ไม่ว่านางจะเลือกทางใด ล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าถึงอย่างไร ผู้ที่เหมาะสมที่สุดก็คือน้องสาวต่างมารดา หลี่ถิงผู้นั้น แล้วเช่นนี้จะให้นางตอบอย่างไรได้อีกเล่า
“ท่านย่า สิ่งที่ท่านย่าพูดมานั้นหลานเข้าใจดีว่าท่านกังวลสิ่งใดเจ้าค่ะ แต่ขอให้ท่านย่าวางใจ แม้ว่าหลานจะไม่เคยเข้าร่วมงานของสตรีสูงศักดิ์ หรือไม่ได้ร่ำเรียนจากอาจารย์ผู้มากด้วยความรู้เหมือนน้องรอง แต่นั่นเพราะถูกเนรเทศตั้งแต่ยังเยาว์ ทว่าท่านแม่ได้สอนกิริยามารยาทต่าง ๆ ของสตรีที่พึงมีจนหมดสิ้น พวกท่านคงไม่ลืมกระมัง ว่ามารดาของข้านั้นเป็นผู้ใด” ประโยคท้ายเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าถูกตีที่กลางหน้าผาก นางจะลืมได้อย่างไรว่าสะใภ้ใหญ่นั้นเป็นสตรีสูงศักดิ์ ที่ลดตัวลงมาแต่งกับบัณฑิตเช่นลูกชายของนางจริง ๆ
“คุณหนูใหญ่คงไม่ทราบ หลายปีมานี้ขนบธรรมเนียมล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แม้ว่าฮูหยินใหญ่จะเป็นสตรีสูงศักดิ์ ทว่าก็ไม่ได้เข้าสังคมมานาน คงสอนได้ไม่ทั้งหมดกระมัง” ฮูหยินรองพูดขึ้นบ้าง เรื่องภายในไฉนเลยสามีที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตำราจะเข้าใจได้เล่าว่าจะต้องพูดอย่างไร
“เรื่องที่ฮูหยินรองพูดมานั้นมีเหตุผลยิ่ง แต่เรื่องลบหลู่เบื้องสูง โดยการสลับตัวคงยังเป็นกฎที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้กระมัง ลบหลู่เบื้องสูง ต่อให้มีเก้าชีวิตก็คงยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ ท่านพ่อเป็นถึงราชครูที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด หากเรื่องนี้รู้ถึง... ข้าไม่อยากจะคิดเลย ว่าชะตาของสกุลหลี่จะเป็นเช่นไร” หลี่เจียวแสดงสีหน้ากังวลออกมาอย่างไม่ปกปิด หากไม่มีสีหน้าว่านางไม่ยินยอมในทีเลยแม้เพียงน้อย คิดจะโยนเผือกร้อนให้นางตัดสินใจงั้นหรือ
“เอ่อ...เรื่องคงไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้นกระมัง ในเมื่อทุกวันนี้ผู้คนต่างเข้าใจว่า ถิงถิง คือคุณหนูใหญ่” ฮูหยินรองพูดขึ้นอย่างไม่ลดละ ทว่าน้ำเสียงเริ่มไม่มั่นใจ เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของแม่สามีอย่างไม่ปิดบัง
“เหลวไหล ลบหลู่เบื้องสูงอันใดกัน เจ้าไม่พูด คนในเรือนไม่พูด ไหนเลยจะมีคนรู้” ท่านราชครูโมโห ที่จู่ ๆ ก็ถูกยัดเยียดข้อหาลบหลู่เบื้องสูง โกหกหลอกลวงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงเกลียดที่สุด ไหนเลยเขาจะไม่รู้ถึงข้อหาร้ายแรงนี้ แต่ยังดีกว่าปล่อยให้บุตรสาวคนโตไปอยู่ในดงเสือ ให้ถูกขย้ำแล้วเสื่อมเสียมาถึงชื่อเสียงจวนราชครู ชื่อเสียงที่เขาเพียรสะสมมาจะมาพังเพราะทุกขลาภนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
ยังไม่ทันที่จะตกลงกันได้ ก็มีสาวใช้รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ตะคอกเสียงดังใส่
“มีเรื่องอันใด ไม่รู้หรือว่าในนี้ห้ามพวกเจ้าเข้ามารบกวน” เดิมที ก็รู้สึกไม่พอใจหลานสาวคนโตอยู่แล้ว สาวใช้เข้ามาทันเวลาให้ฮูหยินผู้เฒ่าระเบิดอารมณ์ใส่พอดี ช่างน่าสงสารสาวใช้ตัวน้อยผู้นั้นโดยแท้
“ขะ ขออภัยเจ้าค่ะฮูหยินผู้เฒ่า ตอนนี้มีคนจากทางวังหลวงมา รอประกาศราชโองการเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นั้นหมอบกราบโขกศีรษะเพื่อเป็นการขอโทษ
“รีบไปเถอะ” ราชครูหลี่เป็นผู้ที่มีสติที่สุด ด้วยรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีขันทีติดตามพระองค์ มาว่าราชโองการสมรสพระราชทานในครั้งนี้
เวลานี้ภายในห้องโถงของจวนราชครู ผู้คนต่างคุกเข่า ก้มหน้าเพื่อรอรับราชโองการ ขันทีผู้หนึ่งเดินออกมาพร้อมกับชูราชโองการสีเหลืองทองขึ้นมาประกาศ
“คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ หลี่เจียวรูปโฉมงดงาม ความสามารถโดดเด่น ฉลาดปราดเปรื่อง กิริยานอบน้อม ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สตรีทั่วทั้งเมืองหลวง อีกทั้งเป็นหลานสาวของหมอหลวงซู ซึ่งถวายงานรับใช้อย่างจงรักภักดี ด้วยความดีนี้ เราจึงมอบสมรสพระราชทาน ให้สมรสองค์ชายแปด เป็นดั่งคู่กิ่งทองใบหยกสืบไป จบราชโองการ” ขันทีกล่าวจบแล้ว แต่ดูเหมือนคนสกุลหลี่ยังคงตกอยู่ในภวังค์
“คุณหนูใหญ่หลี่” ขันทีปรายตามองหาว่าผู้ใดคือคุณหนูใหญ่ของจวนราชครูหลี่ เนื่องจากว่าตอนนี้มีสาวงามถึงสองคน กำลังคุกเข่าฟังราชโองการอยู่ในขณะนี้
หลี่ถิงกำลังจะยื่นมือออกไปรับราชโองการ ทว่าหลี่เจียวกลับ ว่องไวกว่า รีบยื่นมือออกไปรับราชโองการ เพราะกำลังก้มหน้ากันอยู่ จึงไม่มีใครมองเห็นว่าผู้ใดเป็นคนรับราชโองการนี้
“หลี่เจียว น้อมรับราชโองการ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่น ๆ ปี”
ขันทีมอบราชโองการให้หลี่เจียว พร้อมทั้งพยักหน้าด้วยความพอใจ ลอบสังเกตอาการของสตรีตรงหน้า ไม่มีความตื่นเต้นหรือลนลานออกมาให้เห็น คงต้องรายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ ว่าจวนราชครูนั้นได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่มีข้อผิดพลาดเหมือนที่เคยได้กราบทูลไปแล้ว
หลี่ถิงตัวแข็งทื่ออยู่ข้าง ๆ พี่สาว ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าตอนนี้รอเพียงเหล่าขันทีจากไป ก็พร้อมที่จะหน้ามืดลงไปในทันที ราชครูหลี่หน้าดำคร่ำเครียด เมื่อได้ยินเสียงของผู้ที่รับราชโองการ เหล่าบรรดาบ่าวไพร่ต่างตัวสั่น ต่างก็รับรู้ได้ถึงเมฆหมอกแห่งความขมุกขมัวนี้
“ฮูหยินผู้เฒ่า” สาวใช้น้อยใหญ่ต่างตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ
“เจ้าตามข้ามา” ราชครูหลี่โมโห ไม่สามารถกล่าวคำใดได้อีก บุตรสาวที่ดูเหมือนจะเข้าใจ แม้ว่าจะยังไม่ได้รับปาก แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ไฉนถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
ส่วนคนบ้านรองได้แต่ยกยิ้มมุมปาก เนื่องจากไม่เกี่ยวอันใดกับครอบครัวของตนเอง ฮูหยินบ้านรองทราบข่าวเรื่องจะเปลี่ยนตัวมาบ้างแล้ว แต่ไม่คิดว่าหลานสาวบ้านนอกผู้นี้จะใจกล้าหน้าด้าน ขัดคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า อกตัญญูต่อบิดา
แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง ไหนเลยจะต้องแสดงความกตัญญูอีกเล่า ในเมื่อถูกเนรเทศไปยังพื้นที่ห่างไกล ยังกล้าพูดเรื่องบุญคุณนั้นอีก
จางซื่อถึงกับกัดปากตัวเองเรียกสติ ได้กลิ่นคาวเลือด แต่ก็ฝืนกลืนมันลงท้องไป เพื่อไม่ให้แสดงด้านไม่ดีออกมา แม้ว่าภายในใจจะกระอักเลือดมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ลอบกำมือภายใต้แขนเสื้อจนเกิดเป็นรอยพระจันทร์เสี้ยวไม่รู้กี่ดวงต่อกี่ดวง
นี่หรือคือคุณหนูใหญ่ ที่ถูกมารดาอบรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย เอาเถอะเรื่องนี้คงยากที่จะแก้ไข ในเมื่อราชโองการอยู่ในมือของนางไปแล้ว เรื่องนี้คงปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนจัดการถึงจะดีที่สุด
“สมควรตาย นังหลานสารเลว เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร” เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา เห็นหลี่เจียวกำลังคุกเข่าอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตะโกนสุดเสียง ทำท่าจะเป็นลมไปอีกรอบ
“ท่านย่ารักษาสุขภาพด้วย” หลี่ถิงยังคงรักษาสีหน้า รวมถึงกิริยาไม่พอใจเอาไว้ แม้ว่าภายในใจจะโมโห มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่านางต้องเตรียมตัวมากเพียงใด ในการที่จะขึ้นเป็นพระชายาขององค์ชายแปด ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจไปมาก ไหนเลยจะคิดว่าพี่สาวที่พึ่งกลับจากบ้านนอก จะเอื้อมมือไปรับราชโองการ แล้วทุกอย่างจะจบลงเพียงเท่านี้
“ถิงถิง เข้าใจย่าดีที่สุด” ฮูหยินผู้เฒ่าตบมือหลานสาวคนรองที่อยู่เคียงข้างเบาๆ รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ถลึงตาใส่หลานสาวคนโตที่คุกเข่า ในมือยังคงถือราชโองการเอาไว้เหนือหัวอยู่
“ท่านแม่ แบบนี้เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” จางซื่อร้อนใจ ไม่เห็นแม่สามีพูดอะไรจึงอดทนไม่ไหว
“จะทำอย่างไรได้อีกเล่า ได้แต่ปล่อยให้นางไปรับชะตากรรมที่ในวังเองเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากมองหน้าหลานสาวเนรคุณผู้นั้นอีก จึงไล่หลี่เจียวให้กลับเรือนหลังไป
หลี่เจียวลอบยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เดินกลับเรือนของตน นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น นางเข้าใจดีในสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว เพราะในวังต่างหากคือแหล่งรวมเสือร้ายอย่างแท้จริง แต่แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อนางกลับมาเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับตนเอง
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน