Search
Library
Home / อื่น ๆ / ลุงเหมือง ภารโรงพันล้าน / บทที่ 11 โรงเรือนแห่งการเรียนรู้ของลุงเหมือง

บทที่ 11 โรงเรือนแห่งการเรียนรู้ของลุงเหมือง

Author: Bosskerr
2025-06-12 23:52:19

เสียงนกกางเขนเรียกหาคู่ดังก้องในเช้าหลังฝนตกติดต่อกันหลายวัน ท้องฟ้าเริ่มเปิด แสงแดดสาดส่องลงมาอ่อน ๆ ลมที่เคยพัดพาโคลนตมในพายุได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสายลมเย็นบาง ๆ ที่พัดผ่านยอดต้นมะละกอข้างบ้านของลุงเหมืองให้เอนไหวเล็กน้อย

ถึงแม้แปลงมะเขือเทศจะเสียหายหนักจากพายุครั้งใหญ่ในฤดูฝนที่ผ่านมา แต่จิตใจของลุงเหมืองกลับมั่นคงยิ่งกว่าเดิม

แทนที่จะมัวนั่งบ่นว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะดี แต่ลุงเหมืองกลับเลือกที่จะเอาประสบการณ์ครั้งนี้มาเป็นครูสอนบทเรียน

ในวันนั้นเอง ลุงเหมืองนั่งจิบกาแฟร้อนอยู่ในครัว พร้อมลูบสมุดบันทึกที่เต็มไปด้วยคราบดินและรอยนิ้วเปื้อนดิน เขาเปิดหน้าสุดท้ายขึ้นมา แล้วบรรจงเขียนด้วยดินสอไม้แท่งเดิม

‘สร้างโรงเรือน ด้วยสองมือเราเอง’

ความคิดนี้อาจจะดูใหญ่เกินตัว สำหรับชายวัยใกล้ห้าสิบอย่างลุงเหมือง แต่เขาไม่ได้กลัวหรือหวาดหวั่น สิ่งแรกที่ลุงเหมืองนึกถึงก็คือ โรงเรียนบ้านดอนแดงพัฒนา ที่เขายังทำงานเป็นภารโรงอยู่

หลังเลิกเรียนวันนั้น ลุงเหมืองเดินไปยังหลังโรงเก็บของเก่าหลังโรงเรียน ที่นั่นเต็มไปด้วยไม้กระดาน ผนังเก่าที่ถอดออกตอนรีโนเวตอาคารเรียน และเสาไม้ที่เคยเป็นโครงหลังคาโรงอาหารเก่าเมื่อหลายปีก่อน ของเหล่านี้เป็นไม้เก่า ๆ สิ่งของเก่า ๆ ที่ถูกทิ้งไว้ในโรงเก็บของมาหลายปี

“ไม้พวกนี้จะใช้ใหม่ได้อีกไหมนะ”

ลุงเหมืองพึมพำพลางเดินวนรอบกองของเก่าพวกนั้นซ้ำ ๆ หลายรอบ จนแน่ใจว่ายังมีไม้ที่แข็งแรงพอที่จะนำกลับไปใช้ได้

วันถัดมา ลุงเหมืองได้ขออนุญาตผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อขอนำไม้เก่าเก็บออกไปใช้ ถึงแม้ว่าไม้พวกนี้จะไม่ได้ถูกนำไปใช้งานแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นของทางโรงเรียน ลุงเหมืองจึงต้องทำให้ถูกต้อง ด้วยการขออนุญาตให้เรียบร้อยเสียก่อน

“ท่านผอ. ครับ จะเป็นอะไรไหมครับถ้าลุงอยากจะขอเอาไม้ที่โรงเก็บของไปใช้ พอดีลุงเห็นว่ามันเก็บมาหลายปีปล่อยไว้ก็มีแต่ปลวกขึ้น”

“เอาไปสิลุงเหมือง ไม้เก่าพวกนั้นที่โรงเรียนก็ไม่ได้ประโยชน์แล้ว เก็บไว้ก็มีแต่เรียกปลวก”

“ขอบคุณครับท่านผอ. หลังเลิกเรียนลุงจะขนกลับบ้านนะครับ”

“ตามสบายเลยลุงเหมือง”

ตอนเย็นหลังเลิกเรียนของวันนั้น ลุงเหมืองก็เริ่มทยอยขนไม้เหล่านั้นกลับบ้านด้วยรถเข็นสองล้อคู่ใจ หลังเลิกเรียนที่แพรจะแวะมาที่บ้านลุงเหมืองทุกวันก่อนจะกลับบ้านของตัวเอง เมื่อไม้กองไม้จึงเอ่ยถามขึ้น

“ลุงจะทำอะไรกับไม้พวกนี้เหรอคะ”

“ลุงจะสร้างโรงเรือน” ลุงเหมืองตอบเสียงเรียบแต่ชัดเจน

แพรยิ้มทันทีเมื่อได้ยิน เหมือนกับว่าเธอเองก็รอคำนี้มานาน

“เยี่ยมเลยค่ะ หนูจะช่วยเอง”

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ โรงเรือนแห่งการเรียนรู้ โรงเรือนที่ไม่มีแบบแผนพิมพ์เขียว ไม่มีสถาปนิก และไม่มีผู้รับเหมา แต่สิ่งที่มี ก็คือแรงใจจากชายวัยเกือบห้าสิบปี กับหญิงสาวผู้เชื่อมั่นในคำว่า ‘ทำได้’

ในสัปดาห์ถัดมาลุงเหมืองและแพรช่วยกันตอกเสาอย่างขะมักเขม้น พื้นที่หลังฟาร์มเหมืองแดงถูกจัดไว้สำหรับโรงเรือนหลังแรก

โรงเรือนนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก กว้างสี่เมตร ยาวแปดเมตร ใช้เสาไม้สี่ต้นเป็นฐานหลัก ตอกไม้ระแนงพาดเป็นคาน แล้วกรุด้วยพลาสติกใสที่แพรช่วยสั่งซื้อมาจากทางออนไลน์ทำให้ได้ราคาถูกกว่าไปซื้อปลีกตามร้านค้าในเมือง แถมยังสั่งซื้อได้แบบส่งฟรี ทำให้ประหยัดได้ไปอีกทาง

ในตอนนี้ แพรกลายเป็นผู้ช่วยหลักของลุงเหมือง ผู้ช่วยที่ไม่ใช่แค่จับค้อนหรือช่วยส่งตะปู แต่เธอยังช่วยคิดคำนวณระยะ วางแบบแปลนอย่างง่าย ๆ ทำตารางรดน้ำ จัดระบบต่าง ๆ สำหรับโรงเรือน บางวันก็ถือกล้องมือถือมาถ่ายภาพความคืบหน้าไปด้วย

“ลุงคะ หนูมีไอเดีย” แพรพูดขณะที่ยกถังสีมาวางลงเพื่อลงมือทาไม้กันปลวก

“ไอเดียอะไรอีกล่ะหนูแพร” ลุงเหมืองหัวเราะเบา ๆ พลางถามกลับ

“หนูว่านะ เรามาสร้างเพจเฟซบุ๊กให้ฟาร์มของลุงกันเถอะค่ะเราถ่ายรูปอัปเดตโรงเรือน ลงรูปพืชผักที่เราปลูก แล้วก็เรื่องราวของมะเขือเทศแดงหวานทุกวัน”

“แล้วจะตั้งชื่อเพจว่าอะไรดีล่ะ” ลุงเหมืองเอ่ยถาม

แพรยิ้มส่งให้ลพางทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วเรียวเคาะลงที่ข้างขมับเบา ๆ พลางย่นคิ้ว

“ที่หนูคิดนะ ต้องเอาแบบเรียบ ๆ แต่จำง่าย หนูว่าตั้งชื่อว่า ‘เรือนแดงหวาน’ เป็นไงคะลุง”

ลุงเหมืองเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

“ดีเลย ชื่อนี้เข้าโรงเรือนของเรากับพันธุ์มะเขือเทศที่ลุงปลูกด้วย ชื่อดี ๆ”

ในวันนั้นเองเพจเฟซบุ๊ก “เรือนแดงหวาน” ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

รูปโปรไฟล์คือรูปแพรถ่ายโดยจัดฉากให้ลุงเหมืองยืนข้างโรงเรือนที่ยังสร้างไม่เสร็จ ส่วนรูปหน้าปกคือภาพต้นมะเขือเทศที่รอดจากพายุใหญ่ในช่วงฤดูฝน

โพสต์แรกของเพจเรือนแดงหวาน คือภาพไม้ที่กองพะเนิน พร้อมกับแคปชั่นว่า ลุงเหมืองกำลังเริ่มสร้างโรงเรือนจากไม้เก่า ๆ ที่ขอมาจากโรงเรียน เพื่อให้มะเขือเทศพันธุ์แดงหวานของเราเติบโตได้แม้ในวันที่ฝนตกหนัก

            ในวันแรกมีคนกดไลก์ไม่ถึงสิบคน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะเป็นเพจที่เพิ่งเปิดใหม่ จำนวนคนกดถูกใจ กดติดตามเพจก็ยังมีไม่มากแต่มีคอมเมนต์แรกที่คอมเมนต์เข้ามาจนทำเอาแพรน้ำตาซึม

“สู้ ๆ นะลุง หนูเป็นคนบ้านดอนแดงเหมือนกัน ตอนเด็กเรียนที่บ้านดอนแดงยังจำลุงได้ดี จนตอนนี้หนูเรียนจบมีงานทำแล้ว ดีใจด้วยที่ลุงมีฟาร์มเป็นของตัวเอง”

ในสัปดาห์ถัดมา แพรยังคงโพสต์รูปความคืบหน้าลงเพจทุกวัน มีทั้งคลิปตอกเสา ภาพที่แพรยืนบนเก้าอี้สูงตัดพลาสติก ภาพลุงเหมืองยืนเช็ดเหงื่อ ภาพมะเขือเทศที่เริ่มเพาะใหม่ในกระบะเพาะ

กระแสของเพจเรือนแดงหวานเริ่มขยายตัวอย่างช้า ๆ เพื่อนของแพรที่อยู่กรุงเทพฯ ช่วยแชร์โพสต์ไปยังกลุ่มต่าง ๆ ไม่กี่วันต่อมา จำนวนคนติดตามก็พุ่งจากหลักสิบเป็นหลักร้อย และจากหลักร้อยเป็นหลักพัน จากที่มีคอมเมนต์แค่คนสองคน ในตอนนี้เริ่มมีคนเข้ามาคอมเมนต์มากขึ้น และกดไลก์ กดแชร์มากขึ้น

“เห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นใจมากเลยค่ะ”

“มะเขือเทศนี่สีแดงน่ากินสุด ๆ เลย”

“ขายไหมคะ อยากสั่งสักโลสองโล”

“จัดส่งไหมคะ อยู่เชียงใหม่แต่สนใจมะเขือเทศลุงมาก สีแดงลูกใหญ่ อยากลองกินค่ะ”

“ส่งปทุมธานีไหมครับ สนใจ”

แพรอ่านทุกคอมเมนต์ให้ลุงเหมืองฟัง บางคอมเมนต์ก็ทำให้เขาหัวเราะ บางคอมเมนต์ทำให้เขานิ่งคิด แล้วพึมพำว่า

“คนเมืองนี่ก็ยังอยากกินผักจากบ้านนอกเราเนาะ”

วันหนึ่ง หลังจากโพสต์อัปเดตโรงเรือนเสร็จ แพรนั่งเงียบอยู่ใต้ต้นขนุนข้างบ้านลุงเหมือง สายตาของเธอมองไปยังแปลงเพาะเมล็ดใหม่ที่กำลังเริ่มงอกงาม

“ลุง” แพรเรียกเสียงเบา

“ว่าไงหนูแพร”

“หนูมีอีกไอเดียนึงค่ะ”

“ไอเดียอะไรอีกล่ะ ขอแค่อย่าให้ต้องปีนหลังคาอีกก็พอนะ” ลุงเหมืองพูดติดตลกพลางหัวเราะ

แพรหัวเราะ “ไม่ใช่ค่ะ หนูว่า เราน่าจะลองขายมะเขือเทศทางออนไลน์ดูนะคะ เราแพ็กบรรจุใส่กล่องให้ดีเพื่อไม่ให้เสียหาย จัดส่งทางไปรษณีย์”

ลุงเหมืองเงียบไป สีหน้าย่นกำลังครุ่นคิดบางอย่าง

“ขายผ่านเฟซบุ๊กเนี่ยเหรอ”

“ใช่ค่ะ เพจเราเริ่มมีคนสนใจแล้ว ถ้าเราทำเป็นเซตเล็ก ๆ แล้วแพ็กใส่กล่องไปรษณีย์ ก็สามารถส่งได้ทั่วประเทศเลยนะ”

“มันจะไหวเหรอหนูแพร ลุงไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยนะ ไอ้พวกเทคโนโลยีอะไรนี่ลุงก็ไม่เก่ง ทำไม่ค่อยเป็น”

“เราค่อย ๆ เรียนรู้ก็ได้ เหมือนที่ลุงเคยบอกไงว่า ต้นกล้ามันโตทีละวัน การขายของก็เหมือนกันแหละ”

ลุงเหมืองหัวเราะในลำคอ

“หนูแพรนี่พูดเหมือนลุงไม่มีผิดเลย”

“หนูก็เรียนรู้มาจากลุงนั่นแหละ”

ทั้งสองคนนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องระงม และลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านแปลงมะเขือเทศต้นอ่อนและเหล่าพืชที่กำลังเติบโตภายในแปลงและภายใต้พลาสติกโรงเรือนหลังใหม่

ที่แห่งนี้มันไม่ใช่แค่โรงเรือน แต่มันคือห้องเรียนสำหรับการเรียนรู้ เป็นห้องเรียนของคนที่เชื่อว่า อายุไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเริ่มต้น ขอแค่เราพร้อมที่จะก้าวและเริ่ม ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้เสมอ...

Continue to read this book for free
Scan code to download App
Locked Chapter
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP