หลิวหลิงลี่กล่าวอำลาบิดาสั้น ๆ นางข่มน้ำตาไม่ให้ไหลรินออกมา ส่วนบิดาไม่ได้เอ่ยอันใดแต่สีหน้ากลับเผยความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน หลิวหลิงลี่คุกเข่าคำนับบิดาเพื่ออำลา ในขณะที่โค้งตัวลงคำนับหญิงสาวก็รู้สึกใจหายที่จะต้องจากบิดาไปไกล แต่นางก็มิอาจเอ่ยให้บิดาเป็นกังวลได้
เพียงบุรุษวัยกลางคนพยุงบุตรสาวให้ลุกขึ้นยืน ข้างนอกก็เริ่มบรรเลงดนตรีเร่งเร้าให้เจ้าสาวต้องออกจากประตูจวน หลิวตงเองก็รู้สึกใจหายไม่ต่างจากบุตรี เขาจับมือบุตรสาวเดินไปยังหน้าประตูจวน ครั้นถึงหน้าประตูจวนบุรุษวัยกลางคนก็ยิ่งจับมือของบุตรสาวเอาไว้แน่น ราวกับไม่อยากให้นางก้าวออกจากเรือนไป
“ท่านพ่อดูแลตัวเองดี ๆ นะเจ้าคะ”
หลิวตงพยักหน้าตอบบุตรี แต่ไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมา เพราะกลัวว่าจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ เขารู้ว่าตอนนี้เขาไม่อาจรั้งบุตรสาวให้อยู่ด้วยได้อีกต่อไป บุรุษวัยกลางคนจึงจำใจต้องปล่อยมือให้บุตรสาวก้าวเท้าออกจากประตูจวนไป
เพียงหลิวหลิงลี่เดินออกมาด้านนอกจวน ก็พบว่าชาวเมืองมายืนรอกันอย่างหนาแน่นตลอดทั้งสองข้างทาง หญิงสาวจึงได้ยอบตัวลงเล็กน้อยให้กับเหล่าชาวบ้านที่มาส่งนางออกเรือน
เมื่อทุกคนเห็นหลิวหลิงลี่ยอบตัวลงก็ต่างพากันคุกเข่า เดิมทีการแต่งงานตามธรรมเนียมเจ้าบ่าวจะต้องเดินทางมารับเจ้าสาวด้วยตนเอง เพื่อเป็นการให้เกียรติกับฝ่ายเจ้าสาว แต่หลัวหยางโหวกลับส่งมาเพียงแม่ทัพกับคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ทำให้ชาวเมืองรู้สึกสงสารธิดาของเจ้าเมืองไม่น้อย และอีกอย่างการแต่งงานครั้งนี้ชาวเมืองล้วนรู้ดีว่าแต่งเพื่อยุติสงคราม ดังนั้นการที่หลัวหยางโหวไม่มาด้วยตนเอง ถือเป็นการดูแคลนธิดาเจ้าเมืองอย่างยิ่ง พวกชาวเมืองจึงรวมตัวกันมาส่งขบวนเจ้าสาว พร้อมร้องเพลงอวยพรให้หลิวหลิงลี่ดังกึกก้องตลอดทางจนถึงประตูเมืองหลิวผิง เพื่อให้คนที่มาจากเมืองอันหยางได้รู้ว่าธิดาของท่านเจ้าเมืองหลิวผิงนั้นเป็นที่รักใคร่ของชาวเมืองมากเพียงใด
ความรักและเคารพที่ชาวเมืองหลิวผิงมีให้หลิวหลิงลี่ ทำให้เหล่าคนที่มารับเจ้าสาวเห็นเป็นประจักษ์อย่างชัดเจน แม้กระทั่งห่าวซวนที่เย่อหยิ่งสุดท้ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองราษฎร ที่ให้ความเคารพต่อคุณหนูสกุลหลิวมากมายถึงเพียงนี้ และเพราะเหตุนี้ทำให้ห่าวซวนยิ่งรู้สึกละอายใจต่อหลิวหลิงลี่มากเข้าไปอีก
หญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถม้าน้ำตาไหลรินเป็นสายน้ำด้วยความปลื้มปิติในการกระทำของชาวเมือง ก่อนหน้าที่หลิวหลิงลี่จะขึ้นรถม้าความจริงน้ำตาของนางก็ไหลออกมาแล้ว แต่โชคดีที่หลิวหลิงลี่ถือพัดบังใบหน้าเอาไว้ จึงไม่มีผู้ใดได้เห็นน้ำตาของนาง
ยามนี้ขบวนรถเจ้าสาวได้เดินทางออกจากเมืองหลิวผิงมาจนมองไม่เห็นตัวเมืองแล้ว แต่หลิวหลิงลี่ยังคงรู้สึกตื้นตันใจกับสิ่งที่ชาวเมืองได้ทำให้นาง ทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าการเสียสละตัวเอง เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ครั้งนี้นางคิดถูกต้องแล้ว และไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องทำให้หลัวหยางโหวใจอ่อนยอมวางความแค้นในอดีตให้ได้ แต่หากนางทำไม่ได้จริง ๆ ก็จะยื้อเวลาให้นานที่สุด เพื่อให้เมืองหลิวผิงเข้มแข็งขึ้นและสามารถปกป้องตัวเองได้
“หยุดก่อน” เสียงที่คุ้นหูของหลิวหลิงลี่ดังขึ้น
“เจ้ากล้าดียังไงมาขวางทางขบวนรถเจ้าสาวของท่านหลัวหยางโหว” เสียงห่าวซวนกล่าวดุดันกับผู้ที่มาขวางขบวนพร้อมชักดาบออกมาโดยไม่รอช้า
หลิวหลิงลี่ได้ยินเสียงน้องชายให้หยุดรถม้าก็รีบออกมาจากภายในรถม้าเพื่อห้ามห่าวซวนอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ทัพ เขาคือน้องชายของข้าเอง”
เมื่อห่าวซวนได้ยินหลิวหลิงลี่เอ่ยบอก จึงสั่งให้ทุกคนเก็บดาบทันที ไม่แปลกที่ห่าวซวนจะไม่รู้จักหลิวเลี่ยงลี่ เพราะตั้งแต่เข้าเมืองมาเขาก็ไม่เคยได้เห็นใบหน้าของหนุ่มน้อยผู้นี้เลย นั่นเพราะหลิวเลี่ยงลี่ทำใจส่งพี่สาวไปไม่ได้จึงได้แต่เก็บตัวอยู่ในค่ายทหาร
หลิวเลี่ยงลี่เห็นผู้เป็นพี่สาวออกมาจากรถม้าก็กระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว หญิงสาวไม่รอช้ารีบลงจากรถม้าแล้วเดินไปหาผู้เป็นน้องชายทันที
“พี่หญิง ข้าแค้นใจตัวเองยิ่งนักที่ไร้ความสามารถ วันนี้จึงทำได้เพียงแค่มาส่งท่านออกเรือนไปทั้งแบบนี้ ใจข้าไม่อยากมาส่งแต่เพียงแค่คิดว่าหากวันนี้ไม่มา ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้เจอท่านอีก แต่พี่หญิงโปรดวางใจ น้องจะมุมานะฝึกตนให้แข็งแกร่งเพื่อเป็นที่พึ่งให้ท่านพ่อและพี่หญิง หากวันใดคนแซ่หลัวทำไม่ดีกับท่าน ข้าจะไปรับท่านกลับบ้าน จะไม่ปล่อยให้ใครมารังแกท่านเป็นอันขาด” หลิวเลี่ยงลี่กล่าวทั้งน้ำตา
“โตแล้วยังจะร้องไห้อีก” หลิวหลิงลี่ยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยต่อ
“อาลี่ต่อไปพี่คงต้องฝากท่านพ่อให้เจ้าดูแลแล้ว แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็อย่าหักโหมจนเกินไป ต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ ส่วนพี่จะใช้ชีวิตให้ดี ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องเป็นห่วง”
หลิวหลิงลี่นึกไม่ถึงว่าน้องชายจะขี่ม้าตามมาไกลถึงเพียงนี้ เพื่อมากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ให้นางฟัง หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เพื่อให้น้องชายได้สบายใจ
“พี่หญิงต้องใช้ชีวิตให้ดี แต่หากไม่เป็นไปอย่างที่คิด ท่านต้องบอกข้านะ อย่าได้เก็บไว้แต่เพียงผู้เดียว ต่อให้ข้าไม่อาจแข็งแกร่งเทียบหลัวหยางโหวได้ แต่ข้าไม่ยินยอมให้ใครมาข่มเหงท่าน พี่หญิงรับปากข้าได้หรือไม่”
หลิวหลิงลี่พยักหน้าตอบรับน้องชาย น้ำตาที่กลั้นไว้บัดนี้กลับห้ามเอาไว้ไม่อยู่ น้ำใสไหลอาบแก้มทั้งสอง ถึงจะรู้ว่าน้องชายของนางตอนนี้ไม่สามารถสู้คนแซ่หลัวผู้นั้นได้เลย แต่เพียงได้ยินคำพูดของน้องชาย หัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นและมีที่พึ่งพิงขึ้นมาทันที
วาจาที่หลิวเลี่ยงลี่กล่าวมา ห่าวซวนได้ยินชัดทุกถ้อยคำ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาได้แต่ยิ้มหยันบนใบหน้า เพราะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มผู้นี้หาใช่คู่ต่อสู้ของท่านโหวของตนไม่ และต่อให้หนุ่มน้อยฝึกหนักอีก10ปี ก็ยังไม่แน่ว่าจะนับเป็นคู่ต่อสู้ของหลัวหยางโหวได้
ครั้นแม่ทัพหนุ่มเห็นสองพี่น้องเอ่ยร่ำลากันพอสมควรแล้ว ห่าวซวนจึงได้เอ่ยเร่งหลิวหลิงลี่ “นายหญิงขอรับ ไปกันได้แล้วขอรับ หากยังชักช้าอาจถึงเมืองหนานเหลียนไม่ทันกำหนดการนะขอรับ”
เมื่อได้ยินแม่ทัพของหลัวหยางโหวกล่าว หลิวหลิงลี่ก็รีบเช็ดน้ำตาและยิ้มให้น้องชายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินมาขึ้นรถม้า ส่วนหลิวเลี่ยงลี่ก็ยืนดูพี่สาวขึ้นรถม้าแล้วจึงเดินไปขึ้นม้าของตนเอง แต่ทว่าเขาก็ยังคงไม่ไปไหน หนุ่มน้อยมองขบวนรับเจ้าสาวจากไปจนลับตา แล้วจึงควบม้ากลับเข้าเมืองหลิวผิง
ประตูเมืองหนานเหลียนกองทัพทหารของเมืองอันหยางบวกกับกองทัพทหารของเมืองหนานเหลียนบางส่วน ตั้งทัพที่นอกประตูเมืองเรียบร้อยพร้อมเดินทางไปทำศึกในครั้งนี้ เวลานี้นายทหารทุกคนรอเพียงแม่ทัพใหญ่ทั้งสามกับกุนซือและหลัวหยางโหวมานำทัพเท่านั้น กองทัพร่วมแสนนายก็จะเคลื่อนกองกำลังไปยังเมืองฟางตงทันทีหลังจากหลัวหยางโหวได้เอ่ยฝากฝังขุนนางที่จะเดินทางมารับตำแหน่งเจ้าเมือง กับเหล่าขุนนางและแม่ทัพของเมืองหนานเหลียนเสร็จแล้ว หลัวหยางก็ขึ้นหลังม้าพร้อมที่จะนำทัพออกจากเมืองทว่าเพียงผู้นำทัพขึ้นหลังม้า กลับมีรถม้าคันหนึ่งพยายามจะเข้ามาใกล้กลุ่มเหล่าขุนนางที่หลัวหยางโหวเพิ่งหารือไป แต่โชคดีที่ทหารสกัดรถม้าคันนั้นเอาไว้เสียก่อน“พวกเจ้ากล้าขวางรถม้าของฮูหยินท่านโหวอย่างนั้นหรือ?” ฟางเซียวที่ขี่ม้าตามมาทีหลัง เอ่ยเสียงแข็งกร้าวดังกังวาน เมื่อเห็นว่ามีทหารมาล้อมรถม้าของหลิวหลิงลี่เอาไว้เพียงได้ยินว่าคนข้างในคือ ‘ฮูหยินของท่านโหว’ เหล่าทหารก็ลดอาวุธลงอย่างรวดเร็วหลัวหยางโหวรวมถึงผู้ติดตามทั้งสี่คนที่จะไปออกรบกับเขาที่เมืองฟา
หลังจากที่หลิวหลิงลี่ตัดสินใจทำตามแผนการของจงเอ่า หญิงรับใช้อายุมากกว่าก็ให้เสี่ยวหลี่ไปเลือกชุดสีชมพูอ่อน พร้อมเครื่องประดับไม่กี่ชิ้นให้ผู้เป็นนายหญิง ส่วนสตรีอายุมากที่สุดเป็นคนลงมือแต่งหน้าให้กับหลิวหลิงลี่ด้วยตนเองจงเอ่าจงใจแต่งหน้าให้หลิวหลิงลี่ราวกับคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ หญิงรับใช้แต่งแต้มสีปากให้นายหญิงด้วยสีชมพูอ่อน ก่อนใช้ผงแป้งทาทับลงเล็กน้อย ให้ริมฝีปากซีดลงอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเขียนคิ้วเป็นขั้นตอนสุดท้ายเมื่อแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จแล้ว หญิงรับใช้ทั้งสองก็รีบพาหลิวหลิงลี่ไปขึ้นรถม้าเพื่อจะไปส่งหลัวหยางโหวที่ประตูเมืองหนานเหลียน แต่ทว่ากลับถูกฟางเซียวรั้งเอาไว้“ฮูหยินจะไปไหนขอรับ” ฟางเซียวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหลิวหลิงลี่โดยไม่มีสิ่งใดปิดบังใบหน้า ความงามของนางสมกับคำเล่าที่เขาได้ยินมาจากแม่ทัพห่าวซวนหลิวหลิงลี่มองหน้าฟางเซียวด้วยความงุนงง เพราะนางมิเคยเห็นหน้าของบุรุษผู้นี้มาก่อน เนื่องจากปกติหลัวหยางโหวจะส่งห่าวซวนมาตลอด“ท่านนี้คือแม่ทัพฟางเซียวเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลี่เห็นสีหน้าของหลิว
วันต่อมาหลัวหยางโหวไปยังค่ายทหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพื่อสั่งให้กองทหารเตรียมตัวเคลื่อนกำลังพลออกจากเมืองหนานเหลียนไปสมทบกับกองกำลังทหารที่จะบุกโจมตีเมืองฟางตง ทั้งที่เดิมทีเขาคิดจะเคลื่อนทัพในอีกสามวันข้างหน้า เพราะจะรอให้ขุนนางจากเมืองอันหยางที่เขาเลือกให้เป็นเจ้าเมืองหนานเหลียนมาถึงเสียก่อนสาเหตุที่เขาออกจากเมืองหนานเหลียนเร็วกว่ากำหนด เป็นเพราะเขาอยากหลบหน้าสตรีแซ่หลิว เนื่องจากเมื่อคืนนี้ หลัวหยางโหวนอนไม่หลับแทบทั้งคืน เพราะเพียงแค่เขาหลับตาลงก็เห็นใบหน้าของนางลอยมา ต่อให้สาเหตุอาจมาจากฤทธิ์สุรา แต่การไม่พบหน้าของหลิวหลิงลี่ในยามนี้คงดีต่อใจเขามากกว่าการไปรบกับเมืองฟางตงครั้งนี้ หลัวหยางโหวมิได้ให้แม่ทัพน้อยฟางเซียวตามทัพไปด้วย แต่กลับให้หนุ่มน้อยคุ้มกันหลิวหลิงลี่กลับไปยังเมืองอันหยาง เพื่อให้นางไปรับหน้ามารดาของเขาที่จะกลับมาจากเมืองเฉิน หลังจากเขากลับมาจากเมืองฟางตง มารดาของเขาก็คงจะสงบใจลงไปได้ไม่มากก็น้อยส่วนเมืองหนานเหลียนแห่งนี้ หลัวหยางโหวเห็นว่าคืนที่เขาฉลองกับเหล่าทหาร เหล่าขุนนางกับเหล่าทหารของเมืองหนานเหลียนก็ไม่มีทีท่าจะตลบหลังเขา ดังนั้น
หญิงสาวที่มักนอนต่างที่ไม่ค่อยหลับ แต่วันนี้กลับนอนหลับสนิทราวกับที่นี่คือห้องนอนของตนเอง นั่นอาจเป็นเพราะกลิ่นกายของบุรุษเจ้าของห้องที่ติดอยู่บนเตียงนอน ที่ทำให้สตรีอาภรณ์แดงรู้สึกผ่อนคลายปลอดภัย นางจึงนอนหลับได้สนิททั้งที่มิใช่เตียงนอนของตน จนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดประตูเพียงหลัวหยางโหวก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องหอก็ต้องพบเจอกับความผิดหวัง เพราะที่เขาหวังไว้นั้นคือภาพที่หญิงสาวนั่งรอเขาเข้ามาในห้องหอจนร่างกายเกิดเหน็บชา หรือไม่ก็เห็นเจ้าสาวของเขานั่งร้องห่มร้องไห้ เนื่องจากถูกเขาเหยียบหยามที่จัดงานแต่งให้นางไม่สมฐานะแต่ทว่าภาพที่เขาได้เห็นอยู่ในตอนนี้ กลับเป็นภาพที่หญิงสาวชุดสีแดงนอนตะแคงหลับตาสนิทอย่างไร้ความกังวลใด ๆ ราวกับนางต่างหากที่ไม่ได้อยากร่วมหอกับเขา ดังนั้นเขาจะมาหรือไม่มาก็หาใช่เรื่องสำคัญสำหรับนางไม่หลัวหยางโหวก้าวเท้ายาวเข้าไปใกล้เตียงนอน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนเสื้อของสตรีที่นอนอยู่บนเตียงแล้วออกแรงกระตุกเบา ๆ สองสามทีด้วยแรงดึงชายแขนเสื้อทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวแต่ทว่านางก็ยังมิยอมตื่น นางหมุนตัวหนีเข้าไปด้านในของเตียง แต่ทว่ามีหรือบุร
ท่ามกลางเสียงประกาศของกุนซือที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินงาน หลิวหลิงลี่เดินไปอย่างไม่ช้าไม่เร็วโดยมีเสี่ยวหลี่กับจงเอ่าคอยนำทาง นางเดินมาหยุดฝีเท้าที่ด้านหน้าของบุรุษหนุ่มชุดแดงหลัวหยางโหวเมื่อเห็นสตรีที่มาจากตระกูลของศัตรูเดินมาหยุดที่หน้าของตนเอง ก็ใช้สายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเชิดหน้าใส่นาง ถึงเจ้าบ่าวผู้เย่อหยิ่งจะทำเมินใส่สตรีชุดเจ้าสาว ทว่าในใจเขากลับยอมรับว่ารูปร่างของนางเย้ายวนใจบุรุษได้ดี และเมื่อหลิวหลิงลี่มายืนใกล้ ๆ ก็ยิ่งทำให้เขาเห็นว่านางตัวเล็กและบอบบางต่างจากเขามากเพียงใดหลิวหลิงลี่ที่ได้เห็นหลัวหยางโหวเป็นครั้งแรกก็รู้สึกไม่พอใจกับสายตาที่เขามองมานัก แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม คิ้วคมจมูกเป็นสันรับกับใบหน้า รูปกายสูงกำยำ หัวไหล่ผายหน้าอกกว้างดูองอาจ เสียแต่สายตาที่ดูดุดันและท่าทางเหยียดหยามผู้อื่นทำให้ใบหน้าดูเย็นชาไม่น่าเข้าหาเมื่อจบพิธียิบย่อยแล้วก็มาถึงพิธีผูกเงื่อนผม ผู้ติดตามตัดปอยผมของเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาผูกเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างกล่าวแสดงความยินดีเมื่อเสร็จพิธีการทั้งหมดที่ห้องโถง หลิวหลิงล
นายทหารทุกคนต่างพากันร้องเฮอย่างดีอกดีใจจนดังกึกก้องทั่วค่ายทหาร ก่อนจะลุกขึ้นโค้งตัวพลางกล่าวขอบคุณหลัวหยางโหวพร้อมกันเสียงดังแต่เพียงช่วงไม่กี่ลมหายใจทุกคนต่างเงียบเสียงลง ราวกับว่าตอนนี้ในค่ายทหารไร้ผู้คน เมื่อทุกคนเห็นหลัวหยางโหวก้มหน้าลงมองพื้น แต่ทว่าเพียงครู่เดียวเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วรินสุราลงพื้นพลางกล่าวอย่างโศกเศร้า“สุรานี้ข้าขอใช้คารวะเหล่าสหายทหารที่สูญเสียจากการทำศึกอันยาวนานที่ผ่านมา ที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินและผู้คนที่อยู่เบื้องหลัง”เมื่อผู้เป็นนายกล่าวจบทุกคนต่างพากันรินสุราตามหลัวหยางโหว และก้มหน้าเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อไว้อาลัยให้ผู้ล่วงลับ ก่อนที่ท่านกุนซือจะเดินมายืนอยู่ด้านข้างหลัวหยางโหว และกล่าวกับทุกคนที่อยู่ในค่าย“เราระลึกถึงผู้ที่จากไปได้ แต่อย่าจมอยู่กับความเศร้าโศกนานนัก ไม่เช่นนั้นจะทำผิดต่อผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องเรา ดังนั้นพวกเราควรใช้ชีวิตให้ดี มีความสุขให้มาก เพื่อทำให้ผู้ล่วงลับจากไปอย่างสงบสุข”ทุกคนที่ได้ยินต่างพยักหน้าเนิบนาบรับรู้ ท่านกุนซือจึงหันไปมองหลัวหยางโหว เพรา