เช้าวันจันทร์
วันนี้เป็นวันหยุดนักขัติฤกษ์ลุงเหมืองจึงไม่ต้องไปทำงานที่โรงเรียน เป็นวันที่อากาศไม่ร้อนจัดเกินไป แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านม่านไม้ที่หน้าต่างครัว ลุงเหมืองนั่งจิบกาแฟดำที่ชงเองจากกาต้มน้ำเก่า ๆ เขาไม่ได้ใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมใด ๆ เพราะชอบรสขมเข้มแบบที่กระตุกความคิดให้ตื่นตัว
วันนี้ไม่ใช่เช้าแบบธรรมดา เพราะเมื่อวานหลังจากที่คุณนายพันดาวกลับไป ลุงเหมืองก็เอาแต่นั่งคิด นอนพลิกตัวไปมายังไงก็ไม่หลับอยู่เกือบชั่วโมงเต็ม
ข้อเสนอของคุณนายพันดาวนั้นไม่ได้มีเพียงแค่คำชม แต่มาพร้อมตัวเลขราคากิโลกรัมละ 55 บาท สำหรับมะเขือเทศที่ลุงเหมืองเคยขายให้แม่ค้าในตลาดที่อำเภอก็เพียงแค่กิโลละ 40 บาทเท่านั้น
นั่นหมายถึงว่า ส่วนต่างที่คุณนายพันดาวเสนอให้นั้น ได้มากกว่าถึง 55 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว นี่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ถ้าคิดจริงจังขึ้นมา มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลย
"ลุง ถ้าจะปลูกเพิ่ม หนูช่วยได้นะ"
เสียงของแพรยังชัดเจนอยู่ในความคิดของลุงเหมืองเขาหยิบสมุดเล่มเล็ก ๆ ที่หน้าปกเปื้อนดินขึ้นมา แล้วเปิดหน้าว่างหน้าใหม่ ดินสอไม้แท่งสั้น ๆ ถูกเหลาจนพร้อมใช้งานบรรจงจ่อลงบนหน้ากระดาษ
ลุงเหมืองเริ่มขีดเส้น เขียนตัวเลขง่าย ๆ ลงบนกระดาษ เขาคิดอย่างคร่าว ๆ ว่า ถ้าปลูกเพิ่มอีก 2 เท่าของพื้นที่เดิม เขาจะได้ผลผลิตมากขึ้นประมาณ 80–100 กิโลกรัมต่อรอบ ราคาที่คุณนายพันดาวให้คือ 55 บาทต่อกิโลกรัม หากขายได้เต็มจำนวน ก็จะได้เงินประมาณ 4,400–5,500 บาทต่อรอบการเก็บเกี่ยว ตอนนี้ลุงเหมืองกำลังคิดคิดไปอีกขั้น
แล้วถ้าทำโรงเรือนล่ะ มันจะเป็นยังไง?
ก็อาจจะปลูกได้หลายรอบต่อปี ไม่ต้องพึ่งฝน ไม่ต้องลุ้นเรื่องแดด แต่โรงเรือนคือสิ่งที่ลุงเหมืองไม่เคยทำ และไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ยังไม่ทันได้คิดต่อ มือถือแบบปุ่มกดรุ่นเก่าในกระเป๋าเสื้อก็ดังขึ้น ชื่อผู้โทรปรากฏตรงหน้าจอว่า “คุณนายพันดาว”
“ฮัลโหลครับ” ลุงเหมืองกดรับสาย
“สวัสดีค่ะลุงเหมือง พอดีวันนี้ฉันจะกลับไปที่จังหวัดข้าง ๆ มีธุระที่ร้านอาหารสาขาประจำจังหวัดนั้นพอดี”
เสียงจากปลายสายยังคงสุภาพและพูดอย่างมั่นใจ
“ลุงพอจะว่างไหมคะ ถ้ามีเวลา ฉันอยากชวนไปดูโรงเรือนของฉันสักหน่อย เผื่อลุงจะได้ไอเดียในการขยายพื้นที่ปลูก”
ลุงเหมืองนิ่งคิดเพียงแค่ไม่กี่วินาที ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ
“ได้ครับ ผมว่างอยู่พอดี”
สองชั่วโมงต่อมา
ลุงเหมืองนั่งอยู่ในรถของคุณนายพันดาว เป็นรถตู้คันหรูที่มีเบาะกว้างนุ่ม นั่งสบายผิดกับรถกระบะคันเก่าของลุงเหมืองอย่างลิบลับ พอรถแล่นเข้าสู่จังหวัดที่ใหญ่กว่า ภาพตึกอาคารและบ้านเรือนที่ทันสมัยก็ค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ภาพท้องไร่ท้องนาและบ้านไม้สมัยเก่า
ร้านอาหารของคุณนายพันดาวตั้งอยู่ในตึกแถวที่รีโนเวตใหม่ มีป้ายหน้าร้านสีทองเรียบหรูชื่อ “ครัวพันดาว” ตั้งอยู่ด้านหน้า ถัดจากร้านไปไม่ไกล เป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดประมาณครึ่งไร่ มีโครงเหล็กตั้งเรียงกันเป็นโรงเรือนขนาดกลาง ปกคลุมด้วยพลาสติกใสอย่างดี
“นี่คือโรงเรือนปลูกผักของฉันค่ะ” คุณนายพันดาวอธิบาย
“ที่นี่เราเน้นปลูกผักสลัดหลายชนิดที่ใช้ในเมนูเฉพาะ และให้เชฟใช้วัตถุดิบสดใหม่จากแหล่งของเราเอง”
ลุงเหมืองเดินเข้าไปข้างใน สัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นกว่าด้านนอกนิดหน่อย พื้นในโรงเรือนโรยด้วยกรวด มีหลอดไฟ LED แขวนตามแนวยาว และมีระบบน้ำหยดรดผักตามเวลาที่ตั้งเอาไว้
“ทุกอย่างที่นี่ควบคุมด้วยระบบเซ็นเซอร์ค่ะ” ทีมงานของคุณนายพันดาวคนหนึ่งอธิบายขึ้น
“เราใช้ดินผสมเฉพาะที่สั่งตรงจากศูนย์เกษตร แล้วก็มีการตรวจค่าสารอาหารในดินทุกเดือนด้วย”
ลุงเหมืองพยักหน้าช้า ๆ แม้จะฟังไม่หมดทุกคำ แต่ก็พอจะมองออกว่านี่คือ “อีกขั้น” ของการปลูกผักจริง ๆ
“ถ้าลุงสนใจ ฉันยินดีช่วยวางระบบเบื้องต้นให้นะคะ ไม่ต้องใหญ่แบบนี้ แค่ขนาดครัวเรือนก่อนก็ได้ จะได้ปลูกได้ตลอดทั้งปี”
คุณนายพันดาวพูดพลางเดินพาลุงเหมืองกลับมายังลานหน้าร้าน
แต่ลุงเหมืองยังไม่ตอบ เขากำลังใช้ความคิด คิดคำนวณทั้งในสมุดและในใจ
“จริง ๆ แล้ว เอ่อ...” คุณนายพันดาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำเสียงกลับฟังดูตะกุกตะกักอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากคุยกับลุงเพิ่ม”
“เรื่องอะไรครับ”
“ฉันอยากขอซื้อ ‘พันธุ์มะเขือเทศ’ ของลุงค่ะ”
ลุงเหมืองหันมามองเธอทันที สีหน้ามีทั้งความตกใจและความระแวดระวัง
“คุณนายอยากได้พันธุ์เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ฉันอยากลองปลูกในโรงเรือนของฉันเองอีกชุดหนึ่ง เพื่อใช้ในร้านที่นี่โดยเฉพาะ เราจะไม่ขายต่อแน่นอน ใช้เฉพาะในครัวของเราเท่านั้น และจะใส่ชื่อ ‘มะเขือเทศพันธุ์ลุงเหมือง’ ลงในเมนูอาหารด้วย”
ลุงเหมืองนิ่งเงียบไป ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เพราะตอนนี้ในหัวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
คำว่าพันธุ์ ไม่ใช่แค่เมล็ด แต่มันคือหัวใจของการปลูกผักของลุงเหมือง
พันธุ์มะเขือเทศแดงหวานตะวันออกนี้ลุงเหมืองไม่ได้ซื้อมาจากที่ไหน แต่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ครูแอ๋วผู้ใจดีให้มาแบบฟรี ๆ และลุงเหมืองได้ลองปลูก เฝ้าฟูมฟักดูแล รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยบำรุงดินจากสิ่งที่หาได้ในบ้าน จนได้ผลแบบทุกวันนี้
“ผมขอคิดดูก่อนได้ไหมครับ” ลุงเหมืองตอบในที่สุด
คุณนายพันดาวยิ้มส่งให้ “แน่นอนค่ะ ฉันไม่รีบ ลุงลองคิดให้รอบคอบก่อนก็ได้ ฉันเข้าใจดีค่ะว่าเรื่องแบบนี้มันสำคัญแค่ไหน”
ก่อนกลับ คุณนายพันดาวได้ยื่นกล่องเล็ก ๆ ให้กับลุงเหมือง
“นี่เป็นซอสที่เราทำจากมะเขือเทศของลุง ลองชิมดูนะคะ เชฟของร้านเราประทับใจมากค่ะ”
ลุงเหมืองพยักหน้าเบา ๆ ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน เขาเงียบไม่พูดสิ่งใดไปตลอดทาง ในหัวของเขามีแต่คำถามเต็มไปหมด
“จะดีไหมถ้าเราขยายมากกว่านี้”
“ถ้าให้พันธุ์เขาไป แล้วเขาปลูกเองล่ะ”
“หรือนี่จะเป็นโอกาสที่ไม่ควรปล่อยผ่าน”
หลากหลายคำถามถาโถมเข้ามาในหัว แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมากที่สุดก็คือ โลกของลุงเหมืองกำลังขยับ ไม่ใช่เพียงแค่ด้วยจอบ ด้วยดินและพืชผักเขาปลูก แต่กำลังขยับด้วยตัวเลข ความคิด และการตัดสินใจ...