ห่าวซวนรีบเดินทางตลอดทั้งวัน จะแวะพักก็ต่อเมื่อถึงเวลาค่ำ เพื่อนอนพักผ่อนเท่านั้น เพราะนายเหนือหัวของเขาสั่งมาว่าให้เดินทางกลับมาเมืองหนานเหลียนให้เร็วที่สุด เพื่อจัดงานแต่งก่อนที่หลัวฮูหยินจะกลับมาแล้วทราบเรื่องที่หลัวหยางโหวเลื่อนงานแต่ง
หลิวหลิงลี่ถึงจะเหนื่อยกับการเดินทางมากเพียงใด แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยบ่นออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เพราะอย่างไรในขบวนนี้นางก็เป็นสตรีเพียงคนเดียว แม้แต่สาวรับใช้ข้างกายก็ไม่มี หญิงสาวจึงไม่กล้าที่จะพูดสิ่งใดกับบุรุษแปลกหน้ามากนัก ดังนั้นตลอดทางมาคำพูดที่ออกจากปากนางแทบนับคำได้
10วันต่อมา
ขบวนรับเจ้าสาวเดินทางมาถึงเมืองหนานเหลียน หากเป็นปกติก็คงจะใช้เวลาประมาณ15ถึง20วัน เมืองนี้เป็นเมืองที่หลัวหยางโหวพึ่งยกทัพตีมาได้ไม่นานนัก ในเมืองจึงยังมีการซ่อมแซมบ้านเรือนและกำแพงเมืองอยู่ ถึงผู้คนจะทำมาค้าขายตามปกติ แต่ก็ดูไม่ครึกครื้นเท่าที่ควร
“ถึงแล้วขอรับ” ห่าวซวนเอ่ยบอกคนภายในรถม้า เมื่อมาถึงหน้าจวนเจ้าเมือง
หลิวหลิงลี่เดินออกมาจากภายในรถม้า ครั้นเห็นจวนเจ้าเมืองความข้องใจก็เกิดขึ้นทันที ตลอดทางในเมืองไม่มีการจัดตกแต่งด้วยผ้าและกระดาษสีแดง หญิงสาวก็พอเข้าใจได้ว่าเพิ่งผ่านการรบมาไม่นานนัก บางบ้านยังไว้อาลัยให้กับคนในครอบครัวที่เพิ่งจากไปอย่างไม่หวนกลับอยู่ แต่ทว่าใยจวนเจ้าเมืองที่จะใช้จัดงานมงคลกลับเงียบเชียบ ราวกับจะไม่มีงานมงคลเช่นนี้
แต่หลิวหลิงลี่ก็ทำได้เพียงเก็บความสงสัยนี้ไว้ภายในใจ เพราะบัดนี้นางต้องการเพียงแช่น้ำอุ่น ๆ กับเตียงที่สามารถทิ้งตัวลงนอนได้อย่างสบาย เพราะหลายวันมานี้ค่ำไหนนอนนั่น บางครั้งได้พักโรงเตี๊ยมก็โชคดีไป แต่ส่วนใหญ่มักได้นอนขดตัวอยู่ในรถม้ากลางป่า
พ่อบ้านจวนเจ้าเมืองออกมาต้อนรับหลิวหลิงลี่ ก่อนจะเดินนำทางเข้าจวนไป ในจวนแห่งนี้มีเรือนใหญ่อยู่สามเรือน เรือนใหญ่ด้านหน้าเป็นเรือนที่หลัวหยางโหวพัก ส่วนเรือนตะวันออกตอนนี้ยังไม่มีผู้พักอาศัย และเรือนตะวันตกเป็นเรือนที่พ่อบ้านเตรียมไว้ให้หลิวหลิงลี่อยู่ เพราะเรือนตะวันตกมีสวนดอกไม้อยู่ในเรือน
เมื่อเดินมาถึงเรือนตะวันตก หลิวหลิงลี่ก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาก เพราะบรรยากาศภายในเรือนเต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้หลากสี และยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ที่ถูกลมพัดมาแตะที่จมูกของนาง เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาด้านในเรือน ก็เห็นคนรับใช้ยืนเรียงหน้ากันอยู่หลายคน
ตลอดทางที่เดินเข้ามาในจวนจนถึงเรือนตะวันตก ทุกคนที่ได้เห็นใบหน้าของหลิวหลิงลี่ก็ต่างตกตะลึงในความงามของนาง ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อบ้านของจวนเจ้าเมือง แต่ทุกคนก็ต่างรู้ว่านางจะมาเป็นฮูหยินของท่านโหว จึงได้แต่ก้มหน้าเก็บอาการ เพราะทุกคนเคยได้เห็นความโหดเหี้ยม ที่ท่านโหวได้กระทำตอนสู้ศึกชิงเมืองแห่งนี้มาแล้ว ดังนั้นจึงมิกล้าที่จะแสดงท่าทียินดียินร้ายใด ๆ กับหลิวหลิงลี่
เหตุผลที่หลัวหยางโหวตีเมืองนี้ ก็เพียงเพราะเมื่อก่อนท่านเจ้าเมืองเคยยกทัพไปตีเมืองอันหยาง ในวันที่ท่านโหวกำลังจัดพิธีศพให้กับบิดาที่ตายเพราะคนสกุลหลิว
โชคดีที่ครั้งนั้นหลัวหยางโหวได้‘เฉินฟางหลาง’ท่านลุงช่วยไว้ เลยต้านทัพเจ้าเมืองหนานเหลียนไว้ได้ เมื่อบัดนี้หลัวหยางโหวแข็งแกร่งขึ้นจึงมาจัดการคนที่เคยข่มเหงตนเองเมื่อเยาว์วัย เขาจับเจ้าเมืองแม่ทัพและเหล่าขุนนางที่มีส่วนร่วมวางแผนตีเมืองอันหยางในครั้งนั้น แขวนไว้บนกำแพงเมืองแล้วใช้ธนูยิงวันละสามดอก โดยไม่ยอมยิงให้โดนจุดตาย ปล่อยให้คนเหล่านั้นทรมานจากการบาดเจ็บ และความหนาวยามค่ำคืน จนในที่สุดก็ตายจากไปอย่างทรมาน
ชาวบ้านที่เห็นต่างสลดหดหู่กับภาพเลือดที่ไหลเปื้อนบนกำแพงเมือง พร้อมเสียงร้องอันโหยหวนของเจ้าเมืองแม่ทัพ และเหล่าขุนนางพวกนั้น
ไม่เพียงแค่เมืองหนานเหลียนแห่งนี้เท่านั้น แต่อีก5เมืองที่หลัวหยางโหวไปตีมาก็ถูกทำเช่นเดียวกัน ทำใช้ชื่อเสียงอันโหดเหี้ยมของเขาดังไปทั่วทั้งแคว้น
แต่หลัวหยางโหวก็ถือว่าเป็นบุรุษใจกว้างผู้หนึ่ง ที่ยังแตกต่างจากทรราชที่ฆ่าไม่เลือกหน้า เพราะหากผู้ใดยอมสวามิภักดิ์และไม่เกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนั้น หลัวหยางโหวก็จะละเว้นและให้โอกาสคนเหล่านั้น ได้ทำหน้าที่ของตนเองที่เคยทำตอนอยู่กับเจ้าเมืองคนก่อน
เมื่อรู้ว่าหลิวหลิงลี่จะมาเป็นฮูหยินของหลัวหยางโหว จึงทำให้ผู้คนไม่กล้ายลโฉมนางโดยตรง หรือแม้แต่จะแอบดูนางนาน ๆ ถึงหลิวหลิงลี่จะมาในฐานะฮูหยินของหลัวหยางโหว แต่กลับไม่มีใครอยากรับใช้ใกล้ชิดสนิทกับหลิวหลิงลี่ เพราะรู้ดีว่าตระกูลของนางคือคนที่สังหารบิดาและท่านปู่ของหลัวหยางโหว ดังนั้นความแค้นนี้ย่อมร้ายแรงกว่าพวกที่ไปโจมตีเมืองอันหยาง ตอนที่เขากำลังอ่อนแออย่างแน่นอน
“คารวะนายหญิง” เหล่าหญิงรับใช้ประสานเสียงทำความเคารพหลิวหลิงลี่
“แม่ทัพห่าวซวนได้ส่งคนมาบอกกับข้าน้อย ว่านายหญิงมิได้นำสาวรับใช้มาด้วย ให้ข้าน้อยหาหญิงรับใช้ส่วนตัวมาให้ ข้าน้อยกลัวว่าจะเลือกไม่ถูกใจนายหญิง จึงรอให้นายหญิงมาเลือกด้วยตนเองขอรับ”
“ขอบใจท่านพ่อบ้านมากที่เป็นธุระให้”
“นายหญิงอย่าได้เกรงใจ เป็นหน้าที่ของผู้น้อยอยู่แล้ว”
หลิวหลิงลี่ส่งยิ้มบางให้กับพ่อบ้าน ก่อนจะหันหน้ามามองหญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหน้า หญิงรับใช้มีทั้งอายุมากและอายุน้อยปนกัน
“พวกเจ้าใครที่ไม่มีญาติ ไม่มีพี่น้อง ไม่มีพ่อแม่หรือมีลูกที่ต้องดูแลอีกแล้วหรือไม่?” ที่ถามเช่นนี้เพราะหญิงสาวไม่อยากได้คนที่มีพันธะมาคอยรับใช้นาง เพราะหลิวหลิงลี่ยังไม่รู้ชะตาของตนเองว่าจะดีจะร้ายเพียงใด หากสาวรับใช้ของนางถูกหางเลขไปด้วย ครอบครัวของสาวรับใช้ก็จะไร้คนคอยดูแล
หลิวหลิงลี่ยืนมองหญิงรับใช้อยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครขานตอบอันใดออกมา พ่อบ้านเห็นไม่มีใครแสดงตนจึงได้เอ่ยปากบอกด้วยตนเอง
“นายหญิงมีอยู่สองคนขอรับ คือจงเอ่ากับเสี่ยวหลี่ขอรับ”
เมื่อพ่อบ้านบอกกับหลิวหลิงลี่เสร็จก็หันมาเรียกหญิงรับใช้ทั้งสองคนให้ออกมายืนด้านหน้า หลิวหลิงลี่พินิจพิจารณาสตรีทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง จงเอ่าอายุราวสามสิบกว่า ๆ ส่วนเสี่ยวหลี่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเหนี่ยวเหนี่ยวสาวใช้คนสนิทของนาง
หญิงรับใช้ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้ามองหลิวหลิงลี่ เมื่อหญิงสาวเห็นท่าทางที่พวกนางทำย่อมรู้ว่าพวกนางไม่ต้องการจะมารับใช้ตนเอง และด้วยสาเหตุใดนั้นหลิวหลิงลี่ก็พอจะคาดเดาได้