“ขอคำนับราชทูตทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่แคว้นเฉินของเรา ตัวข้ามีนามว่า จางเจียวซิน จะเป็นผู้แปลสารของท่านให้องค์ฮ่องเต้ได้รับรู้เจ้าค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางเจียวซิน” หนึ่งในราชทูตกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาให้เจียวซินจับเป็นการทักทาย
“ขออภัยท่านราชทูต ตัวข้าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว ตามธรรมเนียมของแคว้นเฉินตัวข้าจึงมิอาจจับมือทักทายกับท่านได้ หากท่านมิรังเกียจจับมือทักทายกับสามีของข้าแทนได้หรือไม่เจ้าคะ” เจียวซินพูดด้วยท่าทีนอบน้อม เพราะเกรงจะทำให้ราชทูตมิพอใจ แต่ทว่าราชทูตหนุ่มผู้นั้นกับหัวเราะเบาๆ
“ข้ามิรังเกียจ อยากรู้จักชายโชคดีผู้นั้นเช่นกัน”
“ท่านอ๋องสามเพคะ” เจียวซินเอ่ยเรียกเฟยเทียน
“ท่านราชทูต นี่เป็นท่านอ๋องสามเฉินเฟยเทียนโอรสขององค์ฮ่องเต้ของแคว้นเฉินเจ้าค่ะ” ราชทูตจับมือทักทายเฟยเทียน ซึ่งเฟยเทียนมิได้ตื่นตระหนกกับธรรมเนียมเช่นนี้ เพราะเคยอ่านผ่านตำรามาบ้าง ทั้งเจียวซินยังสอนวิธีการทักทายเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง
“กราบทูลฝ่าบาท เมื่อสักครู่เป็นธรรมเนียมการทักทายโดยการสัมผัสที่มือ เพคะ”
“เช่นนั้นหรือ ชายจับชาย หญิงจับหญิงหรือ”
“แท้จริงแล้วชายจับมือทักทายกับหญิงได้ถือเป็นปกติเพคะ แม้จะแต่งงานแล้วหรือไม่แต่งก็จับมือทักทายได้เพคะ” สิ้นเสียงเจียวซินทั่วทั้งท้องพระโรงก็มีเสียงอื้ออึงแสดงถึงความแปลกใจ
“แปลกยิ่งนัก เอาเถิดบอกกล่าวเขาเถิดว่าแคว้นของเรายินดีที่พวกเขามาเยือน มีสิ่งใดเจรจาสามารถพูดคุยได้” จากนั้นในท้องพระโรงก็เงียบลงเพื่อพูดคุยเจรจาการค้ากับชาวตะวันตกที่ต้องการนำสินค้าต่างแดนมาขายทั้งยังต้องการซื้อสินค้าจากแคว้นเฉินกลับไปอีกด้วย
“กราบทูลฝ่าบาท ทางนั้นเสนอว่าจะแบ่งปันกำไรให้เราสี่ในสิบส่วน เพียงแค่เรายอมให้เรือสินค้าของพวกเขาเทียบท่าเพคะ”
“สี่ส่วนหรือ…แล้วตามปกติแล้วเขาขายได้กำไรเท่าไรเล่า”
“เคยขายได้สูงถึงหนึ่งพันตำลึงทองต่อเรือหนึ่งลำเพคะ หากเขาขายได้หนึ่งพันตำลึงทอง เราจะได้ส่วนแบ่งสี่ร้อยตำลึงทองโดยมิต้องทำสิ่งใดเลยเพคะ”
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ หากเราขอรับกำไรแค่สองส่วนแต่ขอให้เขาลดราคาขาย ลงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ชาวบ้านจะได้ของที่ราคาถูกลง” องค์รัชทายาทเฉินเฟยฉีเสนอแนวทางช่วยลดราคาขายลง
“อืม ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร หากจะรับกำไรเพียงสองส่วน”
“ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“เช่นนั้นก็กล่าวตามนี้เถิดเจียวซิน” องค์ฮ่องเต้กล่าวบอกเจียวซินที่ทำหน้าที่ส่งสาร นางจึงรีบแปลความบอกกล่าวทางราชทูตทันที
“ทางราชทูตกล่าวว่าจะลดราคาของแต่ละชิ้นลงยี่สิบในร้อยส่วนเพคะ” ขุนนางน้อยใหญ่กำลังคำนวณราคาของอยู่ในใจ ไม่เว้นแม้แต่องค์ฮ่องเต้
“ถ้าเป็นราคาของจริงจะลดเท่าไหร่หรือนี่” ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวขึ้น
“เอ่อ หากท่านทั้งหลายนึกภาพมิออก ข้าจะยกเอาปิ่นเงินมาเป็นตัวอย่าง ปิ่นเงินมีราคา 20 ตำลึงเงิน ท่านจะได้จ่ายเพียง 16 ตำลึงเงินเท่านั้น นั่นคือลดไป 4 ตำลึงเงิน กราบทูลฝ่าบาทหม่อมฉันคิดว่าข้อเสนอนี้เราได้ประโยชน์มากว่าเสียประโยชน์เพคะ” เจียวซินกล่าวอธิบายเพิ่มเติมและแสดงความเห็นของตนลงไป จนหลายคนอึ้งกับการคำนวณที่รวดเร็วของนางมิได้
“อืม เอาตามนั้นเถิด” เจียวซินจึงจัดการเจรจาและนำหนังสือสัญญาถวาย แด่องค์ฮ่องเต้ ทั้งยังมีการเจรจาการค้าในอีกหลายเรื่องซึ่งแคว้นเฉินได้ผลประโยชน์จากการเจรจาครั้งนี้อยู่ไม่น้อยจนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยามจึงเสร็จสิ้น คณะราชทูตเดินทางกลับในทันที
“วันนี้ลำบากเจ้าแล้วสะใภ้ข้า ฮ่าๆ กงกงมอบรางวัลให้สะใภ้ข้า” ฮ่องเต้ เฟยหลงปราบปลื้มกับความสำเร็จในครานี้เป็นอย่างมาก
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ของรางวัลที่ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่พระชายาของ ท่านอ๋องสามเป็นผ้าแพรสิบทับ เครื่องประดับจากหยกมันแพะห้าชิ้น เงินรางวัลห้าสิบตำลึงทอง และที่ดินว่างเปล่าติดจวนอ๋องสามอีกหนึ่งผืนพ่ะย่ะค่ะ” เจียวซินตกตะลึงกับของรางวัลที่มากมายเช่นนี้
คุ้มค่ากับหนึ่งเดือนที่เสียไปกับการเตรียมตัว
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เจียวซินก้มคำนับต่อองค์ฮ่องเต้ หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในท้องพระโรงเฟยเทียนจึงพาเจียวซินเข้าเฝ้าฮองเฮาหลี่หนิงเฟิง
“หุบยิ้มเสียบ้างเถิด ใครผ่านไปมาจะหาว่าข้ามีชายาวิปลาส” เฟยเทียนเอ่ยเย้าชายาของตนอย่างอดไม่ได้ ก็นางเอาแต่ยิ้มแก้มแทบจะปริแตก มองดูก็รู้ว่าพอใจกับของรางวัลมากเท่าใด
“ท่านจะปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบสักหนึ่งชั่วยามมิได้เลยหรือ”
“หึๆ ประเดี๋ยวจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ อาจจะมีรัชทายาท เฟยเฟิ่งและหนิงหลงอยู่ด้วย จำพวกเขาได้หรือไม่”
“จำรูปร่างหน้าตามิได้เพคะ รู้เพียงนามและสถานะเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็พอจะคาดเดาได้ว่าใครเป็นใคร เสด็จแม่อาจพูดขัดหูเจ้าไปบ้างอย่าได้นำมาใส่ใจมากนัก เสด็จแม่ของข้าแข็งนอกอ่อนใน วาจาร้ายกาจแต่ก็ใจดีไม่น้อย” ไม่นานเฟยเทียนและเจียวซินก็เดินมาถึงตำหนักที่ประทับของฮองเฮา ไม่ทันจะก้าวเข้าไปในตำหนักก็มีเด็กชายตัวน้อยวิ่งมาชนเจียวซิน
ตุ๊บ!!!
“โอ๊ะ เด็กน้อยเจ้าเจ็บที่ใดหรือไม่” เจียวซินรีบคว้าเด็กชายขึ้นมาสำรวจจนทั่ว พอได้สตินางก็เริ่มคิดได้ว่าเด็กชายตัวน้อยคนนี้คงจะเป็นองค์ชายเฉินหนิงหลงมิผิดแน่ จึงรีบกล่าวขอโทษทันที
“ขออภัยด้วยเพคะองค์ชาย”
“มิเป็นไย แล้วเจ้าเป็นคายจึงมาที่นี่ด้าย” เสียงเล็กดูเย่อหยิ่งพูดขึ้น
“อะแฮ่ม!!” เฟยเทียนกระแอมขึ้นมาขัดจังหวะการไต่สวนขององค์ชายตัวน้อย
“อ๊ะ…คารวะพี่สามพะยาค่า” องค์ชายตัวน้อยเอ่ยคารวะผู้เป็นพี่ชาย
“นางเป็นชายาของข้า นามว่า จางเจียวซิน มาเถิดข้าจะอุ้มเข้าไปด้านใน ทุกคนคงรออยู่แล้วกระมัง” เฟยเทียนกำลังจะย่อตัวลงอุ้มน้องชาย แต่ทว่า...
“ให้พระชายาอุ้มได้หยือไม่พะยาค่า” หนิงหลงจ้องมองไปที่เจียวซินไม่ละสายตา สายตาเย่อหยิ่งก่อนหน้าลดลงไม่น้อยเมื่อรู้ว่านางคือชายาของพี่ชาย
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากอุ้มองค์ชายเพคะ ขอหม่อมฉันอุ้มได้หรือไม่เพคะ” เจียวซินที่รักเด็กเป็นทุนเดิม พอเห็นองค์ชายที่น่าตาน่ารักน่าชังจึงอยากเล่นด้วย
“อืม แต่เขาตัวหนักมาก หากหลังเดาะข้าจะไม่เรียกหมอหลวงให้หรอกนะ” เฟยเทียนอุ้มหนิงหลงส่งให้เจียวซิน
“ม่ายหนัก น้องม่ายหนักพะยาค่า” องค์ชายน้อยโบกไม้โบกมือว่าตนไม่หนัก
“ไม่หนักเพคะ หม่อมฉันอุ้มองค์ชายได้ทั้งวันเลยเพคะ” เจียวซินหันไปหยอกล้อกับองค์ชายน้อย
“งั้นพระชายาต้องอุ้มน้องท้างวัน”
“ได้เพคะ แต่องค์ชายเรียกหม่อมฉันว่าเจียวซินก็ได้เพคะ”
“เจียวซิน เจียวซิน”
“เพคะ คิกๆ” เฟยเทียนที่มองเด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งหยอกล้อกันดังเคยพบกันมาแต่ชาติปางก่อนแล้วถอนหายใจหนัก นี่มิมีผู้ใดสนใจเขาเลยใช่หรือไม่ เขายังมีตัวตนในสายตาอยู่หรือไม่