LOGINเมื่อบุรุษน้อยที่เคยถูกท่านปู่ของนางไล่ฆ่า บัดนี้เติบใหญ่กลายเป็นบุรุษหนุ่มที่เปี่ยมความสามารถ สิ่งเดียวที่เขาปรารถนาคือการสังหารคนทั้งตระกูลของนาง หญิงสาวจะสามารถปกป้องตระกูลของตนเองไว้ได้หรือไม่?
View Moreณ ประตูเมืองอันหยาง มณฑลเหยี่ยนโจว
“เจ้าว่าเช่นไร พูดให้ข้าฟังอีกทีซิ” หลัวหยางน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดจากปากทหารที่มารายงาน
“หลัวฮูหยิน ตอบตกลงทูตจากเมืองหลิวผิงเรื่องงานแต่งเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบุตรสาวตระกูลหลิวแล้วขอรับ”
หลัวหยางออกจากเมืองอันหยางไปเมืองฟางตงเพื่อปราบโจรกบฏที่มาปล้นชาวบ้านไม่ถึงเดือน เมื่อเขากลับมาถึงประตูเมืองอันหยาง ทหารคนสนิทที่คอยเฝ้าดูความปลอดภัยของมารดาก็รีบส่งคนมารายงานข่าวการมาของทูตจากเมืองหลิวผิงทันที
เจ้าเมืองหลัวหยางที่ยังไม่ทันได้พักหลังจากเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เพียงทราบข่าวก็รีบควบม้าไปยังจวนสกุลหลัวอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันไปได้ไกลก็ต้องหยุดความเร็วของม้าลงและเปลี่ยนเป็นควบม้าให้เดินย่องเข้าไปยังเมืองอย่างช้าๆ เพราะประชาชนชาวเมืองต่างมาร่วมต้อนรับการกลับมาของท่านโหวจนเต็มทั้งสองข้างทาง ถึงเขาจะร้อนใจมากเพียงใดแต่ความปลอดภัยของชาวบ้านต้องมาก่อน เขาจึงทำได้เพียงปรับลมหายใจเพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้เท่านั้น
ณ เมืองหลิวผิง มณฑลโยวโจน
ท่านทูตที่เดินทางไปเมืองอันหยาง เดินทางมาถึงเมืองหลิวผิงก็รีบนำข่าวดีมาแจ้งแก่ท่านเจ้าเมืองหลิวผิงทันที ข่าวการแต่งงานนี้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงวันประชาชนชาวเมืองต่างรู้ข่าวมงคลนี้กันทั่วทั้งเมือง
หลิวตงเจ้าเมืองหลิวผิงเมื่อรู้เรื่องการตอบรับของงานมงคลครั้งนี้กลับไม่รู้สึกยินดีปรีดาสักเท่าใดนัก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เพราะการแต่งงานของบุตรสาวครั้งนี้ตนไม่ได้ต้องการให้เกิดขึ้น แต่เขาก็ไร้ความสามารถ ไม่อาจเอาชีวิตของชาวเมืองไปเสี่ยงทำศึกกับหลัวหยางโหวได้
เมื่อเขาเสร็จจากประชุมขุนนางก็มาหาบุตรสาวเพื่อจะบอกเรื่องงานมงคลนี้แก่นาง หลิวตงยืนอยู่หน้าประตูห้องของบุตรสาวอยู่นาน ก่อนจะสูดลมหายใจยาว ๆ หนึ่งครั้งแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องของบุตรสาว
“ท่านพ่อ” เสียงหวานกังวานของบุตรสาวทำให้สีหน้าเขาซีดลงกว่าเดิม
“ลี่เอ๋อร์...” หลิวตงเอ่ยเรียกบุตรสาวแต่มิกล้าเอ่ยกล่าวสิ่งใดต่อ
“ท่านพ่อ มาหาลูกด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?” หลิวหลิงลี่เอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลิวตงถอนหายใจก่อนมองใบหน้าที่ขาวราวหิมะ ริมฝีปากอมชมพู ดวงตากลมโต ที่ส่งรอยยิ้มหวานมายังเขา หลิวตงยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาวอันเป็นที่รักอย่างเบามือ แต่กลับไร้เสียงใด ๆ ตอบกลับบุตรสาว
“ท่านพ่อนั่งก่อนลูกจะรินน้ำชาให้เจ้าค่ะ”
หลิงลี่มองหน้าบิดาก็ทราบดีว่าเป็นเรื่องใด แต่ในเมื่อบิดายังไม่กล่าวไหนเลยนางจะกล้าเอ่ยได้ ที่จริงนางทราบเรื่องนี้จากน้องชายของนางแล้วว่า ท่านพ่อได้ส่งทูตไปเจรจาแต่งงานผูกสัมพันธ์ไมตรีที่เมืองอันหยาง เพราะเหล่าขุนนางเกรงกลัวหลัวหยางโหวจะกลับมาแก้แค้นเรื่องเก่าก่อน อีกทั้งการทหารของเมืองหลิวผิงเดี๋ยวนี้ก็อ่อนกำลังลงมาก แตกต่างจากตอนที่ท่านปู่และท่านลุงยังมีชีวิตอยู่ บวกกับทางหลัวหยางโหวที่ตอนนี้ชำนาญการศึกนำทัพไปตีเมืองต่าง ๆ ที่เคยล้อมโจมตีเขาเมื่อเยาว์วัยจนแตกพ่าย บัดนี้รวบรวมเมืองและกำลังพลได้มหาศาล ไหนเลยเมืองหลิวผิงจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
แต่ด้วยน้องชายของนางมิเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ จึงมาเล่าให้หลิวหลิงลี่ฟัง เพื่อให้นางโน้มน้าวบิดาให้เปลี่ยนใจ แต่นางก็ไม่ได้กระทำอย่างที่น้องชายต้องการ หลิวหลิงลี่ได้แต่บอกหลิวเลี่ยงลี่ว่าอย่าได้บอกบิดาว่านางรู้เรื่องนี้แล้ว และไม่แน่ว่าหลัวหยางโหวจะตอบรับงานมงคลในครั้งนี้ แต่ครั้นตอบรับนางก็จะถือเสียว่าเป็นโชคชะตาของนางเอง
หลิวหลิงลี่รู้ว่าท่านทูตได้กลับมาจากเมืองอันหยางแล้ว แต่คำตอบที่หลัวหยางโหวตอบกลับมานั้นนางยังไม่รู้ชัดว่าเป็นเช่นใด จนกระทั่งได้เห็นสีหน้าของผู้เป็นบิดา นางจึงรู้คำตอบนั้นดี แต่ทว่านางก็ยังคงยิ้มต้อนรับผู้เป็นบิดาอย่างที่เคยทำ
เมื่อหลิวตงยกชาที่บุตรสาวรินให้ดื่มจนหมดจอก จึงตัดสินใจบอกกับบุตรสาว
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าก็เลยวัยปักปิ่นมาหลายปีแล้ว บุตรสาวผู้อื่นออกเรือนไปจนกระทั่งมีหลานให้พ่อแม่ได้อุ้ม แต่ข้ายังตัดใจมิอาจให้เจ้าออกเรือนไปได้ แต่บัดนี้พ่อคิดว่าหากยังรั้งเจ้าไว้ คงทำผิดกับเจ้าแล้ว”
หลิวตงยื่นมือไปจับมือบุตรสาวและกำไว้แน่น เขาไม่กล้าพูดต่อถึงงานมงคลในครั้งนี้ และยิ่งไม่กล้าพอที่จะมองหน้าบุตรสาวอันเป็นที่รัก เพราะตั้งแต่ที่ภรรยาของเขาจากไป เขาก็เฝ้าเลี้ยงดูบุตรสาวมาอย่างทะนุถนอมราวเป็นของล้ำค่าที่หายากยิ่ง จึงทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยบุตรสาวออกเรือนไป แต่บัดนี้กลับต้องให้บุตรีเพียงคนเดียวแต่งออกเรือนไปกับคนสกุลหลัว ซึ่งเป็นอริกันมาตั้งแต่รุ่นก่อน เขาเลยยิ่งกังวลถึงอนาคตของบุตรสาว
หลิงลี่ที่นั่งมองผู้เป็นบิดา และเข้าใจความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ดี และรู้ว่าครั้งนี้บิดาของนางคงไม่อาจหาทางออกได้แล้วจริง ๆ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางให้นางแต่งออกไปอย่างแน่นอน เพราะนางเองก็ถือว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามจนเลื่องชื่อลือนาม หลายปีมานี้มีหลายตระกูลมาพูดคุยทาบทามสู่ขอ แต่ที่ผ่านมาบิดาจะไถ่ถามนางเสมอ ในเมื่อนางไม่ยินดีออกเรือนบิดาก็ไม่บังคับฝืนใจให้นางแต่งออกไป
“ท่านพ่อ ลูกเข้าใจท่านพ่อเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ที่ลูกปฏิเสธไม่ยอมออกเรือนไป เพราะลูกเป็นห่วงท่านพ่อที่สุขภาพไม่แข็งแรง และอาลี่ที่ยังไม่สามารถพึ่งพาให้ดูแลท่านพ่อได้ แต่บัดนี้อาลี่โตแล้ว สามารถปกป้องท่านพ่อได้แล้ว ลูกก็สามารถออกเรือนไปได้อย่างสบายใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลิวตงกำมือลูกสาวแน่นขึ้นแต่ยังมิอาจเงยหน้ามองบุตรสาวได้ คำพูดของบุตรสาวยิ่งทำให้เขาละอายใจเพิ่มมากขึ้น
“ท่านพ่อ ไม่ว่าท่านจะเลือกใครให้มาเป็นคู่ครองของลูก ลูกก็ล้วนยินดีทั้งสิ้น ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ลูกยินยอมแต่งออกเรือนไป ลูกเพียงหวังว่าการแต่งงานของลูกจะมีประโยชน์ต่อสกุลหลิว หรือไม่ก็เมืองหลิวผิงไม่มากก็น้อย ลูกเป็นบุตรสาวเมื่อแต่งออกเรือนไปจะกลับมาหาหรือคอยดูแลท่านก็ยากแล้ว บุญคุณที่ท่านพ่อเลี้ยงดูมา หากใช้การแต่งงานนี้ตอบแทนได้ลูกย่อมยินดี”
“ข้าคือ จางหลิงเยว่ ส่วนนี้คือป้ายเข้าออกจวนเจ้าค่ะ”ท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่า แผนการของตนเองจะสำเร็จลุล่วงของหญิงสาวตระกูลจางนั้น ล้วนตกอยู่ในสายตาของหน่วยลับที่หลัวหยางโหวส่งมา โดยที่หญิงสาวไม่รู้เลยว่า หน่วยลับของหลัวหยางโหวกำลังแอบมองแอบฟังนางจากข้างนอกหน้าต่างครั้นเหล่าคุณชายได้เห็นใบหน้าของจางหลิงเยว่กับป้ายเข้าออกจวนหลัว ก็ยกยิ้มอย่างมีหวังแฝงความเจ้าเล่ห์บ้าตัณหา เพราะตั้งแต่พวกเขาได้ยินเรื่องอื้อฉาวของหลิวหลิงลี่กับเผยไจ่เหวิน พวกเขาก็ต่างล้วนจินตนาการไปต่าง ๆ นานา จนบางครั้งถึงขั้นเก็บเอาไปฝันว่า ได้ร่วมรักอันเร่าร้อนกับสตรีตระกูลหลิว อย่างที่มิเคยมีสตรีนางใดทำได้ ครั้นพอรู้ว่าตนเองจะมิได้แค่ฝัน ก็ต่างตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่“ที่เจ้ามอบโอกาสนี้ให้พวกข้า เจ้าต้องการอันใดตอบแทนก็บอกมา” คุณชายผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่างใคร่อยากรู้“นั่นสิ” เหล่าคุณชายคนอื่น ๆ ก็สงสัยไม่ต่างกัน จึงประสานเสียงกันเอ่ย“เรื่องของคุณชายรองเผยกับนายหญิงหลัวที่เกิดขึ้นนั้น นอกจากคำพูดของท่านโหวกับนายหญิงแล้ว หลัวฮูหยินก็มิยอมเชื่อคำพูดของผู้อื่น แต่ครั้งนี้ข้าอยากให้หลัวฮูหยินได้เห็นธาตุแท้ของสตรีจาก
วันนี้จางหลิงเยว่จงใจขอพ่อบ้านประจำจวนออกมาเลือกซื้อข้าวของเข้าจวน และคิดจะปลีกตัวไปจ่ายเงินที่รับปากนักเล่าเรื่องเอาไว้ เพราะหลังจากที่นางให้นักเล่าเรื่องปล่อยข่าวไปนั้น สาวใช้ในจวนก็นำเรื่องที่นางได้ปล่อยไปมาซุบซิบนินทากัน ทำให้หญิงสาวแซ่จางคิดว่าข่าวที่นางปล่อยไปนั้นได้ผลดียิ่งนักทว่าตอนที่นางกำลังจ่ายตลาดอยู่นั้น จางหลิงเยว่กลับบังเอิญได้ยินว่าชาวบ้านเริ่มไม่เชื่อในสิ่งที่นางได้ปล่อยข่าวเอาไว้ บวกกับได้ยินข่าวเรื่องที่หลัวหยางโหวรักใคร่หลิวหลิงลี่ จนถึงขั้นยอมไปตามง้อนางกลับเมืองอันหยางด้วยตนเองถึงสาวใช้ในจวนหลัวจะรู้ดีว่า เรื่องที่หลัวหยางโหวรักหลิวหลิงลี่นั้นเป็นเรื่องจริง แต่หากข่าวลือเรื่องนี้แพร่สะพัดมากไปกว่าข่าวลือที่นางปล่อยเอาไว้ สตรีตระกูลจางก็คงไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งนายหญิงของจวนหลัวได้ และหากเป็นเช่นนั้นเงินที่นางอุตส่าห์ลงทุนไปกับการกระจายข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ของหลิวหลิงลี่ก็จะเสียเปล่า และความสุขสบายที่นางคาดหวังเอาไว้ก็จะจบสิ้นขณะที่หญิงสาวตระกูลจางกำลังจับจ่ายใช้สอยซื้อของเข้าจวนหลัว จางหลิงเยว่ก็คิดวางแผนอยู่ตลอดเวลา ครั้นนางนึกแผนการที่จะกำจัดหลิวหลิงลี่ได้โดยที
ในเมื่อหลัวหยางโหวไว้ใจปล่อยเรื่องนี้ให้เขาจัดการ ชายหนุ่มตระกูลสวีก็ไม่อาจทำให้เจ้าเมืองหนุ่มผิดหวังได้“พวกเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าการใส่ร้ายนายหญิงจวนหลัวโหวมีโทษเช่นไร” น้ำเสียงแสนธรรมดา ทว่ากลับแฝงคำขู่เอาไว้เมื่อเหล่านักเล่าเรื่องที่รับเงินจากจางหลิงเยว่ได้ยิน ใบหน้าก็มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา สีหน้าซีดขาวไร้สี ร่างกายสั่นเทา คำขู่ของสวีจิ้งมู่มิได้น่ากลัวเท่าใดนัก ทว่าที่ทำให้พวกเขากลัวคือบุรุษที่นั่งอยู่หลังฉากอีกคนต่างหาก เพราะคำพูดของคุณชายสวี อาจจะกระตุ้นสัตว์ร้ายกระหายเลือดในตัวบุรุษอีกคนให้ตื่นขึ้นแต่ในเมื่อหลัวหยางโหวบอกแล้วว่าเรื่องนี้ให้สวีจิ้งมู่จัดการ ดังนั้นชีวิตของพวกเขาก็ขึ้นอยู่กับบุรุษหนุ่มตระกูลสวีแล้ว เหล่านักเล่าเรื่องจึงไม่รอช้าที่จะวอนขอให้คุณชายตระกูลสวีไว้ชีวิต“คุณชายสวีได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย พวกเราไม่กล้าแล้วขอรับ” เหล่านักเล่านิทานต่างเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงเว้าวอนสวีจิ้งมู่และทุกคนที่อยู่ในห้อง ต่างรู้ดีว่าหากเปลี่ยนเป็นให้หลัวหยางโหวจัดการ พวกนักเล่าเรื่องผมดำผมหงอกเหล่านี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ร้องขอชีวิตเช่นนี้เป็นแน่“ไว้ชีวิตพวกเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากพ
สตรีใส่หมวกผ้าแพรยืนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยแผนการที่ตนนั้นได้เตรียมเอาไว้ ให้นักเล่าเรื่องผมขาวฟัง เพียงสาวใช้เอ่ยแผนชั่วออกจากปาก บุรุษหนุ่มทั้งสองได้ฟังก็ฉุนขาด ทว่ายังกดข่มอารมณ์เอาไว้ แต่ยิ่งได้ฟังแผนการของสาวใช้ มือทั้งสองข้างของหลัวหยางโหวก็ยิ่งกำหมัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวยังไม่ทันจะกล่าวถึงแผนการจนจบ บุรุษหนุ่มตระกูลหลัวก็ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไปทว่าขณะที่เจ้าเมืองหนุ่มกำลังจะยกมือขึ้นทุบโต๊ะ สวีจิ้งมู่ได้ใช้พัดที่อยู่ในมือแตะไปที่หลังมือของหลัวหยางโหวเบา ๆ พลางส่ายหน้าช้า ๆ นัยน์ตาของคุณชายสวีทอแสงวาววับเจ้าเล่ห์ ราวกับจะบอกบุรุษตรงหน้าว่าเขามีแผนการดี ๆ สำหรับจัดการสตรีชั่วช้าผู้นี้แล้วหลัวหยางโหวพยายามทำใจเย็นฟังแผนการของสตรีที่อยู่อีกด้านของฉากกั้นจนจบ ครั้นพอนางเดินออกจากห้องไปหลัวหยางโหวก็ให้คนสะกดรอยตามนางทันที เพื่อให้มั่นใจว่าสตรีผู้นี้คือคนของจวนโหวจริง ๆ ถึงแม้ลักษณะท่าทางและน้ำเสียงของสตรีผู้นี้ จะคล้ายคนในจวนของเขาผู้นั้นมาก ทว่าตราบใดที่เขายังไม่ได้เปิดหมวกผ้าแพรนั้นออก เขาก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า นางคือจางหลิงเยว่ หลานสาวของจางอ้ายเหลียน หญิงรับใช้คนสน






reviews