ตอนที่ 10 จิ้งจอกน้อยกลายร่าง
“ที่เหลือเจ้าทำ”
"ทำ.. ทำอะไร” เฟยหลงหันไปถามเจียอวี่ด้วยความไม่เข้าใจ
“ปลานี่ ข้าหามาให้เจ้าแล้ว.. เจ้าก็ควรปรุงมันให้ข้ากินดีหรือไม่” เจียอวี่ชี้นิ้วไปที่ปลาที่เขาเพิ่งไปหามาได้ช้า ๆ
“ข้า.. ข้าทำไม่เป็น” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
เจียอวี่ได้ยินเช่นนั้นได้แต่นิ่งเงียบ ปลาที่ได้มาถูกทิ้งลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก เฟยหลงที่เห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากนั้นรู้สึกเสียใจเป็นยิ่งนัก เธอตัดสินใจลุกขึ้นยืนด้วยความเร็ว ตามมาด้วยสายตาของจิ้งจอกน้อยที่มองเธออย่างมีความหวัง
“ต.. แต่แค่ปลาย่างก็พอจะได้อยู่”
แม้แต่เธอเองก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเอ่ยออกไปแบบนี้ หลี่เฟยหลงสาวน้อยที่วัน ๆ เอาแต่แต่งนิยายกับสั่งเดลิเวอรี่กำลังจะมาย่างปลาให้ใครไม่รู้กินงั้นหรือ แต่ไหน ๆ ก็เห็นแก่ที่เขาพยายามไปหาปลามาให้เจ้าเสี่ยวจ๋ายแล้วกัน การย่างปลาให้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก.. มั้ง
“เสี่ยวจ๋ายเจ้าอยากกินปลาสด หรือปลาย่าง” เฟยหลงหันไปถามเจ้าจิ้งจอกน้อย
2 ชั่วยามผ่านไป
“มาแล้ว” เธอเดินถือไม้ที่มีปลาย่างตัวสีดำเกรียม ยื่นให้เจียอวี่ด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น ก่อนจะยื่นให้จิ้งจอกน้อยหนึ่งตัว และเดินมานั่งลงข้าง ๆ พวกเขา
“พวกเจ้ากินสิ”
“มันกินได้.. ใช่ไหม” เจียอวี่ยกปลาย่างมาพลิกซ้ายพลิกขวา ก่อนจะหันไปมองเจ้าจิ้งจอก ที่ยืนสี่ขาหางตั้งเด่ฟูฟ่องจ้องปลานั้นราวกับระแวง
“เจ้าจิ้งจอก ไยเจ้าไม่ลองชิมเสียหน่อย” เจียอวี่ยังคงพูดคุยกับเสี่ยวจ๋าย
“พวกเจ้าไม่กินก็ช่าง ข้ากินเอง” เฟยหลงคว้าปลาย่างทั้งหมดมากองตรงหน้า ก่อนจะทำใจกัดเจ้าปลาย่างนั้นเข้าปากเคี้ยวตุ้ยราวกับว่ามันคืออาหารจากภัตตาคารเลิศรส
“ก..กิน ข้ากิน” ถึงแม้ทั้งคู่จะมีอาการแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ก็กินอาหารมื้อนั้นด้วยความรู้สึกเลิศรส.. ละมั้ง “เจ้าถนัดวิชาปรุงยามากใช่หรือไม่”
“ทำไม” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ระหว่างที่เดินไปหยิบถ้วยยามาให้เจียอวี่ดื่ม
“ข้ามีเรื่องอยากรบกวนเจ้า” เขายื่นมือมารับถ้วยยานั้นแต่ โดยดี ข้างกันนั้นมีเสี่ยวจ๋ายที่กำลังนอนแทะแอปเปิลแอบฟังทั้งคู่อยู่ เฟยหลงมองหน้าเสี่ยวจ๋ายที่ตอนนี้กำลังแทะแอปเปิลได้ด้วยความหมั่นไส้แวบหนึ่งก่อนจะหันมาคุยกับเจียอวี่อีกครั้ง
“เพ่ยเพ่ย” เธอเอ่ยออกมาอย่างไร้เหตุผล ราวกับว่าเธอนั้นก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงพูดชื่อนี้ออกไป เฟยหลงฉุกคิดเล็กน้อยถึงเมื่อครั้งก่อนที่เธอจะเข้ามาในมิตินี้ ชื่อนี้คือเสียงที่แผ่วเบาที่เธอได้ยินในตอนนั้น “นามของข้า.. เพ่ยเพ่ย”
“ข้าอยากชวนเจ้าเข้าวัง” เจียอวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง จ้องมองเข้ามาในดวงตาของเธออย่างขอความช่วยเหลือ
“ข้าไม่ปิดบัง เจียอวี่ผู้นี้ได้รับคำสั่งจากท่านผู้นั้น ให้มาตามหาหมอเทวดาที่อยู่แถบนี้”
“หมอเทวดา” เธอเอ่ยย้ำคำพูดของเขาอย่างไม่เข้าใจ หมอเทวดาอะไร หรือว่าหมอเทวดาที่ว่าคือเธองั้นเหรอ
“แต่จากที่ข้าทราบมานั้นเจ้า.. อายุไม่ใกล้เคียงนาง”
“เช่นนั้น จึงไม่ใช่ข้า” เฟยหลงตัดประเด็นเรื่องนี้ทั้งหมด เพราะเดิมทีตอนนี้สิ่งที่เธอควรคิด คือทำยังไงถึงจะออกไปจากมิติบ้าบอนี่ มากกว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง
เจียอวี่ชายผู้นี้ไม่ได้มีในนิยายของเธอ ยิ่งเสี่ยวจ๋ายด้วยแล้ว ในนิยายที่แต่งแค่เรื่องราวในราชสำนัก ไม่ได้กล่าวถึงเทพถึงเซียน นั่นหมายความว่าที่นี่ ไม่ใช่นิยายที่เธอแต่ง
“แต่เจ้ารู้เรื่องพิษ.. ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
“ข้าไม่รู้..” เธอยังยืนยันคำเดิม เพราะยิ่งเธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่โลกนี้มากเท่าไหร่ มันจะยิ่งทำให้เธอหาทางกลับได้มากเท่านั้น หรือว่า..
“ท่านผู้นั้นของเจ้าเป็นใคร” เฟยหลงหันไปถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจียอวี่ที่มีสีหน้าที่สงสัยแต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น
“ผู้ที่อยู่เกือบสูงสุด”
“งั้นได้.. ข้าจะไปกับเจ้า” คิดไปคิดมาแล้ว หากอยู่แต่ในป่า อาจจะไม่รู้เรื่องราวอะไร นั่นแปลว่าการจะหาทางกลับไปยิ่งยากขึ้น ถ้าในป่าไม่รู้.. งั้นในวังก็ไม่เลว
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยเรื่องใด”
“ตรวจสอบอาการป่วยของฮ่องเต้”
“ในวังไม่มีหมอหลวงหรือ”
“มี.. หากหมอหลวงรักษาได้ ข้าจะเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามหาหมอเทวดาหรือ” เจียอวี่ยังคงยียวนกวนประสาท แต่ก็เพียงไม่นาน เพราะต่อมาเขาก็ยกถ้วยยานั้นไปกระดกดื่มจนหมด
“เจ้าดื่มยาแล้วพักผ่อนเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” เธอเอ่ยออกมา ก่อนจะเดินออกมาด้านนอก
“เช่นนั้น.. เจ้ารับปากข้าแล้วใช่หรือไม่”
“อืม”
สายน้ำที่ไหลผ่านด้านหลังกระท่อมที่ดูจะทรุดโทรม แปลงดอกไม้ที่พากันออกดอกรับลมรับแสงอาทิตย์ เป็นภาพที่สวยงามมากที่หนึ่งสำหรับมนุษย์ที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเป็นประจำเช่นเฟยหลง ที่วันหนึ่งจ้องมองแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“เสพภาพพวกนี้เยอะ ๆ นะเฟยหลง เพราะหลังจากแกออกจากที่นี่ แกอาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลยนะ” หลี่เฟยหลงหลับตาชูแขนรับลมอย่างอารมณ์ดี
“เจ้านี่พูดมากเหมือนกันแฮะ” เธอตกใจจนหัวใจเต้นตุ้บตั้บ หันไปมองตามเสียงก็พบว่าจิ้งจอกน้อยสีเทา นอนบนกิ่งไม้ใหญ่ใกล้ลำธารอยู่ก่อนแล้ว
“นี่เจ้า.. เจ้ามาอยู่ตรงนั้นตอนไหนกัน”
“อาเพ่ย.. จะเข้าวังจริงหรือ ที่ถงอวิ๋นเมิ่งนี้มีหลายสิ่งที่ข้าไม่รู้ ข้าเกรงว่าเจ้าจักมีอันตราย”
“เจ้า.. ไม่ต้องไปกับพวกข้าหรอกมันอันตราย ข้าคิดว่าเจ้าควรกลับไปที่ของเจ้ามากกว่า” เฟยหลงดึงชายกระโปรงของตัวเองให้สูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงไปในลำธารที่เย็นยะเยือก
“ถ้าข้ากลับได้ เจ้าคิดว่าข้าจะมาทนกินปลาไหม้อยู่ที่นี่กับเจ้าเช่นนั้นหรือ” สิ้นสุดคำพูดของจิ้งจอกสีเทาที่นอนสบายใจบนกิ่งไม้ใหญ่ เฟยหลงก้มลงหยิบก้อนหินขนาดเล็กในลำธารโยนไปทางที่เจ้าเสี่ยวจ๋ายนั้นนอนด้วยความรู้สึกหมั่นไส้
“เฮ้ย!” แต่ไม่รู้เพราะเธอโยนแม่น หรือว่าเจ้าจิ้งจอกประหลาดนั้นไม่ทันระวังตัวกันแน่ เพราะทันทีที่ก้อนหินก้อนนั้นลอยไปถึงตัวด้วยความสามารถและความแม่นยำ ในเรื่องการปายางลบใส่หัวเพื่อนในสมัยเรียนของหลี่เฟยหลงแล้ว เจ้าจิ้งจอกสีเทาจำเป็นต้องกระโดดหลบจนตัวของมันนั้นตกจากกิ่งไม้ใหญ่ จากรูปร่างของจิ้งจอกขาวหางเดียวบัดนี้อยู่ในรูปร่างของมนุษย์เพศชาย ที่มีใบหน้าหล่อเหลาเทียบเท่านักแสดงในโลกปัจจุบันเห็นจะได้ ผมสีเทาถึงมัดไว้เป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นยังมีหางที่ดูน่าจะนุ่มฟูกำลังแผ่สยายออกมาทีละหาง
“เจ้ามันตัวอะไรกันเนี่ย!” แม้เธอจะรู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเดิมทีเจ้าจิ้งจอกตัวนี้ก็พูดได้และเข้าใจภาษามนุษย์แถมยังมีความสามารถที่ร่างกายนั้นเปล่งแสงได้
และเมื่อยิ่งคิดว่าในนี้คือโลกในนิยาย นั่นหมายความว่าจินตนาการย่อมไม่มีที่สิ้นสุด แล้วความตกใจที่น่าจะมีมากกว่านี้ ก็เหลือเป็นเพียงความน่าเหลือเชื่อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“นี่เจ้าไม่ตกใจหรือ” เสี่ยวจ๋ายเดินตรงดิ่งมาที่เธอด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนจะมายืนเท้าเอวจ้องหน้าเธอเขม็งราวเด็กน้อยที่พร้อมหาเรื่องได้ทุกเมื่อ
“เจ้าพูดได้ก็น่าจะทำข้าตกใจพอแล้ว.. ที่เพิ่มมาก็แค่เจ้ามีร่างเป็นมนุษย์ แค่นี้..” เฟยหลงใช้สายตาคมกริบหลี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมาส่ายไปส่ายมาส่งให้
“เจ้า!แล้วผู้ใดกันที่เจอข้าครั้งแรก ก็ตกใจก้นแนบพื้นหมดสภาพผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน!”
“ไอ้เจ้าจิ้งจอกหัวขาว!” ทั้งสองยืนเถียงกันอยู่ข้างลำธารราวกับเด็กน้อย หางตาของเฟยหลงเหลือบขึ้นไปด้านบนที่ห่างไปไม่ไกลนัก พบว่าเจียอวี่นั้นยืนมองทั้งสองด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“เจ้าจิ้งจอก!”
ตอนที่ 98 เจิงฮูหยิน.. ข้ามาแล้วทั้งสี่ยืนมองเจิงอวี้เจินที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร สองแขนของเขากอดร่างกายของภรรยาเอาไว้แน่น ใบหน้าคมประกบจูบลงที่ริมฝีปากของนางก่อนจะขยับเลื่อนไปหอมแก้มทั้งสองข้างของเธอ พร้อมทั้งจุมพิตที่หน้าผากอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อย ๆ ช้อนตัวของเฟยหลงนั้นขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินอุ้มนางไปวางไว้บนเตียง"ข้าขออยู่ส่งนางจนวินาทีสุดท้ายได้หรือไม่" เขาหันมามองท่านยายหลิงไถที่พยักหน้าให้เล็กน้อย เมื่อเขาได้รับอนุญาตแล้วจึงได้ขึ้นไปนอนคู่กันกับเธอบนเตียง สองแขนกอดร่างกายของเธอเอาไว้แน่นอยากสัมผัสไว้ให้นานที่สุด"พวกเจ้าทั้งสองออกไปรอด้านนอกก่อน ข้าจะเตรียมพิธีและเมื่อถึงเวลาอันสมควรข้าจะให้กู่ป๋ายออกไปเรียกพวกเจ้า" สิ้นสุดคำพูดของท่านยายสหายทั้งสองได้มองใบหน้าของเจิงอวี้เจินและหลี่เฟยหลงอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปรอด้านนอกอย่างว่าง่าย"กู่ป๋าย.. เจ้ากลัวหรือไม่" แม้ว่าเจิงอวี้เจินนั้นจะได้ยินเสียงของท่านยายและน้องชายของแม่นางเพ่ยเพ่ยคุยกัน แต่เขากลับได้หาสนใจไม่ เขาไม่สนใจเลยว่าทั้งสองจะพูดเรื่องอะไร เขาสนใจเพียงแต่เขาอยากจะกอดร่างกายของภรรยาของเขาเอาไว้ให้นานที่สุด น้ำตาของชาย
ตอนที่ 97 หากนางอยู่ที่นี่.. นางจะเจ็บปวด"เหตุใดเจ้าถึงไม่ยินดี.. ในเมื่อเรื่องนี้เราทั้งสองนั้นได้คุยกันมาก่อนแล้วไม่ใช่หรือ ว่าหากจบเรื่องราวทั้งหมด ข้าจะให้ท่านพ่อของข้าไปสู่ขอเจ้า""ท่านพี่.. ข้ารักท่านอย่างที่ไม่เคยรักชายใดมาก่อน ท่านเป็นคนแรกที่ทำให้ข้ารู้จักคำว่ารัก คำว่าห่วงใย เพียงแต่ท่านหลงลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือว่าข้ามิใช่คนในโลกใบนี้ หากเมื่อเราทั้งสองนั้นได้ตกลงปลงใจเข้าร่วมพิธีสมรสในครั้งนี้ หากข้าต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีท่านจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวข้าไม่ยินดีให้ท่านเป็นเช่นนั้น ข้าไม่ยินดีที่ให้งานมงคลสมรสของเราทั้งคู่เป็นสิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งท่าน.. ท่านเข้าใจความรู้สึกของข้าหรือไม่""แม่นางหลี่เฟยหลง.. เช่นนั้นเจ้าฟังคำของข้าให้ดี ต่อให้ในโลกใบนี้หรือใบไหน หากเจ้าอยู่ที่ใดข้าขอให้คำมั่นสัญญาต่อฟ้าดินเพื่อเป็นพยาน ข้าจะรักเพียงเจ้าจะติดตามเจ้า ไปทุกที่ หรือต่อให้เจ้าจะทิ้งข้าไว้ในที่แห่งนี้ ทะเลเพลิง ภูเขาน้ำแข็งหรือต้องตายกี่ครั้ง ข้าก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงแค่ข้าได้รักเจ้าได้ดูแลเจ้าได้อยู่กับเจ้า แม้จะเป็นเพียงหนึ่ง วัน สองวัน เจ็ดวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือตลอดชี
ตอนที่ 96 ข้าไม่ยินดีสำหรับงานมงคลสมรสในครานี้เฟยหลงมองดูแม่นางเพ่ยเพ่ยที่กระโดดโลดเต้นไปมาราวกับว่านางนั้นกำลังทำสิ่งที่เฝ้ารอจนสำเร็จ ด้วยความดีใจของสตรีผู้นี้ที่ดูจะดีใจเกินกว่าปกติทำให้เธอรู้สึกอยากรู้อีกครั้งได้ชะโงกหน้าไปมองที่ตำราเล่มนั้นอีกครา ในตำราหมายเหตุไว้ว่าหากต้องการสิ่งใดให้นึกถึงสิ่งนั้น เป็นการซ้อนวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอีกโลกขนานหนึ่ง"สิ่งมีชีวิตอีกโลกหนึ่ง.. เหตุใดในยุคสมัยนี้ถึงรู้เรื่องราวเหล่านี้""ข้าต้องการท่านแม่.. หากข้าสามารถเรียกวิญญาณท่านแม่ได้เรื่องราวพวกนี้ก็จะจบลง แต่หากข้าทำไม่สำเร็จวิญญาณของคนผู้นั้นที่ข้าเรียกมาต้องสะสางเรื่องราวยุ่งเหยิงที่ข้าก่อขึ้นนี้ได้เป็นแน่"แม่นางเพ่ยพูดจบก็ได้วางทุกอย่างลงบนโต๊ะ พร้อมทั้งหยิบเจ้าปลาตัวใหญ่นั้นเดินเข้าไปในครัว แม้ว่าหลี่เฟยหลงจะอยู่ที่นี่อยู่นาน แต่เธอกลับไม่รู้ว่าที่แห่งนี้ส่วนนั้นเป็นครัวที่สามารถทำอาหารได้ เพียงแต่ไม่มีอุปกรณ์ใดที่ใช้ในการทำอาหารอะไรสักอย่าง เธอมองดูแม่นางเพ่ยเพ่ยที่ใช้พลังสีทองของตนในการถอดเกล็ดปลาเสียบไม้แล้วย่าง นางใช้พลังของตนเองในการทำจนหมดสิ้นราวกับไม่ว่าเธอจะไปอยู่ที่แห่งใดย่อมไม่อด
ตอนที่ 95 ซ้อนวิญญาณวิชาต้องห้ามสตรีผู้นี้แผดเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องขัง สาดคำพูดต่อว่าสตรีที่สูงส่งผู้นี้อย่างไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว แต่นอกจากที่พระสนมเอกจะไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือไม่พอใจแล้ว นางกลับกำลังยกยิ้มอย่างชอบใจสายตาคู่นั้นของแม่นางเพ่ยเพ่ย มองไปทางน้องชายที่ถูกลากออกไป ราวกับหมูหมากาไก่เปรียบเหมือนว่าเขานั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ความรู้สึกคับแน่นในอกเริ่มทำให้นางไม่มีทางเลือก หากนางไม่ทำตามคำที่สนมเอกบอก ชีวิตของน้องชายนางไม่รอดแน่ แต่หากนางทำเรื่องที่พระสนมต้องการนั่นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเธอ หากมันสำเร็จก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเธอและน้องชายจะรอด แต่ก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าทั้งสองจะไม่รอด"เจ้าคิดให้ดีหากเจ้าทำมันสำเร็จข้ารับรองว่าชีวิตของเจ้าและน้องชายเจ้า จะเดินทางออกจากแคว้นฉวางอย่างปลอดภัยหายห่วง.. แต่หากเจ้าไม่ยินดีข้าจะ นำหัวของน้องชายเจ้ามาคืนให้เจ้า.. เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่"แม่นางเพ่ยเพ่ยทำได้เพียงจ้องมองไปที่น้องชายของตนเอง ที่กำลังหายลับไปจนสุดสายตา ก่อนจะสลับมามองพระสนมเอกที่มีนิสัยละโมบโลภมาก เธอไม่รู้เลยว่าทางออกของเธอควรเป็นอย่างไร เธอรู้เพียงแต่ใน
ตอนที่ 94 เจ้ามันปีศาจเธอตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องกังวานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนรู้สึกแสบคอ ก่อนจะเด้งตัวมานั่งขัดสมาธิพร้อมทั้งกอดอก อย่างคนที่หงุดหงิด สายตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อีกครั้งก่อนจะหลับตาลงเล็กน้อย"ถ้าหงายหลังนอนอีกครั้งจะไปตกที่หลังคาวังหลวงหรือเปล่านะ" แม้ว่าเธอจะคิดเล่น ๆ แต่ทันทีที่เธอหงายหลังนอนลงไปอีกครา ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวอีกครั้ง"กำลังเดินทางอีกแล้วสินะ" เธอไม่แม้แต่จะลืมตามามองรอบกาย ทำได้เพียงแค่กอดอกพร้อมปล่อยร่างกายของตัวเองให้ไหลไปตามกระแสลมที่ได้รับฟึ่บ!แต่ครั้งนี้เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นตกลงมาที่กองฟางเห็นจะได้ ดวงตาทั้งสองเปิดขึ้นเห็นเพียงแค่ความมืดสนิท เธอค่อย ๆ ใช้มือทั้งสองคลำไปรอบกายรับรู้ได้ว่ามันคือกองฟางจริง ๆ เฟยหลงดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งสอดสายตามองหาแสงสว่าง"จับมัน!" เธอต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยคำสั่งที่น่ากลัว พร้อมทั้งเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่วิ่งเข้ามาในกระท่อมหลังนี้ สองเท้าของเธอก้าวเดินออกไปข้างหน้าตามแสงสว่างที่มีเพียงน้อยนิดนั้น เธอแอบมองจากด้านในเห็นทหารมากมายในชุดดำกำลังจับสองพี่น้องที่ไม่มีทีท่าว่าจะร้
ตอนที่ 93 ความหลังของเพ่ยเพ่ยตู้ม!!แต่ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ซ้ำหรือกำซัด ทันทีที่ก้นของเธอแตะที่ปุยเมฆขาวนุ่มฟูนั้นร่างกายของเธอก็ได้ตกลงไปในสระน้ำแห่งหนึ่งจนเนื้อตัวเปียกปอนฟู่ว~ทันทีที่เธอนั้นตะเกียกตะกายขึ้นโผล่พ้นน้ำ ริมฝีปากบางได้พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงเพื่อฮุบเอาอากาศด้านบน สายตาของเธอกวาดมองไปรอบกายเห็นกระท่อมที่คุ้นตา เฟยหลงจดจำกระท่อมหลังนี้ได้แม่นยำอย่างไม่มีวันลืม"ทำไมจู่ ๆ ถึงได้กลับมาที่กระท่อมกลางป่าอีกแล้ว" แม้ว่าจะสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่บัดนี้หลี่เฟยหลงกำลังตะเกียกตะกายให้ตัวเองขึ้นมาจากในสระ ทันทีที่ร่างกายที่เปียกปอนของเธอปะทะเข้ากับสายลมที่พัดเข้ามาไม่ขาดสายทำให้รู้สึกหนาวเหน็บอยู่ไม่น้อย สองเท้าค่อย ๆ เดินขึ้นไปทางกระท่อมหลังนั้น ทุกอย่างดูไม่ผิดปกติจากที่เธอเห็นก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ เพียงแต่ที่แห่งนี้กลับรู้สึกว่ามีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อคราวที่เธอมาในครั้งนั้นอยู่มาก"ท่านยาย.. ยาบำรุงนี้ปรุงอย่างนี้ใช่หรือไม่" ยังไม่ทันที่เธอจะผลักประตูเข้าไป หลี่เฟยหลงได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นภายในกระท่อมหลังนั้น"ไม่ใช่! สมุนไพรชนิดนี้ไม่สามารถเป็นยาบำรุงได้เจ้าไปเอาชิ้นน