Search
Library
Home / รักโบราณ / วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด / บทที่ 6 ความหลังเมื่อครั้งวัยเยาว์

บทที่ 6 ความหลังเมื่อครั้งวัยเยาว์

2025-06-22 12:00:22

ฤดูฝนสิบปีก่อน หยาดน้ำฝนกำลังตั้งท่าจะร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเหตุให้อากาศร้อนอบอ้าว ที่หน้าศาลาของวัดร้างบนหุบเขาปรากฏร่างเด็กหญิงกำลังยืนตัวสั่นระริก ริมฝีปากบางซีดขาวไร้เลือดฝาดเพราะความหนาวเหน็บ ตอนนี้เวลาล่วงเข้าใกล้ยามโหย่ว [1] เสียงหรีดหริ่งเรไรกังวานก้องทั่วทั้งบริเวณ พริบตาผืนฟ้าที่ย้อมสีหม่นก็เทกระหน่ำหยาดพิรุณให้ร่วงหล่นลงมาอย่างบ้าคลั่ง

ซ่า…

ละอองฝนซะสาดเข้าใบหน้าจนรู้สึกไม่สบายตัว นัยน์ตากลมกลอกมองไปยังทางเข้าโถงกราบไหว้ที่ห่างออกไปอย่างนึกลังเล เพราะเพียงก้าวเท้าออกจากที่กำบัง ก็สามารถทำให้เปียกชุ่มไปทั้งร่าง 

เด็กหญิงอายุห้าหนาวจดจ้องเป้าหมายไม่วางตา ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลดปลง หากเปียกโชกไปทั้งตัวจะต้องถูกมารดาดุเป็นแน่ ทั้งที่ถูกกำชับแล้วว่าอย่าออกมาเล่นนอกโถงกราบไหว้ ทว่าเด็กน้อยกลับไม่เชื่อฟัง ความรั้นเป็นเหตุ 

เด็กตัวเล็กทรุดกายลงเกาะเข่าหน้าสลด มือเล็กเขี่ย ๆ ใบไม้ที่ปลิวเข้ามาเพื่อฆ่าเวลา ริมฝีปากบางขยับแผ่วบ่นให้ตัวเองขมุบขมิบ “ช่างเถิด ทนอีกหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวฝนก็คงหยุด ใครให้เจ้าดื้อเช่นนี้เล่า เซียงเซียง”   

ปั๊ก! 

“โอ๊ย” 

มือเล็กยกขึ้นกุมศีรษะ หัวของนางสั่นคลอนแทบหงายท้องตึง “ผู้ใดกัน!” 

ซ่า...

เด็กหนุ่มร่างสูงวิ่งฝ่าฝนเข้ามา เมื่อครู่เร่งรีบไปนิดทำให้เท้าของเขาเตะเอากิ่งไม้แห้งไม่ตั้งใจ กระทั่งมันลอยละลิ่วกระทบศีรษะของคนตัวเล็กที่นั่งหน้าบูดเบี้ยวเพียงลำพังอยู่ในศาลา 

“ยัยตัวเล็ก พี่ขอโทษนะ เมื่อครู่พี่ไม่ได้ตั้งใจ” 

เด็กหญิงหน้าจิ้มลิ้มเชิดคางหนี “เชอะ! ท่านมองไม่เห็นหรือ ข้านั่งอยู่โทนโท่” นิ้วเล็กชี้ไปบริเวณหน้าผากที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ “ท่านดูสิเจ้าคะ แดงหมดแล้ว หากท่านแม่ของข้าเห็นจะต้องตำหนิเป็นแน่ ท่านต้องบอกว่าข้ามาเล่นสนุกจนไม่รู้จักดูแลตัวเอง” 

เด็กหนุ่มยิ้มแหยเพราะรู้สึกผิด “พี่ขอโทษเจ้าด้วย เช่นนั้นขอพี่ดูแผลของเจ้าหน่อย” 

เท้าสูงก้าวไปเบื้องหน้า เด็กหญิงตัวเล็กไม่ทันปฏิเสธ มือเย็นเฉียบที่เปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำก็คว้าหมับไปยังศีรษะเล็ก เพราะเด็กหญิงตัวเล็กไป หนุ่มน้อยจึงอุ้มอีกฝ่ายจนตัวปลิว

“อ๊ะ! พี่ชายท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”

เสียงที่เพิ่งแตกหนุ่มขบขัน “ยัยเปี๊ยก ตัวเท่าลูกสุนัขก็รู้จักหวงตัวแล้ว ข้าก็จะดูบาดแผลให้เจ้าอย่างไรเล่า” 

เด็กหญิงเบือนหน้าหนี ทว่ากายของนางถูกเขาอุ้มให้นั่งอยู่บนอ้อมแขนแล้ว “ท่านปล่อยข้าลงนะเจ้าคะ ถึงข้าเป็นเด็กแต่ก็แยกแยะออก ท่านแม่บอกว่าห้ามไว้ใจคนแปลกหน้า ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ตาม” 

เด็กหนุ่มหัวเราะครืน “ได้ ๆ เป็นพี่ชายที่ผลีผลามเอง ขอโทษด้วย” 

เด็กหนุ่มหน้าวสันต์อดยิ้มกับความไร้เดียงสาทว่ายังรู้จักระวังตนของเจ้าตัวเล็กไม่ได้ เขาอุ้มนางไปใกล้หินขัดก้อนหนึ่ง ที่สร้างเอาไว้สำหรับนั่งผ่อนคลาย มือที่ยังว่างปัดเศษฝุ่นออกจนสะอาด จากนั้นจึงวางร่างเล็กให้นั่งลงด้วยความแผ่วเบา “เช่นนี้พี่ชายก็ดูแผลให้เจ้าได้แล้วกระมัง” 

เด็กหญิงเม้มปากจนเกิดเป็นเส้นตรง นางรู้สึกว่าตรงหน้าผากมันตึงมาก หากเกิดรอยบวมแดงเกรงว่าตนอาจถูกมารดาดุ นางจึงพยักหน้าให้เขาอย่างจำใจ เด็กหนุ่มยอบกายลง เขาเกลี่ยปอยผมที่ระหน้าผากน้อยออก 

“แดงหมดแล้ว ดีที่พี่พกโอสถทาแผลภายนอกมาด้วย เจ้าอดทนหน่อยนะ” 

ขาน้อย ๆ เขย่าไปมา “เจ้าค่ะ” 

มือกว้างหยิบขวดหยกขนาดเล็กออกมาจากสาบเสื้อ เขาบรรจงทาแผลให้อีกฝ่ายแผ่วเบา 

“เจ็บหรือไม่” เสียงทุ้มกล่าวด้วยความเป็นห่วง 

ใบหน้าอันจิ้มลิ้มแปรผันเป็นเหยเกเสียแล้ว ทว่านางกลับเลือกส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ” 

คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ต้มตุ๋นน้อย เจ็บก็บอกเจ็บสิ” เขาหัวเราะขบขันจากนั้นก็เป่าลมเย็น ๆ ลงกลางหน้าผากอีกฝ่าย 

พริบตาหมอกจาง ๆ ก็ปรากฏพร้อมเสียงเรียกของใครบางคน...

“...พี่ชาย”

“แม่นาง แม่นาง เป็นอะไรหรือไม่” 

ไป๋เฉินเซียงลุกพรวด เหงื่อไหลจนเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง “ที่นี่คือ…”

นักพรตน้อยอายุราวสิบสี่ยิ้มบาง “ที่นี่เป็นโถงรับรองของวัดเฉินหลิง”

ไป๋เฉินเซียงพยักหน้า ตริตรองครู่หนึ่งก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว “เช่นนี้เอง ท่านเป็นคนช่วยข้าไว้หรือเจ้าคะ” 

นักพรตน้อยพยักหน้า เขาเหลียวมองไปยังหัวเตียง ไป๋เฉินเซียงมองตามจึงพบว่ามีถ้วยกระเบื้องเคลือบที่เต็มไปด้วยน้ำสีขุ่นคล้ำอยู่เกินครึ่ง 

ไป๋เฉินเซียงขยับปากมุบมิบ “โอสถงั้นหรือ”

นักพรตน้อยตอบ “นั่นเป็นโอสถบำรุงกำลังของท่านอาจารย์ แม่นางดื่มเสียสิโอสถนี่จะช่วยคลายความหิวให้เจ้าได้ ดูแม่นางคงไม่ได้กินดื่มอะไรเลยมาทั้งวันจึงหมดสติไป หากเรี่ยวแรงกลับมาแล้วก็เชิญแม่นางไปพบท่านอาจารย์กับข้าเถิด” 

ไป๋เฉินเซียงมึนงงเล็กน้อย แต่ในเมื่อมาถึงที่หมายแล้ว ย่อมไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป 

ความฝันเมื่อครู่...เป็นเขาสินะ ไม่รู้จะได้พบกันที่นี่อีกหรือเปล่า 

คิ้วสวยขมวดแน่น ไป๋เฉินเซียงไตร่ตรองถึงภาพฝันอันเลือนรางก็เกิดปวดศีรษะขึ้นกะทันหัน 

“แม่นาง ท่านไม่วางใจหรือ โอสถนี่…” 

“ข้าดื่ม ๆ ข้าวางใจเจ้าค่ะ” 

ไม่ทันจบประโยคมือเรียวก็คว้าหมับไปยังถ้วยกระเบื้องด้านหน้า จากนั้นยกซดของเหลวด้านในจนเกลี้ยงชาม ไป๋เฉินเซียงหน้าบิดเบี้ยวทำท่าจะขย้อนสิ่งนั้นออกมาเสียให้ได้

“ขมหรือ”

ไป๋เฉินเซียงยิ้มแห้ง “เล็กน้อยเจ้าค่ะ”

“แม่นางคงเคยได้ยินคำว่าหวานเป็นลมขมเป็นยากระมัง ทว่านิสัยวางใจผู้อื่นรวดเร็วเช่นนี้ไม่นับว่าดีเท่าใดนัก หากข้าเป็นผู้ประสงค์ร้ายป่านนี้ท่านคงลงปรโลกไปเสียตั้งนานแล้ว” 

ไป๋เฉินเซียงตาโต ที่นักพรตน้อยรูปนี้เอ่ยมาก็จริง ดูเหมือนนางเร่งร้อนผูกมิตรจนเกินไป 

“ขออภัยเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะระวังให้มากกว่านี้” ไป๋เฉินเซียงลดมองอาภรณ์บนเรือนร่าง มือหนึ่งด้านยกขึ้นคลำศีรษะก็บังเกิดอาการฉงน 

เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นสตรี

ราวกับอีกฝ่ายอ่านใจผู้อื่นได้ “ไม่ต้องกังวล ตอนสังเกตชีพจรของแม่นาง อาจารย์ก็ทราบทันทีว่าแม่นางมีพลังหยินในร่างกาย” 

ไป๋เฉินเซียงพยักหน้าหงึกหงัก “อาจารย์ของท่านเก่งกาจยิ่งนัก ไม่ทราบว่าเขาคือ ท่านนักพรตติง ติงรุ่ยฉีหรือไม่” 

“ไม่ผิด แม่นางรู้จักท่านอาจารย์ด้วยหรือ”

ไป๋เฉินเซียงฉีกยิ้มกว้างแทนคำตอบ ครั้งล่าสุดที่นางเคยพบอาจารย์หมอหัตถ์เทวดาท่านนี้ก็เป็นเมื่อครั้งเยาว์วัยในชาติก่อน ไม่คิดเลยว่าการดั้นด้นขึ้นเขาครานี้จะได้พบเขาอีกครั้ง 

“เช่นนั้นไปตอนนี้เลย เราไปพบอาจารย์ของท่านกันเจ้าค่ะ”  

ไป๋เฉินเซียงหย่อนเท้าลงพื้นอย่างกระตือรือร้น

“ช้าก่อนแม่นาง ท่านไม่เป็นไรแล้วรึ พักให้หายเหนื่อยก่อน อีกหนึ่งชั่วยามค่อยไปพบท่านอาจารย์ก็ได้” 

“ข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ โอสถเมื่อครู่ช่างสรรพคุณเลิศล้ำนัก พริบตาก็เพิ่มกำลังวังชาได้เท่าตัว อิ่มแปล้ประหนึ่งดื่มน้ำค้างแดนเซียน” 

ไป๋เฉินเซียงสาวเท้าออกจากห้องไวปานลมกรด

“ดะ…เดี๋ยว!” 

รั้งไม่ทันแล้ว นางจากไปราวกับรู้เส้นทางเป็นอย่างดี นักพรตน้อยยกมือเกาศีรษะอันไร้เส้นผมของตน เขาตัดสินใจสาวเท้าตามไป๋เฉินเซียงออกมา ไม่น่าเชื่อว่านางจะมุ่งหน้าไปถูกทางจริง 

“แม่นางผู้นี้ เคยมาที่นี่งั้นหรือ” 

วัดเฉินหลิงวางค่ายกลพรางตามาหลายร้อยปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่หญิงสาวอายุเพียงสิบห้าหนาวจะทราบที่ตั้งด้วยตนเอง

โถงกราบไหว้อันกว้างขวาง สลักลวดลายงามวิจิตรเอาไว้บนผนัง บริเวณกลางห้องปรากฏนักพรตชรารูปหนึ่งนั่งเข้าฌานด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไป๋เฉินเซียงย่องเบาเพราะเกรงจะรบกวนสมาธิของอีกฝ่าย 

“มาแล้วหรือ” เสียงทุ้มดังก้อง 

ไป๋เฉินเซียงสะดุ้งแผ่ว ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ทันลืมตาหรือเหลียวหลังมามองด้วยซ้ำ ทว่ากลับสัมผัสได้ว่ามีคนยืนอยู่เบื้องหลัง อาจเพราะด้านในเงียบงันมาก เสียงฝีเท้าที่เสียดสีพื้นเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกตัวได้ไม่ยาก เพราะไป๋เฉินเซียงยังได้ยินเสียงลมหายใจของตนดังจนหนวกหู 

นักพรตน้อยที่ตามหลังมาติด ๆ เอ่ยปากพร้อมประสานมือค้อมศีรษะ “ท่านอาจารย์”

ไป๋เฉินเซียงเร่งทำตาม 

“เจ้ามีนามว่าอะไร”

ไป๋เฉินเซียง “ข้าน้อยสกุลไป๋ นามของข้า ไป๋เฉินเซียงเจ้าค่ะ” 

“หืม…สกุลไป๋” นักพรตชราหมุนกายกลับแช่มช้า เปลือกตาเปิดปรือเนิบนาบ  

ไป๋เฉินเซียงสบประสานเข้ากับแววตาดูใจดีของอีกฝ่ายด้วยใจสงบนิ่ง 

นักพรตชรากล่าว “เจ้าเป็นบุตรสาวของซินเอ๋อร์สินะ”

ไป๋เฉินเซียงกะพริบตาอึ้งงัน “ท่านทราบได้อย่างไร ว่ามารดาของข้าเป็นใคร” 

ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มอบอุ่น พลางถอนหายใจแผ่ว “แม้แต่ท่าทางช่างสงสัยของเจ้า ก็คล้ายกับนางไม่ผิดเพี้ยน”

เชิงอรรถ

^ยามโหย่ว คือช่วง 17.00-19.00 น. 

Continue to read this book for free
Scan code to download App
Locked Chapter
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP