“ผู้ใดกล้า ก่อนที่มันจะวิ่งแจ้นไปฟ้อง เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสได้พูดอันใดอีกเลย เหตุใดถึงพานังตัวอัปรีย์นั่นกลับมาด้วยเล่า ทำไมแม่นมถึงไม่ปล่อยให้มันหนาวตายที่ใดสักที่หนึ่ง” เดิมทีนางก็ไม่เห็นด้วยเรื่องที่เรียกตัวหลี่เจียวกลับมา
ทว่าสามีกลับเร่งเร้า บอกว่าอย่างน้อยควรบอกกล่าวเรื่องราวให้บุตรสาวได้รับรู้ แต่นางเดาว่าลึก ๆ แล้วสามีคงคิดถึงบุตรสาวของตนเองกับภรรยาเอกเสียมากกว่า เห็นมันนอนกับชายชู้ตำตาขนาดนั้น ยังอาลัยอาวรณ์อันใดอีก
“บ่าวแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปที่จวนกั๋วกงแล้ว คาดว่าไม่เกิน สองวันนี้จะต้องมีความเคลื่อนไหวแน่นอนเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรทางนั้นก็ไม่ปล่อยให้คุณหนูรองถูกรังแกได้โดยง่าย” แม่นมแต่ไหนแต่ไรเป็นคนรอบคอบ เมื่อได้ยินเช่นนี้จางซื่อจึงบรรเทาโทสะไปได้หลายส่วน
วันถัดมาขบวนสินสอดของหมั้นหมายก็ยาวจนสุดลูกหูลูกตา เหล่านางกำนัลขันทีต่างถือถาดหีบน้อยใหญ่เข้ามาวางจนเต็มลานด้านหน้าของจวนราชครู
ทันทีที่ขันทีอ่านรายการของหมั้นหมาย ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับเบิกตากว้าง ไม่สามารถรักษาท่าทีของฮูหยินตราตั้งได้
“เพื่อตอบแทนบุญคุณที่สกุลหลี่ได้เลี้ยงดูคุณหนูใหญ่ หลี่เจียว นี่จึงเป็นของหมั้นจากองค์ชายแปด เงินหนึ่งพันตำลึง ไก่ 2 คู่, หมู 1 ตัว, อาหารแห้ง 6 อย่าง, สุรา 4 ไห, ผลไม้ 4 อย่าง, ชาหนัก 4 จิน, ข้าวสาร 12 จิน, น้ำตาล 12 จิน, กำไลทอง 1 คู่”
จางซื่อถึงกับแสยะยิ้มออกมาอย่างสะใจ ของหมั้นอันใดกันช่างน่าขันสิ้นดี แบบนี้เห็นได้ชัดว่า ทางราชสำนักมิได้ให้ความสำคัญกับงานหมั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นแม้เพียงน้อยนิด
“ท่านราชครูมีอันใดอยากจะถามเช่นนั้นหรือ” ขันทีใหญ่เอ่ยขึ้น หากจำไม่ผิดผู้นี้คือขันทีข้างกายที่คอยรับใช้องค์ชายแปดไม่ผิดตัวแน่
“นี่คือของหมั้นหมาย จากองค์ชายแปดเช่นนั้นหรือ” ราชครูหลี่ถึงกับอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ มันจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“ท่านราชครูมิพอใจเช่นนั้นหรือ” ขันทีหน้าตึงเอ่ยถามเสียงเรียบ ทว่าในน้ำเสียงนั้นกลับมีความไม่พอใจอยู่หลายส่วน
“หากเป็นของหมั้นของชาวบ้านทั่วไปก็แล้วไปเถิด ทว่านี่เป็นงานหมั้นหมายของเชื้อพระวงศ์ ข้าเกรงว่าคงต้องมีสิ่งใดผิดพลาดอยู่ไม่มากก็น้อยกระมัง” ราชครูหลี่มีหรือที่จะไม่รู้ขนบธรรมเนียม ขึ้นชื่อว่าสอบบัณฑิตขั้นสูงมาได้ ไหนเลยจะเลอะเลือนเพียงเรื่องแค่นี้ได้
“เสวียนกุ้ยเฟยทรงตรัสว่า แม้องค์ชายแปดจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ทว่าพระองค์มิเคยลืมว่าต้องสั่งสอนเช่นไร เพื่อมิให้ลืมเลือนว่าองค์ชายเป็นเพียงยศขั้นหนึ่งที่แต่งตั้งขึ้นมา ทว่าความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นเพียงมนุษย์ มีเลือดเนื้อผู้หนึ่งเฉกเช่นสามัญชนทั่วไป” ขันทีกล่าวคำพูดที่เสวียนกุ้ยเฟยรับสั่งมา มิให้ตกหล่นแม้แต่ครึ่งคำ
“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็น้อมรับด้วยความเต็มใจ” ราชครูหลี่กัด ฟันกรอด ข่มความไม่พอใจเอาไว้ หางตาเหลือบไปเห็นสิ่งของอีกมากมาย ที่ยังวางเต็มลานหน้าจวน “แล้วของพวกนี้เล่า”
“นั่นเป็นของหมั้นของสกุลหลี่ ต่อไปเป็นของหมั้นส่วนตัวของ ว่าที่พระชายา”
หลี่เจียวรู้สึกมึนงง เมื่อขันทีกำลังจะเอ่ยรายการของหมั้น ชาติที่แล้วนางจำได้ว่าเหตุการณ์นี้มิเคยเกิดขึ้น ของหมั้นมากมายจนล้นพวกนี้มีอยู่จริง แต่ก็เป็นของหมั้นที่มอบให้กับสกุลหลี่ทั้งหมดมิใช่หรือ
ผ้าไหมจันทรา ผ้าไหมหรูอี้เช่นนั้นหรือ แม้กระทั่งพระสนมก็ยังมิมีโอกาสได้สวมใส่ผ้าไหมสองชนิดนี้ ทันทีที่ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับมือไม้สั่นอย่างควบคุมมิได้
“ของทั้งหมดนี้ยกให้คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ หลี่เจียว แต่เพียงผู้เดียว” แต่เมื่อขันทีเอ่ยรายการของหมั้นหมายจนจบ หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าดุจถูกสายฟ้าฟาดผ่าเข้ามากลางใจ อันใดคือยกให้คุณหนูใหญ่สกุลหลี่แต่เพียงผู้เดียว เช่นนี้หมายความว่าจวนสกุลหลี่ไม่มีสิทธิ์อันใดกับของหมั้นหมายในครั้งนี้เช่นนั้นหรือ
มิใช่เพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น แต่คนบ้านรองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ประเดี๋ยวอ้าปาก ประเดี๋ยวหุบปากคล้ายอยากจะพูดอะไร แต่ก็เหมือนมีก้อนจุกอยู่ที่คอ ไม่สามารถพูดสิ่งใดออกมาได้
“คุณหนูใหญ่ พอใจกับของหมั้นในครั้งนี้หรือไม่” ขันทีเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร
“เป็นพระมหากรุณาเพคะ” หลี่เจียวถึงกับพูดสิ่งใดต่อไปมิได้ ทำได้เพียงโขกศีรษะเพื่อเป็นการขอบคุณ
นางไม่สงสัยเลยว่าเป็นฝีมือของผู้ใด ในการคิดวิธีเช่นนี้ ทว่าชาติที่แล้วเขายังไม่กลับมาจากแดนเหนือไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นงานหมั้นระหว่างน้องสาวคนรองของนางคงไม่เกิดขึ้น เรื่องการเปลี่ยนตัวคงไม่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากนางและเขาเคยพบหน้ากันมาก่อน
ราชครูหลี่ถึงกับหาเสียงของตัวเองไม่เจอ ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งอายุจวนจะเข้าเลขสี่ ยังไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เขารู้ว่าองค์ชายแปดนั้นนิสัยเป็นเช่นไร เพียงไม่คิดว่าจะทรงไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ที่สอนมาตั้งแต่ยังเยาว์ แบบนี้ไม่เท่ากับว่าลูกศิษย์ตบหน้าอาจารย์ฉาดใหญ่หรอกหรือ
ตั้งแต่เกิดเรื่องที่เขาเนรเทศบุตรสาวออกไปจากจวน ท่าทีของ องค์ชายแปดก็เปลี่ยนไป ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงองค์ชายผู้หนึ่งเท่านั้น แม้จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าจะถูกหมายตาให้เป็นองค์รัชทายาท เพราะถึงอย่างไรองค์ชายใหญ่ที่เกิดจากฮองเฮา ก็ต้องเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
เหนือฟ้ายังมีฟ้า ผู้ใดใช้ให้ความสามารถขององค์ชายแปดผู้นั้นเหนือขีดจำกัดกันเล่า ไม่ว่าจะลงมือทำสิ่งใด ก็ล้วนแต่เป็นไปด้วยดีทั้งสิ้น ทรงเก็บตัวอยู่ที่ค่ายทหารตั้งแต่อายุเก้าปี กระทั่งยกทัพไปจัดการกับโจรจากแดนเหนือตั้งแต่ยังอายุได้เพียงสิบสี่ปีเท่านั้น
กระทั่งได้รับสมญานาม ว่าเป็นองค์ชายผู้ไร้พ่าย ได้รับความชอบจากฮ่องเต้ กระนั้นก็มีขุนนางราชสำนักเร่งรัดเรื่องแต่งพระชายา ทว่ากลับใช้ข้ออ้างสารพัดมาปฏิเสธการแต่งงาน
สุดท้ายเสวียนกุ้ยเฟยยื่นมือเข้ามาจัดการ ทวงถามเรื่องหมั้นหมายเมื่อครั้งยังเยาว์ของทั้งสองคน องค์ชายแปดจึงมีท่าทีนิ่งงันมิได้ตอบโต้ใด ๆ เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว นั่นจึงเป็นสัญญาณว่าพระองค์มิได้รังเกียจ หากจะแต่งบุตรสาวของสกุลหลี่ไปเป็นพระชายา
“เชิญคุณหนูใหญ่ตรวจสอบดู” ขันทีพูดจบก็ยื่นรายการให้กับ หลี่เจียว
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงเมตตาเพคะ” หลี่เจียวเพียงรับรายการต่าง ๆ มาเท่านั้น แต่มิได้ตรวจสอบอันใด หากนางให้สาวใช้ตรวจสอบ นั่นไม่เท่ากับว่าไม่เชื่อใจเหล่าขันทีนางกำนัลที่ยกของหมั้นเหล่านี้มาหรอกหรือ
“เสวียนกุ้ยเฟยทรงมีรับสั่ง เมืองหลวงนั้นหนาวเย็นยิ่งนัก ไม่เหมือนกับทางตอนใต้ ขอให้คุณหนูใหญ่โปรดรักษาสุขภาพด้วย” ขันทีพูดขึ้นอย่างเป็นกันเอง
“น้ำพระทัยของเสวียนกุ้ยเฟย หลี่เจียวจดจำใส่ใจไว้แล้วเพคะ” หลี่เจียวอดยิ้มไม่ได้ คำพูดนี้มิใช่เป็นเหมือนการตบหน้าสกุลหลี่หรอกหรือ ความลับที่คนทั้งจวนพยายามปกปิดเอาไว้ สุดท้ายแล้วคนในวังก็ได้ล่วงรู้
ฮูหยินเฒ่าลอบถอนหายใจ ดีที่การเปลี่ยนตัวครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นต่อให้มีเก้าชีวิตก็ไม่สามารถรักษาเงาหัวของตนเองและลูกหลานเอาไว้ได้
ข้อกังขาต่าง ๆ มากมายที่อยากจะโต้แย้ง จึงทำได้เพียงกลืนมันลงท้อง ปล่อยให้เน่าตายอยู่ในท้องเสีย ดีกว่าพ่นมันออกมาเพื่อยั่วยุโทสะขององค์ชายแปด
ในมุมหนึ่งของกำแพงจวนราชครูหลี่ ชายหนุ่มรูปร่างสง่างามในชุดรัดรูปสีดำ ผมรวบตึงด้วยรัดเกล้า ลมหนาวพัดผ่าน ยิ่งขับให้ใบหน้าของเขาผู้นั้นงดงามดุจหยก กำลังลอบยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจกับเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้า ได้เห็นว่าร่างบางนั้นมีท่าทีพอใจเขาก็โล่งใจ แม้ว่านางจะผ่ายผอมไปบ้างก็มิเป็นไร รอให้แต่งเข้าตำหนักเสียก่อน ตนจะดูแลนางเป็นอย่างดี
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน