“ข้าไม่ถูกใจใครเลยสักคน แต่ในเมื่อข้ารู้จักชื่อของพวกนางทั้งสองคนแล้ว ก็ให้พวกนางคอยดูแลข้าไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้ข้าเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อน ส่วนเรื่องสาวใช้ส่วนตัวเอาไว้ทีหลังเถอะ” ในเมื่อไม่มีใครเต็มใจมารับใช้นาง หลิวหลิงลี่จึงไม่คิดฝืนใจ
“ได้ขอรับ ข้าน้อยให้คนเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว ส่วนอาหารก็ได้จัดเตรียมไว้หมดแล้วขอรับ”
“ขอบใจท่านมาก” เมื่อกล่าวจบหลิวหลิงลี่ก็เดินเข้าห้องไปโดยมีจงเอ่าและเสี่ยวหลี่เดินตามเข้าห้องไปด้วย
หลิวหลิงลี่เมื่อเข้าไปในห้องก็สั่งให้จงเอ่าและเสี่ยวหลี่จัดการจัดเก็บเสื้อผ้าและของใช้เข้าที่ ส่วนหลิวหลิงลี่ก็ไปแช่น้ำแล้วจึงมาทานอาหารที่พ่อบ้านเตรียมไว้ให้ ครั้นหลิวหลิงลี่กินอาหารเสร็จจงเอ่าและเสี่ยวหลี่ก็จัดการเก็บสำรับ แต่ทั้งสองคนยังไม่ทันเก็บสำรับเสร็จกลับถูกหลิวหลิงลี่ยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน
“เจ้าทั้งสองนั่งลง”
หญิงรับใช้ทั้งสองได้แต่สั่นหัวไม่กล้านั่งลง หลิวหลิงลี่เงยหน้ามองสตรีทั้งสอง ก่อนจะจ้องมองที่เก้าอี้เป็นนัยว่าให้ทั้งสองนั่ง
“บ่าวจะกล้านั่งเทียบข้างนายหญิงได้อย่างไรเจ้าคะ” จงเอ่ากล่าวขึ้น
หลิวหลิงลี่จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปนั่งที่เตียงนอน ก่อนจะมองหน้าสาวใช้ทั้งสองที่ยืนประหม่าทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะสตรีอายุน้อยกว่าที่มือไม้สั่น
“ในเมื่อข้าลุกมาแล้ว พวกเจ้าก็นั่งเถอะ” จงเอ่าและเสี่ยวหลี่ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมนั่งลง
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอสั่งให้เจ้าทั้งสองกินอาหารบนโต๊ะให้หมด หากยังไม่ทำอีกข้าจะแจ้งเรื่องที่พวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งข้าให้ท่านโหวทราบ”
เมื่อได้ยินว่าหลิวหลิงลี่จะไปฟ้องหลัวหยางโหว จงเอ่าและเสี่ยวหลี่ก็รีบนั่งลงกินอาหารที่อยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ถึงในใจจะกลัวว่าในอาหารนี้จะมีพิษก็ตาม
ในขณะที่หลิวหลิงลี่นั่งมองคนทั้งสองกินอาหารอยู่ ท่าทางของเสี่ยวหลี่ทำให้หญิงสาวคิดถึงเหนี่ยวเหนี่ยวสาวใช้ข้างกายที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเยาว์
หากไม่เพราะหลิวหลิงลี่รู้ดีถึงชื่อเสียงของหลัวหยางโหวผู้นี้ ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นหาผู้ใดเทียบ นางคงพาเหนียวเหนี่ยวสาวรับใช้คนสนิทที่นางเอ็นดูราวน้องสาวมาด้วยแล้ว แต่เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากผู้แซ่หลัวนี้ดีกับนางก็ดีไป แต่หากไม่ดี นางก็ไม่อยากให้เหนียวเหนี่ยวมาทรมานกับนาง อีกทั้งประจวบเหมาะกับท่านยายของเหนียวเหนี่ยวล้มป่วยไม่มีคนดูแล หลิวหลิงลี่จึงไม่ยอมให้เหนียวเหนี่ยวตามมา เพราะทั้งพ่อและพี่ชายของเหนียวเหนี่ยวก็เป็นทหารที่พลีชีพในสงครามเพื่อปกป้องเมืองหลิวผิง ตอนนี้เหนียวเหนี่ยวจึงมียายเป็นญาติเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“บ่าวทั้งสองกินอาหารหมดแล้วเจ้าค่ะนายหญิง”
จงเอ่าบอกกับผู้เป็นนายที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน สายตากำลังมองออกไปยังนอกหน้าต่าง หากหลิวหลิงลี่ไม่ใช่บุตรสาวของคนที่ฆ่าบิดาและปู่ของหลัวหยางโหว สตรีวัยกลางคนก็อยากเป็นสาวใช้ส่วนตัวของหลิวหลิงลี่ เพราะสตรีที่ใบหน้าสวยโดดเด่น ผิวพรรณขาวเนียนสัดส่วนเด่นชัด ส่วนใดควรเว้าก็เว้า ส่วนใดควรนูนก็นูนได้รูป สตรีเช่นนี้มักจะเป็นภรรยาที่สามีหลงใหล หากเป็นเช่นนั้นนางที่เป็นหญิงรับใช้คนสนิทก็จะได้สบายไปด้วย
หลิวหลิงลี่หันมามองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อสาวรับใช้ทั้งสองเห็นว่าที่ฮูหยินของหลัวหยางโหวมองมาก็รีบหลุบตาลงทันที
“พวกเจ้าออกไปเถอะข้าจะพักผ่อน” ที่หลิวหลิงลี่ให้ทั้งสองทานอาหารที่เหลือให้หมดนั้น เพราะอย่างไรอาหารที่นางทานเหลือเหล่าสาวใช้คนอื่นก็ต้องนำไปทานอยู่ดี เช่นนั้นมิสู้ให้หญิงรับใช้ที่มาปรนนิบัตินางได้อิ่มท้องกับอาหารดี ๆ ย่อมดีกว่า
สาวใช้ทั้งสองรีบเก็บภาชนะใส่อาหาร และออกไปตามคำสั่งโดยไม่ได้ถามสิ่งใด เพราะไม่ได้อยากประจบประแจงให้หลิวหลิงลี่รู้สึกชอบพอ แต่อยากทำตัวห่างเหินเพื่อไม่ให้นางเลือกไว้รับใช้ข้างกาย เมื่อสาวใช้ทั้งสองออกไปหลิวหลิงลี่ก็ได้แต่นอนมองออกไปนอกหน้าต่างจนเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ณ ค่ายทหารเมืองหนานเหลียน
ห่าวซวนหลังจากส่งหลิวหลิงลี่ที่จวนเจ้าเมืองเสร็จแล้วก็รีบเดินทางมาแจ้งผู้เป็นนายที่ค่ายทหารทันที
“คารวะท่านโหว ข้าน้อยกลับมาแล้วขอรับ”
หลัวหยางโหว กุนซือ และเหล่าแม่ทัพที่กำลังมองเหล่าทหารฝึกอยู่หันมามองตามเสียงที่คุ้นเคยด้วยใบหน้ายกยิ้ม
“เจ้ากลับมาได้เวลาพอดี ข้าสะสางทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะจัดฉลองให้เหล่าทหารที่ชนะศึกครั้งนี้”
“ข้าช่างโชคดีเหลือเกิน กลับมาถึงก็มีลาภปาก ว่าแต่ท่านโหวงานแต่งของท่านจะจัดเมื่อใดขอรับ” ห่าวซวนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะผู้เป็นนายของเขาสั่งให้เขารีบเดินทางมา แต่ทว่าเมื่อมาถึงเมืองหนานเหลียนเขากลับมิเห็นการเตรียมงานมงคลเลยแม้แต่น้อย
“อีก2วัน” หลัวหยางโหวตอบทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เพียงได้ยินหลัวหยางโหวกล่าว ทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่นอกจากฟางเซียวถึงกับตกตะลึงดวงตาเบิกโต ถึงจะรู้ว่าการที่ท่านโหวเลื่อนงานแต่งครั้งนี้ เพราะไม่ต้องการให้หลัวฮูหยินจัดงานแต่งใหญ่โตให้เป็นเกียรติกับคนสกุลหลิว แต่ด้วยเวลา2วันชุดเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวก็ยังไม่ได้ตระเตรียมไว้ ทำให้ทุกคนต่างคิดไม่ออกว่าท่านโหวจะจัดงานแต่งครั้งนี้แบบใดกันแน่
“หา! ท่านโหวจะเตรียมงานทันหรือขอรับ? งานแต่งคืองานสำคัญในชีวิตนะขอรับ จะทำลวก ๆ ได้อย่างไร”
ฟางเซียว แม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดเอ่ยถามด้วยความข้องใจ เพราะเขาเป็นแม่ทัพเพียงคนเดียวที่ไม่รู้ว่าทำไมท่านโหวถึงเลื่อนงานแต่งให้เร็วขึ้น ส่วนแม่ทัพท่านอื่นกับกุนซือที่ยืนอยู่สีหน้าซีดเผือดราวรู้ชะตากรรมของแม่ทัพวัยหนุ่ม
หลัวหยางโหวมองฟางเซียวด้วยหางตาสีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจ ทำเอาฟางเซียวสะดุ้งรีบก้มหน้าลงไม่กล้าสบตา ถึงไม่รู้ว่าตนเองพูดสิ่งใดผิด แต่สายตาที่คาดโทษลงมานั้น ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าผู้เป็นนายเหนือหัวไม่พอใจมากเพียงใด
“ท่านโหวอย่าได้เคืองฟางเซียวเลย ท่านก็รู้ว่าเขาเป็นคนซื่อถนัดแต่ใช้กำลัง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เขาไม่ทันคิดอ่านจิตใจท่าน เลยไม่รู้ว่าท่านต้องการสิ่งใด” กุนซือรีบเอ่ยแก้ต่างให้แม่ทัพหนุ่ม
กุนซือรู้ดีว่าฟางเซียวเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมาไม่ว่าจะรู้สึกหรือคิดสิ่งใดเขาจะพูดออกมาตรง ๆ หรือไม่ก็จะไม่พูดเลยหากสิ่งที่พูดไม่ตรงกับใจของเขา ในบางครั้งก็ทำให้ผู้ที่ฟังไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในการทหารเขาถือว่าเป็นแม่ทัพที่ดีและซื่อสัตย์ต่อหลัวหยางโหวเป็นอย่างมาก บุรุษวัยกลางคนจึงไม่อยากให้หลัวหยางโหวลงโทษฟางเซียว
สามวันต่อมาถึงจะรู้เรื่องจากคำสารภาพของบุรุษชุดดำทั้งสามคนแล้ว แต่หลัวหยางโหวมิได้สั่งให้จัดการอันใดกับบุรุษชุดดำทั้งสามคน เพราะในใจของเขาตอนนี้เพียงอยากหาหลิวหลิงลี่ให้พบเสียก่อน เพราะเขาไม่อยากเสียเวลาสักเสี้ยวนาทีไปกับเรื่องใดก่อนที่จะหานางเจอตลอดสามวันที่ผ่านมาหลัวหยางโหวออกคำสั่งให้คนของตนค้นหาทุกตรอกซอกมุมในเมืองหัวหมิงและเมืองอันหยาง แม้แต่เขาก็ออกตามหาอย่างไม่คิดพักผ่อน เพื่อหาหลิวหลิงลี่กับเผยไจ่เหวินให้เจอ แต่ทว่ากลับไร้วี่แวว แม้แต่คนสนิทของคุณชายรองตระกูลเผยก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยจนเฉินอี้เหรินส่งคนให้มาตามหลัวหยางโหวกลับจวน เพราะจากที่นางได้ยินคนกลับมารายงาน ทำให้ผู้เป็นมารดากลัวว่าบุตรชายของตนจะเกิดเป็นอันใดขึ้นมาก่อนที่จะหาลูกสะใภ้เจอเมื่อเป็นคำสั่งจากมารดาหลัวหยางจึงไม่อาจขัดได้ แต่ถึงอย่างนั้นบุรุษหนุ่มเจ้าเมืองอันหยางก็ยังคงให้คนของตนค้นหาต่อไป ส่วนตัวเขานั้นกลับมาที่จวนตระกูลหลัว พร้อมกับเรียกห่าวซวนกลับมาด้วย เพราะหลัวหยางโหวไม่คิดจะปล่อยคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไปแม้เพียงคนเดียว จึงได้เรียกแม่ทัพห่าวซวนกลับมาเพื่อเตรียมกำลังพลส่วนทางด้านเสี่ยวหลี่กับจงเอ่าสาม
“ท่านเบาเสียงลงหน่อย นายหญิงยังสบายดีอยู่” เสี่ยวหลี่เอ่ยเสียงเบา ๆ แต่คนฟังได้ยินชัดเจนจงเอ่าหยุดดิ้นทันที ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความดีใจ “เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่?”เสี่ยวหลี่พยักหน้าตอบก่อนจะนั่งลงที่เดิม จงเอ่ารีบนั่งลงข้าง ๆ สาวใช้อายุน้อยกว่า เสี่ยวหลี่จึงถือโอกาสที่ฟางเซียวไม่อยู่รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้จงเอ่าฟัง ครั้นสตรีอายุมากกว่าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ทั้งสองจึงร่วมกันวางแผนว่าจะออกไปจากจวนตระกูลหลัวเมื่อใดดี เพราะหากออกไปยามนี้ก็จะดูน่าสงสัยเกินไปเมื่อทั้งสองตกลงกันว่าก่อนน้องชายของหลิวหลิงลี่จะกลับเมืองหลิวผิง สาวใช้ทั้งสองจะขอหลัวฮูหยินออกจากจวน และแบ่งเงินให้คนรับใช้ในเรือนตะวันตกก่อนออกจากจวน ตามที่หลิวหลิงลี่ได้บอกเอาไว้ แต่ตอนนี้สิ่งที่พวกนางต้องทำคือนำเงินไปให้สำนักคุ้มกันสินค้า เพื่อส่งไปให้เผยไจ่เหวินตามที่หญิงสาวจากเมืองหลิวผิงสั่งเอาไว้ทางด้านฟางเซียวเมื่อเขามาถึงลานกว้างที่บุรุษชุดดำนั่งคุกเข่าอยู่ ก็ไม่รอช้าที่จะถามพวกเขาถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อชายชุดดำทั้งสามมิยอมเอ่ยอันใด แม่ทัพหนุ่มก็ไม่คิดถามให้เสียเวลา เขาเดินไปหยิบแส้ขึ้นมา ก่อนจะออกแรงตวัดข
หลังจากเผยไจ่เหวินแยกทางกับหลิวหลิงลี่เขาได้เดินทางอ้อมกลับไปยังเมืองอันหยาง ทว่าเขามิได้เข้าไปด้านในเมืองด้วยตนเอง คุณชายรองตระกูลเผยเพียงส่งหลงอินเข้าไปในเมืองอันหยางเพื่อแจ้งข่าวให้ไป๋ฉินหลันได้รู้ ส่วนเผยไจ่เหวินนั้นได้ส่งข่าวให้กับพี่ชายต่างมารดาด้วยนกพิราบทว่าหลงอินเข้าเมืองไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ต้องรีบกลับออกมา เมื่อเขาพบว่าจวนรับรองที่ไป๋ฉินหลันพักอยู่นั้นถูกคนของจวนหลัวควบคุมเอาไว้ อีกทั้งบริเวณใกล้ ๆ กับโรงเตี๊ยมที่เขากับเผยไจ่เหวินเคยพักอยู่นั้นก็เต็มไปด้วยทหารของหลัวหยางโหวเมื่อเผยไจ่เหวินได้ยินหลงอินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองอันหยาง เขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินทางไปยังเมืองหยวนสุ่ยตามที่หลิวหลิงลี่ได้บอกเอาไว้ เพราะก่อนหน้านี้ในใจของเขายังคงมีความหวังอยู่เล็ก ๆ ว่าสตรีจากเมืองหลิวผิงจะคาดเดาเรื่องที่ญาติผู้น้องของเขาคิดจะโยนความผิดทุกอย่างมาให้เขาแต่เพียงผู้เดียวผิดพลาดไป แต่ยามนี้เขารู้แล้วว่าหลิวหลิงลี่มีความรู้ไม่ต่างจากบิดาของนางเลย ที่อ่านสถานการณ์ได้ดียิ่งนักในขณะที่รถม้าของเผยไจ่เหวินกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหยวนสุ่ย บุรุษหนุ่มได้เปิดผ้าม่านหน้าต่างของรถม้าออก เ
ในเมื่อเฉินอี้เหรินมั่นใจเต็มสิบส่วนแล้วว่าหลิวหลิงลี่มิได้เป็นอันใด สตรีวัยกลางคนจึงคิดว่าหากนางยังสอบสวนต่อไปก็ไม่ได้อันใดขึ้นมา อีกทั้งเพราะความตกใจบวกกับความกังวลที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกอ่อนแรงเป็นอย่างมาก สตรีวัยกลางคนจึงได้ทีปลีกตัวกลับเรือนไปพักผ่อน“เช่นนั้นฝากแม่ทัพฟางเซียวจัดการคนชุดดำเหล่านั้นด้วย หากพวกมันปากแข็งมิยอมสารภาพ เจ้าจะใช้วิธีการใดก็ตามใจเจ้า ขอเพียงได้คำตอบจากพวกมันมาให้ข้าก็พอ”เฉินอี้เหรินเอ่ยกับแม่ทัพอายุน้อย นางรู้ดีว่าถึงฟางเซียวจะอายุน้อยที่สุดในบรรดาแม่ทัพของบุตรชายทั้งหมด แต่ทว่ายามประจันหน้ากับศัตรู ฟางเซียวก็โหดเหี้ยมได้ไม่แพ้แม่ทัพคนอื่น ๆ เลย“ขอรับ ข้าจะไม่ทำให้ฮูหยินผิดหวังขอรับ” ฟางเซียวตอบพร้อมประสานมือเฉินอี้เหรินยิ้มให้แม่ทัพอายุน้อยก่อนจะหลุบตาลงต่ำ มองดูไป๋ฉินหลัน แล้วผินหน้าไปหาสาวใช้วัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างตนเอง“อ้ายเหลียน ประเดี๋ยวเจ้าให้คนจัดห้องให้ ‘บุตรีเจ้าเมืองอันป๋อ’ ในจวนหลัวด้วย หากยังไม่อาจจับคนร้ายได้ ก็ให้นางอยู่ที่นี่ไปสักพัก” เฉินอี้เหรินจงใจเอ่ยเน้นตรงบุตรีเจ้าเมืองอันป๋อ เพื่อให้ไป๋ฉินหลันได้รู้ว่ายามนี้นางได้ขีด
“ความจริงข้าน้อยก็พอจะจำคำสนทนาของนายหญิงกับหัวหน้าโจรผู้นั้นได้รางๆ นะเจ้าคะ แต่ไม่รู้ว่าที่ได้ยินมานั้นใช่เรื่องจริงหรือไม่” เสี่ยวหลี่แสร้งเอ่ยตอบหลัวฮูหยิน“เจ้าได้ยินมาเช่นไร ไหนลองเล่ามาให้ข้าฟังหน่อยซิ” เฉินอี้เหรินเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“ตอนที่ข้าน้อยสลบอยู่ได้ยินนายหญิงเอ่ยถามโจรผู้นั้นว่าต้องการอันใดถึงทำเช่นนี้ หากเป็นเงินทองนายหญิงจะให้เท่าที่พวกเขาต้องการ แต่คนผู้นั้นกลับบอกว่าเขาไม่ต้องการอันใด เพียงแค่อยากสังหารนายหญิงเพื่อให้เจ้านายของพวกเขาได้ขึ้นมาเป็นนายหญิงของจวนหลัวแทนเจ้าค่ะ”เสี่ยวหลี่จำได้ว่าคนที่ใส่ชุดดำบนเขาฮุ่ยหมิงเป็นคนของเผยสิงเวย และระหว่างที่นางเดินทางกลับมาที่จวน สาวใช้อายุน้อยเห็นว่าคนเหล่านั้นถูกจับได้แล้ว หากเป็นไปตามที่หลิวหลิงลี่คาดเดาเอาไว้จริง ๆ คนเหล่านั้นจะต้องใส่ความเผยไจ่เหวินอย่างแน่นอน ต่อให้ไป๋ฉินหลันจะอ้างว่าญาติผู้พี่ของตนเป็นคนบ้าตัณหา พอเห็นรูปโฉมของหลิวหลิงลี่จึงได้คิดเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้ขึ้นมา แต่มีหรือหลัวฮูหยินจะเชื่อคำแก้ต่างของสตรีจากเมืองอันป๋อทั้งหมด เมื่อได้ยินสิ่งที่นางได้พูดไปเมื่อครู่เสี่ยวหลี่มิได้คาดหวังว่าหลัวฮูหยินจะต้อ
ถึงไป๋ฉินหลันจะรู้สึกเจ็บแค้นที่ถูกสาวใช้ข้างกายของเฉินอี้เหรินต่อว่า แต่นางก็ไม่อาจตอบโต้ได้ หญิงสาวทำได้เพียงแต่ตอบคำถามของหลัวฮูหยินที่ยังค้างอยู่“ท่านป้าคงเคยได้ยินชื่อเสียงของพี่รองมาแล้ว เช่นนั้นก็คงรู้ว่าพี่รองเป็นคนเช่นไร เขาบอกหลานว่าเมืองอันหยางยามนี้เจริญขึ้นมาก จึงอยากมาเปลี่ยนบรรยากาศและเปิดหูเปิดตา และบังเอิญพี่รองรู้ว่าหลานก็มาที่เมืองอันหยางเช่นกัน จึงได้แวะมาหาหลานที่เรือนรับรอง”“แล้วตอนนี้คุณชายรองเผยอยู่ที่ใดเจ้าคะ” จางอ้ายเหลียนรู้ว่าเฉินอี้เหรินคงอยากรู้จึงได้เอ่ยถามแทน“ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ครั้งก่อนที่เจอกัน พี่รองบอกว่าเขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแถวย่านหอคณิกา ข้าจึงไม่ได้ถามต่อเจ้าค่ะ” ไป๋ฉินหลันเอ่ยตอบจางอ้ายเหลียนด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“เจ้าไปแจ้งพ่อบ้านให้พาคนไปตามหาคุณชายรองเผยที่โรงเตี๊ยมแถวย่านหอคณิกา หากพบคุณชายรองเผยแล้วให้เชิญคุณชายมาที่จวน” จางอ้ายเหลียนเอ่ยสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆหลังจากที่สาวใช้ผู้นั้นออกไปทำตามคำสั่งของจางอ้ายเหลียน สาวใช้อีกคนก็เดินเข้ามารายงานกับเฉินอี้เหริน“ฮูหยินเจ้าคะ แม่ทัพฟางเซียวได้พาเสี่ยวหลี่กลับมาที่จวนแล้วเจ้าค่ะ ทว่านา