เหมันตฤดูปีนี้ช่างหนาวเหน็บจนถึงขั้วหัวใจ คนที่อยู่แดนไกลกำลังเร่งรุดเดินทางมาตามพระราชโองการของเจ้าแผ่นดิน นานมากแล้วที่มิได้พบหน้านาง เพราะต้องฝึกฝนร่างกายอยู่แต่ในค่ายทหาร กว่าที่จะรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางก็มิได้อยู่ที่เมืองหลวงอีกต่อไป
เดิมทีองค์จักรพรรดิมิทรงเห็นด้วยกับการจัดการหมั้นหมายในครั้งนี้ เหล่าสาวงามจากจวนสูงศักดิ์ต่างลงนามเพื่อหมายจะเกี่ยวดอง ทว่าเขากลับใช้ข้ออ้างในการปราบโจรทางแดนเหนืออยู่นานหลายปี ยื้ออยู่นานจนอายุย่างสิบเก้าปี
จนกระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยต้องออกหน้า พูดเรื่องหมั้นหมายเมื่อครั้งยังเยาว์เอง เนื่องจากหมอหลวงซูเป็นคนช่วยชีวิตเขาและมารดาเอาไว้ หนึ่งคนสองชีวิตจึงรอดมาได้ แม้จะรู้ว่าผิดธรรมเนียม แต่การช่วยชีวิตคนนั้นสำคัญกว่า
ฮ่องเต้จึงคิดจะผูกมัดหมอหลวง ด้วยการเอาเรื่องหมั้นหมายในครั้งนั้นมาเป็นข้ออ้าง เพื่อแลกกับเรื่องที่มิสมควรนี้ถูกแพร่งพรายออกไป ครั้นจะสังหารก็นึกเสียดายความรู้ความสามารถที่หาผู้ใดเทียบมิได้ จึงทำได้เพียงขังเขาเอาไว้ข้างกายในวัง
แต่เพราะฐานะของนางในตอนนี้ เรียกได้ว่าไม่เป็นที่ยอมรับ อย่าว่าแต่ตนที่เป็นถึงองค์ชายแปด ซ้ำยังเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร กับคุณชายตระกูลอื่น ก็ยังคงต้องตรึกตรองถึงความเหมาะสม
ในเมื่อเสวียนกุ้ยเฟยออกปาก ผู้ที่เป็นบุตรจึงมิได้ทัดทานเรื่องงานหมั้นหมายในครั้งนี้ ซ้ำยังเร่งเดินทางไม่หยุดพัก เพื่อที่จะได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวงก่อนกำหนดสักหน่อย มิได้พบหน้านางเป็นเวลานานหลายปี ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่
เด็กน้อยตัวอวบอ้วน หาได้มีเค้าโครงความงามดังเช่นสตรีร่าง แบบบางไม่ ทว่ากลับชวนมองให้เคลิบเคลิ้ม เสียงใสกังวานในยามที่เอื้อนเอ่ยออกมา เป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมจิตใจที่เศร้าหมอง ทำให้เมฆหมอกที่บดบังนั้นพลันหายไป เหลือเพียงท้องฟ้าที่แจ่มใส
ในจวนราชครูหลี่ ตอนนี้เรียกได้ว่ามีคลื่นลมมรสุมขนาดย่อมเกิดขึ้น ฮูหยินรองมิยินยอมให้นำสินเดิม ซึ่งเป็นของบุตรสาวของนางไปเป็นของบุตรเลี้ยง เรื่องนี้ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าโมโหเป็นอย่างมาก
“จางซื่อ เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจียวเจียวนั้นถือว่าเปรียบเสมือนบุตรสาวของเจ้าผู้หนึ่ง ในเมื่อนางกลับมาแล้ว ซ้ำยังอยู่ในฐานะบุตรสาวคนโตของสกุลหลี่ สมควรแล้วที่จะต้องแต่งออกไปก่อนผู้ใด ส่วนเรื่องสินเดิมนั้น เดิมทีย่อมต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าที่เป็นมารดา เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้สมควรแล้วหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ากระทุ้งไม้เท้าคู่กายสุดแรงจนเกิดเสียงดัง ทำเอาทุกคนต่างสะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน
“สะใภ้มิได้หมายความเช่นนั้น ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดระงับโทสะ เพียงแต่สินเดิมที่จัดเตรียมให้ถิงเอ๋อร์นั้น ทางฝั่งบ้านเดิมของสะใภ้ก็เพิ่มมาให้อยู่ไม่น้อย หากเรื่องนี้ทราบถึงหูบิดามารดา เกรงว่าจะดูเป็นการไม่ให้เกียรติจวนกั๋วกงสักเท่าใดนักเจ้าค่ะ”
จางซื่อลอบมองหน้าแม่สามี เมื่อเห็นว่านางกำลังฟังตนอยู่ จึงรีบพูดโดยไม่หยุดพักหายใจ “เจียวเอ๋อร์นั้นก็เปรียบเสมือนบุตรของข้าผู้หนึ่ง แม้ว่าจะมิได้เป็นคนคลอดนางออกมา ทว่าความรักที่สะใภ้มีต่อบุตรสาวผู้นี้นั้น ลึกซึ้งยิ่งกว่าบุตรในอุทร เดิมทีตั้งใจจัดเตรียมสินเดิมให้เจียวเอ๋อร์ใหม่ เพื่อให้สมฐานะของคุณหนูใหญ่เท่านั้นเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิได้แสดงสีหน้าใด ๆ จึงลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
‘คิดจะเอาสมบัติของบ้านเดิมนางอย่างนั้นหรือ ฝันไปเสียเถอะ เหตุใดมิไปร้องไห้คร่ำครวญขอสินเดิมจากมารดาผู้ล่วงลับเล่า เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของหมอหลวงชื่อดังมิใช่หรือ เหตุใดบุตรสาวถูกเนรเทศไปยังพื้นที่ห่างไกล ซ้ำยังตายอย่างน่าอนาถ แต่คนบ้านนั้นกลับเงียบอย่างน่าใจหาย ไม่เท่ากับว่าบ้านเดิมตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้วหรือ โชคดีที่นางเข้ามาเมื่อตอนที่สามีรุ่งเรืองแล้ว มิเช่นนั้นใครจะกล้ากัดก้อนเกลือกินตามบัณฑิตยากจนผู้หนึ่งไปได้เล่า’
จางซื่อได้แต่คิดคนเดียวในใจ จวนราชครูแห่งนี้เคร่งครัดในกฎระเบียบ ทว่าขาดการขัดเกลาขนบธรรมเนียมของชนชั้นสูง
เนื่องจากเป็นตระกูลยากจน ที่ถีบตัวเองขึ้นมาจนถึงที่สูงได้ พวกเขาจึงให้เกียรตินางที่เป็นบุตรสาวของรองเสนาบดี แม้จะเป็นเพียงบุตรของอนุ แต่ก็ให้อำนาจในการดูแลจวนแห่งนี้ ถึงอย่างไรหากเป็นเรื่องใหญ่ ยังคงต้องผ่านความเห็นชอบจากฮูหยินผู้เฒ่าเช่นเคย
“ได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ ถิงเอ๋อร์มิได้แต่งเข้าจวนองค์ชายแปดแล้ว สะใภ้เห็นสมควรว่าต้องลดสินเดิมของนางลงมาสักหน่อย ถึงอย่างไรก็ยังมีน้อง ๆ ที่จะต้องออกเรือน และแต่งสะใภ้เข้ามาในภายหน้าอีก เจ้าสาม เจ้าสี่ยังต้องเจรจาพูดคุยเรื่องหมั้นหมายให้เป็นเรื่องเป็นราว ตอนนี้ก็เป็นเวลาเหมาะที่จะทาบทามสู่ขอลูกหลานสกุลอื่นเอาไว้แล้ว ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดตรองดูด้วยเจ้าค่ะ”
สวีซื่อยอมให้บ้านใหญ่เอาเปรียบมานานแล้ว แต่เพราะเห็นว่าหลานสาวคนรอง จะได้เป็นถึงพระชายาขององค์ชายแปด อีกไม่นานก็ต้องขึ้นเป็นชายารัชทายาทตามลำดับ ถึงขั้นได้เป็นแม่ของแผ่นดินต่อไป อนาคตของบุตรสาวบุตรชายของนางจำต้องราบรื่นเป็นแน่
ถึงกับยอมให้บ้านใหญ่นำเงินไปละลายแม่น้ำ จ้างอาจารย์ผู้สอนที่มากด้วยความสามารถและประสบการณ์ แน่นอนว่าค่าจ้างจำต้องสูงตามความสามารถด้วย หลายปีที่ผ่านมานี้ จวนราชครูเสียเงินจำนวนมหาศาล สำหรับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าการที่จะแต่งเข้าวังหลวงนั้น หลานสาวคนโตกลับมิต้องลงทุนลงแรงอันใดเลย หากไม่ติดตรงที่ฮูหยินใหญ่ถูกบ้านเดิมตัดขาด เรื่องที่นางยืนยันกระต่ายขาเดียว ว่าจะแต่งงานให้กับพี่ใหญ่ในปางก่อน เกรงว่าแม้แต่ปลายผมสกุลหลี่ก็มิอาจแตะต้องสองแม่ลูกนั้นได้
ในเมื่อทุกอย่างกลับตาลปัตรเช่นนี้ นางก็หาได้มีความจำเป็นอันใดจะต้องเกรงใจบ้านใหญ่อีก คงมีแต่ผู้ที่ยอมหลับตาข้างเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมารดาเลี้ยงและบุตรเลี้ยงนั้นย่ำแย่เพียงใด คุณหนูใหญ่เรียกได้ว่านางตัวคนเดียวแล้วในจวนแห่งนี้ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“เหลวไหล ข้าแก่จนเลอะเลือน ถึงขั้นให้เจ้าที่เป็นสะใภ้มาเตือนสติเชียวหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนเลือดลมไหลเวียนผิดที่ผิดทาง นับวันลูกสะใภ้ต่างกำเริบเสิบสาน ถึงขั้นโต้เถียงกันเรื่องสินเดิมของลูกหลานกันแล้วหรือ
แม้ว่าตระกูลของนางจะมิใช่ผู้สูงศักดิ์มาตั้งแต่เกิด แต่หากนับกันด้วยทรัพย์สินนั้นก็ถือว่ามีมากพอสมควร ทว่าเรื่องอันใดที่นางจะต้องกรีดเลือดของตนเอง เพื่อหลานสาวผู้หนึ่ง ในเมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ก็สมควรให้เป็นเช่นเดิม เพียงแค่เปลี่ยนตัวผู้รับเท่านั้น
“สะใภ้ขออภัยเจ้าค่ะ” สวีซื่อรีบคุกเข่าโขกศีรษะให้กับแม่สามี
“จางซื่อ ในเมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว เช่นนั้นก็ให้เป็นดังเดิมที่ควรจะเป็นเถอะ แม้ว่าจวนกั๋วกงจักเตรียมสินเดิมให้กับถิงเอ๋อร์ แต่เจียวเอ๋อร์ก็ถือว่าเป็นหลานสาวคนหนึ่งของพวกเขาเช่นกัน เรื่องจึงเห็นสมควรยิ่ง มิควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ข้าอยากพักผ่อน”
พูดจบฮูหยินผู้เฒ่าก็ลุกจากเก้าอี้ แล้วให้สาวใช้ข้างกายประคอง เข้าไปยังห้องนอนส่วนตัวในทันที หากอยู่นานกว่านี้คงได้มีเรื่องโต้เถียงกัน ไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่
ทางด้านฮูหยินรองนั้นถึงกับกำหมัดแน่น เรื่องอันใดที่นางจะต้องเสียสละมากมายเช่นนั้น เรื่องนี้คงต้องเขียนจดหมายเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้บิดาได้รับรู้ มิเช่นนั้นสินเดิมของบุตรสาวจักต้องตกเป็นของผู้อื่นอย่างไม่ต้องสงสัย นางมิเต็มใจผู้ใดก็มาบังคับไม่ได้
“มารดามันเถอะ น่าเจ็บใจนัก ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมเปิดคลังสมบัติของตน แต่กะจะชุบมือเปิบเอาหน้าให้สกุลหลี่” จางซื่อพูดเสียงลอดไรฟัน ขณะที่อยู่ห้องกันเพียงสองคนกับแม่นมคนสนิท
“ฮูหยินระวังคำพูดด้วยเจ้าค่ะ หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง พูดเช่นนี้เกิดมีคนเอาไปพูดต่อจะลำบากเอาเสียเปล่า ๆ นะเจ้าคะ” แม่นมรีบเอ่ยเตือนสติ