LOGIN“ข้าไม่ถูกใจใครเลยสักคน แต่ในเมื่อข้ารู้จักชื่อของพวกนางทั้งสองคนแล้ว ก็ให้พวกนางคอยดูแลข้าไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้ข้าเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อน ส่วนเรื่องสาวใช้ส่วนตัวเอาไว้ทีหลังเถอะ” ในเมื่อไม่มีใครเต็มใจมารับใช้นาง หลิวหลิงลี่จึงไม่คิดฝืนใจ
“ได้ขอรับ ข้าน้อยให้คนเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว ส่วนอาหารก็ได้จัดเตรียมไว้หมดแล้วขอรับ”
“ขอบใจท่านมาก” เมื่อกล่าวจบหลิวหลิงลี่ก็เดินเข้าห้องไปโดยมีจงเอ่าและเสี่ยวหลี่เดินตามเข้าห้องไปด้วย
หลิวหลิงลี่เมื่อเข้าไปในห้องก็สั่งให้จงเอ่าและเสี่ยวหลี่จัดการจัดเก็บเสื้อผ้าและของใช้เข้าที่ ส่วนหลิวหลิงลี่ก็ไปแช่น้ำแล้วจึงมาทานอาหารที่พ่อบ้านเตรียมไว้ให้ ครั้นหลิวหลิงลี่กินอาหารเสร็จจงเอ่าและเสี่ยวหลี่ก็จัดการเก็บสำรับ แต่ทั้งสองคนยังไม่ทันเก็บสำรับเสร็จกลับถูกหลิวหลิงลี่ยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน
“เจ้าทั้งสองนั่งลง”
หญิงรับใช้ทั้งสองได้แต่สั่นหัวไม่กล้านั่งลง หลิวหลิงลี่เงยหน้ามองสตรีทั้งสอง ก่อนจะจ้องมองที่เก้าอี้เป็นนัยว่าให้ทั้งสองนั่ง
“บ่าวจะกล้านั่งเทียบข้างนายหญิงได้อย่างไรเจ้าคะ” จงเอ่ากล่าวขึ้น
หลิวหลิงลี่จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปนั่งที่เตียงนอน ก่อนจะมองหน้าสาวใช้ทั้งสองที่ยืนประหม่าทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะสตรีอายุน้อยกว่าที่มือไม้สั่น
“ในเมื่อข้าลุกมาแล้ว พวกเจ้าก็นั่งเถอะ” จงเอ่าและเสี่ยวหลี่ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมนั่งลง
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอสั่งให้เจ้าทั้งสองกินอาหารบนโต๊ะให้หมด หากยังไม่ทำอีกข้าจะแจ้งเรื่องที่พวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งข้าให้ท่านโหวทราบ”
เมื่อได้ยินว่าหลิวหลิงลี่จะไปฟ้องหลัวหยางโหว จงเอ่าและเสี่ยวหลี่ก็รีบนั่งลงกินอาหารที่อยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ถึงในใจจะกลัวว่าในอาหารนี้จะมีพิษก็ตาม
ในขณะที่หลิวหลิงลี่นั่งมองคนทั้งสองกินอาหารอยู่ ท่าทางของเสี่ยวหลี่ทำให้หญิงสาวคิดถึงเหนี่ยวเหนี่ยวสาวใช้ข้างกายที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเยาว์
หากไม่เพราะหลิวหลิงลี่รู้ดีถึงชื่อเสียงของหลัวหยางโหวผู้นี้ ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นหาผู้ใดเทียบ นางคงพาเหนียวเหนี่ยวสาวรับใช้คนสนิทที่นางเอ็นดูราวน้องสาวมาด้วยแล้ว แต่เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากผู้แซ่หลัวนี้ดีกับนางก็ดีไป แต่หากไม่ดี นางก็ไม่อยากให้เหนียวเหนี่ยวมาทรมานกับนาง อีกทั้งประจวบเหมาะกับท่านยายของเหนียวเหนี่ยวล้มป่วยไม่มีคนดูแล หลิวหลิงลี่จึงไม่ยอมให้เหนียวเหนี่ยวตามมา เพราะทั้งพ่อและพี่ชายของเหนียวเหนี่ยวก็เป็นทหารที่พลีชีพในสงครามเพื่อปกป้องเมืองหลิวผิง ตอนนี้เหนียวเหนี่ยวจึงมียายเป็นญาติเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“บ่าวทั้งสองกินอาหารหมดแล้วเจ้าค่ะนายหญิง”
จงเอ่าบอกกับผู้เป็นนายที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน สายตากำลังมองออกไปยังนอกหน้าต่าง หากหลิวหลิงลี่ไม่ใช่บุตรสาวของคนที่ฆ่าบิดาและปู่ของหลัวหยางโหว สตรีวัยกลางคนก็อยากเป็นสาวใช้ส่วนตัวของหลิวหลิงลี่ เพราะสตรีที่ใบหน้าสวยโดดเด่น ผิวพรรณขาวเนียนสัดส่วนเด่นชัด ส่วนใดควรเว้าก็เว้า ส่วนใดควรนูนก็นูนได้รูป สตรีเช่นนี้มักจะเป็นภรรยาที่สามีหลงใหล หากเป็นเช่นนั้นนางที่เป็นหญิงรับใช้คนสนิทก็จะได้สบายไปด้วย
หลิวหลิงลี่หันมามองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อสาวรับใช้ทั้งสองเห็นว่าที่ฮูหยินของหลัวหยางโหวมองมาก็รีบหลุบตาลงทันที
“พวกเจ้าออกไปเถอะข้าจะพักผ่อน” ที่หลิวหลิงลี่ให้ทั้งสองทานอาหารที่เหลือให้หมดนั้น เพราะอย่างไรอาหารที่นางทานเหลือเหล่าสาวใช้คนอื่นก็ต้องนำไปทานอยู่ดี เช่นนั้นมิสู้ให้หญิงรับใช้ที่มาปรนนิบัตินางได้อิ่มท้องกับอาหารดี ๆ ย่อมดีกว่า
สาวใช้ทั้งสองรีบเก็บภาชนะใส่อาหาร และออกไปตามคำสั่งโดยไม่ได้ถามสิ่งใด เพราะไม่ได้อยากประจบประแจงให้หลิวหลิงลี่รู้สึกชอบพอ แต่อยากทำตัวห่างเหินเพื่อไม่ให้นางเลือกไว้รับใช้ข้างกาย เมื่อสาวใช้ทั้งสองออกไปหลิวหลิงลี่ก็ได้แต่นอนมองออกไปนอกหน้าต่างจนเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ณ ค่ายทหารเมืองหนานเหลียน
ห่าวซวนหลังจากส่งหลิวหลิงลี่ที่จวนเจ้าเมืองเสร็จแล้วก็รีบเดินทางมาแจ้งผู้เป็นนายที่ค่ายทหารทันที
“คารวะท่านโหว ข้าน้อยกลับมาแล้วขอรับ”
หลัวหยางโหว กุนซือ และเหล่าแม่ทัพที่กำลังมองเหล่าทหารฝึกอยู่หันมามองตามเสียงที่คุ้นเคยด้วยใบหน้ายกยิ้ม
“เจ้ากลับมาได้เวลาพอดี ข้าสะสางทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะจัดฉลองให้เหล่าทหารที่ชนะศึกครั้งนี้”
“ข้าช่างโชคดีเหลือเกิน กลับมาถึงก็มีลาภปาก ว่าแต่ท่านโหวงานแต่งของท่านจะจัดเมื่อใดขอรับ” ห่าวซวนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะผู้เป็นนายของเขาสั่งให้เขารีบเดินทางมา แต่ทว่าเมื่อมาถึงเมืองหนานเหลียนเขากลับมิเห็นการเตรียมงานมงคลเลยแม้แต่น้อย
“อีก2วัน” หลัวหยางโหวตอบทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เพียงได้ยินหลัวหยางโหวกล่าว ทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่นอกจากฟางเซียวถึงกับตกตะลึงดวงตาเบิกโต ถึงจะรู้ว่าการที่ท่านโหวเลื่อนงานแต่งครั้งนี้ เพราะไม่ต้องการให้หลัวฮูหยินจัดงานแต่งใหญ่โตให้เป็นเกียรติกับคนสกุลหลิว แต่ด้วยเวลา2วันชุดเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวก็ยังไม่ได้ตระเตรียมไว้ ทำให้ทุกคนต่างคิดไม่ออกว่าท่านโหวจะจัดงานแต่งครั้งนี้แบบใดกันแน่
“หา! ท่านโหวจะเตรียมงานทันหรือขอรับ? งานแต่งคืองานสำคัญในชีวิตนะขอรับ จะทำลวก ๆ ได้อย่างไร”
ฟางเซียว แม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดเอ่ยถามด้วยความข้องใจ เพราะเขาเป็นแม่ทัพเพียงคนเดียวที่ไม่รู้ว่าทำไมท่านโหวถึงเลื่อนงานแต่งให้เร็วขึ้น ส่วนแม่ทัพท่านอื่นกับกุนซือที่ยืนอยู่สีหน้าซีดเผือดราวรู้ชะตากรรมของแม่ทัพวัยหนุ่ม
หลัวหยางโหวมองฟางเซียวด้วยหางตาสีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจ ทำเอาฟางเซียวสะดุ้งรีบก้มหน้าลงไม่กล้าสบตา ถึงไม่รู้ว่าตนเองพูดสิ่งใดผิด แต่สายตาที่คาดโทษลงมานั้น ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าผู้เป็นนายเหนือหัวไม่พอใจมากเพียงใด
“ท่านโหวอย่าได้เคืองฟางเซียวเลย ท่านก็รู้ว่าเขาเป็นคนซื่อถนัดแต่ใช้กำลัง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เขาไม่ทันคิดอ่านจิตใจท่าน เลยไม่รู้ว่าท่านต้องการสิ่งใด” กุนซือรีบเอ่ยแก้ต่างให้แม่ทัพหนุ่ม
กุนซือรู้ดีว่าฟางเซียวเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมาไม่ว่าจะรู้สึกหรือคิดสิ่งใดเขาจะพูดออกมาตรง ๆ หรือไม่ก็จะไม่พูดเลยหากสิ่งที่พูดไม่ตรงกับใจของเขา ในบางครั้งก็ทำให้ผู้ที่ฟังไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในการทหารเขาถือว่าเป็นแม่ทัพที่ดีและซื่อสัตย์ต่อหลัวหยางโหวเป็นอย่างมาก บุรุษวัยกลางคนจึงไม่อยากให้หลัวหยางโหวลงโทษฟางเซียว
“ไม่...”ซูเย่กำลังจะอ้าปากคัดค้านคำพูดของเผยสิงเวย ทว่ากลับถูกเผยไจ่เหวินยกมือขึ้นห้าม เพราะอย่างไรไป๋ฉินหลันก็เป็นญาติผู้น้องของเขา ด้วยความผิดที่สตรีตระกูลไป๋ทำต่อเขา เผยไจ่เหวินยอมให้คนอื่นส่งนางไปสู่ประตูปรโลกได้ แต่หากนางยังพอจะมีทางรอดชีวิต เขาก็ไม่คิดจะเป็นคนตอกฝาโลงของนางถึงซูเย่จะรู้สึกขัดใจที่เจ้านายของเขาใจอ่อนให้กับคนที่คิดร้ายกับตนเองอีกแล้ว แต่ในเมื่อเผยไจ่เหวินไม่ยอมให้เขาพูด ซูเย่ก็ทำได้แต่ปิดปากเงียบเอาไว้หลิวหลิงลี่ได้ยินคำพูดของเผยสิงเวยและได้เห็นท่าทีของเผยไจ่เหวิน ก็รู้ได้ทันทีว่าสองพี่น้องตระกูลเผยอยากช่วยชีวิตไป๋ฉินหลันมากเพียงใด ต่างจากหลัวหยางโหวที่แสดงท่าทีจริงจังขึงขังที่จะเอาชีวิตสตรีตระกูลไป๋ ทำให้หลิวหลิงลี่สับสนและสงสัยว่าเจ้าของจวนหลัวทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใด ทว่าเพียงไม่กี่ลมหายใจหญิงสาวก็คิดเหตุผลที่หลัวหยางโหวทำเช่นนี้ขึ้นมาได้‘ที่แท้ท่านโหวก็แค่แสดงให้ท่านแม่เห็นสินะ ว่าท่านอยากลงโทษคุณหนูไป๋มากเพียงใด แล้วให้ข้าออกหน้าช่วยคุณหนูไป๋เพื่อไม่ให้ท่านแม่สงสัย และต่อว่าท่านได้ในภายหลัง ท่านนี่ช่างวางแผนการได้แยบยลเสียจริง’ ในเมื่อหลิวหลิงลี่ได้บอกหลัวห
‘ท่านโหวนะท่านโหว ท่านช่างกล้าทำร้ายญาติผู้พี่ของสตรีอันเป็นที่รักถึงขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ ถึงเขาจะลงมือกับแม่ทัพของท่าน แต่ท่านโหวก็น่าจะปรานีมอบความตายให้เขาไปเสีย มิใช่ทรมานเขาถึงขั้นนี้’ หลิวหลิงลี่รู้ว่ากฎข้อนี้ของหลัวหยางโหวไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่นางคิดไม่ถึงว่าหลัวหยางโหวจะทรมานเผยสิงเวยหนักถึงเพียงนี้เมื่อมองดูสภาพของคุณชายใหญ่เผยเสร็จ หลิวหลิงลี่ก็หันไปมองใบหน้าและอาภรณ์ของหญิงสาวสกุลไป๋ที่นั่งอยู่ไม่ห่างเผยสิงเวยมากนัก ก่อนจะหันมามองหลัวหยางโหว‘ช่างแสดงได้สมจริงยิ่งนัก นางกับท่านเหมาะสมกันที่สุดแล้ว รอให้ถึงเวลาอันสมควร ข้าจะไม่อยู่ขวางวาสนาดอกท้อของพวกท่านอย่างแน่นอน’ หลิวหลิงลี่ได้แต่คิดอยู่ในใจหลัวหยางโหวที่นั่งอยู่ข้างหญิงสาว รับรู้ได้ถึงรังสีบางอย่างที่ผิดปกติไปของสตรีที่นั่งอยู่ด้านข้าง จึงหันมามองหญิงสาว และเป็นไปอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เพราะสีหน้าของนางเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ราวคนละคน‘ประเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นว่า ข้าไม่ได้มีส่วนร่วมวางแผนทำร้ายเจ้า และยิ่งไม่คิดจะแต่งนางเข้าจวน’ หลัวหยางโหวไม่คิดเอ่ยอธิบายให้หลิวหลิงลี่ฟัง เพราะเขาจะทำให้นางเห็นกับตา“ยามนี้ทุ
“หากเจ้าอยากให้ข้าทำตามที่รับปากเอาไว้ ก็กลับมาเรียกข้าท่านพี่อย่างเดิม มิเช่นนั้น...” เมื่อหลิวหลิงลี่พูดถึงข้อตกลง หลัวหยางโหวจึงคิดนำเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรองให้หญิงสาวหายโกรธ ทว่าสตรีจากเมืองหลิวผิงมิคิดให้บุรุษหนุ่มใช้เรื่องนี้มาต่อรอง นางจึงเอ่ยแทรกขึ้นมา“ตั้งแต่ข้ามาที่เมืองอันหยางก็ทำการค้ามาตลอด จึงทำให้ข้ารู้ว่า หากท่านอยากซื้อขายกับข้า ท่านต้องยอมจ่ายตามราคาที่ข้าต้องการ หรือไม่ท่านก็ต้องนำสิ่งที่ข้าต้องการมาแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม ดังนั้นหากข้ายังไม่ได้สิ่งที่ข้าปรารถนา ไหนเลยข้าจะทำตามคำขอของท่าน และอีกอย่างท่านโหวคงเคยชินกับการข่มขู่ผู้อื่น จนลืมไปแล้วกระมังว่า ตอนนี้ข้าต่างหากคือคนที่มีไพ่ในมือเหนือกว่า เช่นนั้นข้าคือคนที่มีสิทธิ์สั่ง ไม่ใช่ท่าน” หลิวหลิงลี่เอ่ยเน้นเสียงในประโยคท้ายหลัวหยางโหวถึงกับดวงตาเบิกโต เมื่อถูกหลิวหลิงลี่เอ่ยขู่ แต่ทว่าเขากลับมิรู้สึกโกรธนางแม้แต่น้อย เพียงไม่กี่ลมหายใจเขาก็หัวเราะออกมาดังลั่นเสียงหัวเราะของหลัวหยางโหวมิได้ทำให้บรรยากาศในลานกลางเรือนดีขึ้นแม้แต่น้อย ทว่ามันกลับตรงกันข้าม คนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ได้ยินเจ้าของจวนทั้งสองสนทนากันนั้
“ข้าได้ข่าวว่าเมื่อวานนี้ คุณชายใหญ่ตระกูลเผยคิดลงมือสังหารพวกท่าน พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” หลิวเลี่ยงลี่เอ่ยถามหลังจากที่เผยไจ่เหวินนั่งเรียบร้อยแล้ว“ขอบคุณคุณหนูหลิวที่เป็นห่วง โชคดีที่ได้แม่ทัพฟางเซียวช่วยเอาไว้ พวกข้าจึงไม่เป็นไรแม้แต่น้อย”เมื่อได้รับคำตอบจากบุรุษตระกูลเผย หลิวหลิงลี่ก็ยิ้มกว้างให้บุรุษทั้งสาม โดยที่นางไม่ทันสังเกตว่าบุรุษที่นั่งอยู่ตรงกลางมีสีหน้าไม่พอใจเท่าใดนักหลิวหลิงลี่เอ่ยถามต่อ เมื่อเห็นว่าบริเวณภายในลานเงียบเกินไป อาจทำให้บุรุษทั้งสามที่เพิ่งมาถึงอึดอัดได้ “คนของจวนหลัวดูแลต้อนรับพวกท่านดีหรือไม่”ถึงหลัวหยางโหวจะนั่งนิ่งไม่ได้หันหน้ามามองหลิวหลิงลี่ แต่สีหน้าที่บุรุษหนุ่มเจ้าของจวนแสดงออกมานั้น ทำให้ซูเย่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเผยไจ่เหวินรับรู้ได้ว่า ไหน้ำส้มของหลัวหยางโหวได้แตกแล้ว เพราะสีหน้าของหลัวหยางโหวในยามนี้ไม่ต่างกับตอนที่เขาเจอที่โรงเตี๊ยมเลย‘หรือว่าเพราะข่าวลือที่แพร่อยู่ในเมือง ทำให้ท่านโหวไม่พอใจยามที่เห็นคุณหนูหลิวกับคุณชายสนทนากัน’ ซูเย่คิดในใจเมื่อเห็นสีหน้าของหลัวหยางโหวเมื่อซูเย่เห็นผู้เป็นนายของตนจะเอ่ยตอบนายหญิงของจวน เขาก็ไม่รอช้าท
หลิวเลี่ยงลี่เดินมาหยุดที่หน้าหลัวหยางโหว ที่ยืนอยู่ข้างพี่สาวของเขาแล้วประสานมือคอบกายให้บุรุษหนุ่มเจ้าของจวนอย่างนอบน้อม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเศร้า ๆ“เช่นนั้นพี่เขยต้องลำบากแล้ว ข้ากลับไปเมืองหลิวผิงครานี้จะบอกให้ท่านพ่อส่งจดหมายมาตักเตือนพี่หญิง หวังว่าพี่เขยจะใจเย็นให้มากหน่อย อย่าถือสาการกระทำของพี่หญิงเลยนะขอรับ”เมื่อหลิวเลี่ยงลี่กล่าวจบหลัวหยางโหวก็ได้สติ เดิมทีเขาไม่คิดว่าบุรุษจากเมืองหลิวผิงจะทำเช่นนี้ ทำให้เขานั้นมิได้ตั้งตัว แต่ครั้นคิดได้เขาก็รีบตอบกลับหลิวเลี่ยงลี่ทันที“เจ้าอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้กับท่านพ่อตาเลย ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อตาต้องเป็นกังวล และอีกอย่างเดิมทีเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น ข้ากับตระกูลไป๋ห่างเหินกันมานานแล้ว เรื่องสัญญาหมั้นหมายก็เป็นเพียงคำพูดปากเปล่าของท่านปู่ และอีกอย่างยามนี้ข้าก็มีพี่หญิงของเจ้าแล้ว ข้าหลัวหยางโหวมิใช่บุรุษมักมาก ดังนั้นข้าไม่เคยคิดรับอนุเข้ามาอยู่แล้ว เช่นนั้นเรื่องที่พี่สาวของเจ้าเป็นสตรีขี้หึงนั้น ไม่ทำให้ข้าลำบากใจแน่นอน เจ้าอย่าได้เป็นกังวลเลย” กล่าวจบหลัวหยางโหวก็หันหน้าไปมองหญิ
ในขณะที่หลิวหลิงลี่กำลังคิดหาหนทางอยู่นั้น นายทหารผู้หนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบกับฟางเซียว หลิวหลิงลี่รู้ว่าอีกสักครู่แม่ทัพอายุน้อยจะต้องเดินไปรายงานหลัวหยางโหวอย่างแน่นอน นางจึงก้าวเดินไปยืนข้าง ๆ ผู้เป็นสามี เผื่อว่าเรื่องที่ทหารผู้น้อยคนนั้นมารายงาน จะทำให้นางหาข้ออ้างให้หลัวหยางโหวเลื่อนการสอบสวนไป๋ฉินหลันกับเผยสิงเวยออกไปได้เพียงทหารผู้นั้นเดินจากไป ฟางเซียวก็เดินเข้ามาหาหลัวหยางโหวอย่างที่หลิวหลิงลี่คาดการณ์เอาไว้ ทว่าฟางเซียวกลับเอ่ยรายงานหลัวหยางโหวออกมาเสียงดัง ไม่ได้กระซิบอย่างที่หลิวหลิงลี่คิดเอาไว้ก่อนหน้า“ท่านโหวขอรับ ทหารที่จะไปต้อนรับผู้ติดตามคุณชายหลิวพร้อมแล้วขอรับ ส่วนเรือนรับรองที่ใช้ต้อนรับ เหล่าคนรับใช้กำลังทำความสะอาดอยู่ขอรับ แต่อย่างไรก็เสร็จก่อนที่ผู้ติดตามจะมาถึงแน่นอนขอรับ” ฟางเซียวรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับอันใด เขาจึงไม่จำเป็นต้องกระซิบกับหลัวหยางโหว เพราะตอนที่เจ้าของจวนสั่งให้เขาไปเตรียมคน ก็พูดเสียงดังเปิดเผยต่อหน้าคนมากมาย“เช่นนั้นเจ้าเป็นคนไปเชิญพวกเขาเข้าเมืองมาแล้วกัน เพราะจากท่าทางของห่าวซวนกับเตียนอี๋คงไม่เหมาะนัก ส่วนเรื่องเรือนรับรอง ขอเพ







