ้มทว่ากลับทำให้คนฟังถึงกับเคลิบเคลิ้ม อยากจะให้ผู้นั้นเปล่งวาจาอีกสักครึ่งคำ เพื่อให้หัวใจได้รู้สึกอบอุ่น
บ่าวข้างกายซื่อจื่อถึงกับขมวดคิ้ว คล้ายว่าเจ้านายสอบถามตน แต่มิแน่ใจในท่าทีที่เหม่อลอยมองออกไปไกล อาการเช่นนี้คล้ายกับกำลังคะนึงหาสาวงามในดวงใจก็มิปาน หรือว่าซื่อจื่อของเขาจะถูกใจคุณหนูจวนใดเข้าให้แล้ว
“ซื่อจื่อหมายถึงผู้ใดขอรับ บ่าวจะได้ไปสืบความมาให้” ต้าหลางบ่าวผู้จงรักภักดี ซ้ำยังเป็นบ่าวรับใช้เคียงคู่เจ้านายมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
“คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ นางกลับมาแล้วใช่หรือไม่” ซื่อจื่อแห่งจวน ชินอ๋องคล้ายเก็บงำความแคลงใจนี้ไม่ไหว ถึงต้องถามบ่าวรับใช้ออกไป
“คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ นามว่าหลี่ถิงกระมัง นางก็มิได้ไปที่ใดนี่ขอรับ หลายปีมานี้ได้ข่าวว่าจวนราชครูทุ่มเบี้ยหวัด จ้างอาจารย์ฝีมือดี เพื่อมาอบรมกิริยามารยาทให้กับคุณหนูผู้นั้น” ต้าหลางพูดขึ้น
ซื่อจื่อ ผู้สืบทอดตำหนักชินอ๋องถึงกับมองบ่าวข้างกายด้วยสายตาเฉยชา แฝงด้วยความตำหนิอีกหลายส่วน ทันใดนั้นสมองของต้าหลางคล้ายกับว่ารำลึกบางอย่างได้
“ซื่อจื่อหมายถึงคุณหนูใหญ่ หลี่เจียว ที่ถูกเนรเทศเมื่อสิบปีก่อน ใช่หรือไม่ขอรับ” เมื่อเห็นสายตาพิฆาตที่แสนเย็นชาของเจ้านาย ต่อให้สมองทึบปานใด เขาจำเป็นต้องเค้นเอาความทรงจำส่วนลึกนั้นกลับคืนมาให้จงได้
ซื่อจื่อของเขานั้นไม่ชอบพูดมาก เพียงใช้สายตาสั่งงาน หรือสื่อความหมายเท่านั้น นี่จึงเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ดึงดูดสาวงามจากทั่วทิศมาเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ
ไม่ถูกต้อง คุณหนูใหญ่ผู้นั้น เคยวิ่งเล่นกับซื่อจื่อของเขาเมื่อยังเยาว์ เพราะเป็นพระสหายขององค์ชายแปดหรือว่าที่องค์รัชทายาท ซึ่งจะถูกแต่งตั้งในอีกไม่นาน เมื่อครั้งทรงสร้างผลงานปราบโจรจากแดนเหนือได้
แม้ว่ามิใช่องค์ชายที่เกิดจากฮองเฮา หรือเป็นองค์ชายพระองค์แรกของราชวงศ์ ทว่ากลับได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก เนื่องจากพระองค์เกิดจากเสวียนกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมิเสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
“เป็นนาง” ชินหวังซื่อจื่อทำเพียงพยักหน้าเบาๆ ครั้นนึกถึงเด็กน้อยที่คอยเอาแต่ถามเขาไม่หยุดปาก ว่าเหตุใดถึงได้คัดอักษรงดงามเพียงนั้น เด็กน้อยที่ออดอ้อนให้พี่ชายดีดพิณสายหนึ่งให้ฟังแล้วหลับไป
ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากเล็ก ๆ ขมุบขมิบคล้ายกำลังเคี้ยวของกินตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลานอนนางยังเก็บเอาไปฝันว่าได้กินของอร่อย เมื่อคิดถึงใบหน้านั้นเขาก็พลันมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ขึ้นที่มุมปาก
“ให้บ่าวไปสืบความให้ดีหรือไม่ขอรับ” บ่าวรับใช้ถามอย่างเอาอกเอาใจ ด้วยรู้ใจเจ้านายเป็นที่สุด
“ไม่ต้อง รอหมิงหยวนกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อแล้วเดินเข้าห้องตำราไป ทิ้งให้บ่าวรับใช้เกาหัวกับอารมณ์ในช่วงนี้ของเจ้านาย
ตั้งแต่ข่าวเรื่องสมรสพระราชทานของฮ่องเต้ประกาศออกมา ดูคล้ายว่าซื่อจื่อของเขามิเบิกบานใจสักเท่าไหร่ นานวันยิ่งเหมือนคนอมทุกข์ ตรอมใจที่ชายาหนีไปกับชายชู้ก็มิปาน ทั้งที่มีคุณหนูจวนสูงศักดิ์จำนวนไม่น้อยที่ต้องการเกี่ยวดองกับตำหนักชินอ๋อง
แน่นอนว่าซื่อจื่อของเขานั้น เป็นรองแค่เพียงองค์ชายแปดเพียง คนเดียวเท่านั้น เพราะเป็นบุตรมังกร จึงสง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทว่าซื่อจื่อของเขาก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ งดงามราวกับเทพเซียนในภาพวาดของปรมาจารย์ ไม่ว่าจะมองยามใดก็มิเบื่อ ยิ่งมองยิ่งเคลิบเคลิ้ม หากผู้ใดได้เป็นพระสวามี รับรองว่าจักต้องเป็นสตรีที่โชคดีผู้หนึ่ง ผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างต้องอิจฉาในวาสนานั้น
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน