และแล้วช่วงเวลาที่คณะราชทูตจะมาเยือนก็มาถึง ในวันรุ่งขึ้นเฟยเทียนและเจียวซินจะต้องออกไปต้อนรับคณะราชทูตในท้องพระโรง เจียวซินตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย แม้ว่าในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางจะเล่าเรียนการปฏิบัติตน อ่านตำราการค้าต่างๆ มากมาย แต่นางก็กดดันไม่น้อย เพราะหากมีสิ่งใดผิดพลาด นางอาจถูกใช้เป็นหอกทิ่มแทงท่านอ๋องได้ นางมิอยากให้ท่านอ๋องต้องเดือดร้อน ความสัมพันธ์ของนางและท่านอ๋องในตอนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน แม้จะเถียงกันตลอดเวลาก็เถอะ คิดเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักเจียวซินก็เข้าสู่ห้วงนิทรา รุ่งขึ้นเจียวซินตื่นขึ้นมาแต่เช้า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวปักลายหลี่อวี๋ (ปลาคาร์ฟ) สีเงินแซมทองที่ท่านอ๋องเป็นผู้มอบให้ เพื่อแสดงถึงโชคลาภ ผลกำไรและผลประโยชน์ เจียวซินผัดหน้าทาปากด้วยตนเองแล้วให้หนิงเออร์ทำหน้าที่รวบผม
“ข้าเข้าไปได้หรือไม่” เจียวซินได้ยินเสียงท่านอ๋องดังอยู่ด้านนอกจึงเร่งให้คนสนิทเร่งมือ
“เจ้าไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องที” นางกำนัลเดินไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
เฟยเทียนเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่มองเงาสะท้อนขอผู้เป็นชายา
“ใกล้เสร็จแล้วเพคะ ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่”
“อืม” เฟยเทียนตอบกลับทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเงาสะท้อนบนกระจก งดงาม งดงามยิ่งนัก
“พระชายาจะปักปิ่นอันใดเพคะ” หนิงเออร์ที่รวบผมเสร็จนำปิ่นมาให้นายของตนเลือก
“มิต้อง ข้าเตรียมปิ่นมาให้เจ้าแล้ว” เฟยเทียนขยับตัวซ้อนหลังผู้เป็นชายา ปักปิ่นหยกสลักลายหงส์ลงบนมวยผมของเจียวซิน
“งดงามยิ่งเพคะพระชายา” หนิงเออร์กล่าวชม เจียวซินยิ้มรับคำชมเล็กน้อย
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง แล้ว…ปิ่นอันนี้หม่อมฉันต้องคืนหรือไม่เพคะ” เจียวซินถามเย้าเฟยเทียน
“ข้าให้แล้วให้เลย ไม่รับคืน” เฟยเทียนพูดพรางเสมองไปทางอื่น คนทั่วเมืองต่างรู้ดีว่าการมอบปิ่น(ให้ปิ่นเพื่อเป็นของแทนใจหรือการหมั้นหมาย) ให้แก่หญิงสาวนั่นหมายถึงสิ่งใด
“ดียิ่ง…” เจียวซินกล่าวอย่างตื่นเต้น ปิ่นหยกนี้คงราคาแพงน่าดู
“แต่ห้ามเจ้านำไปขายหรือให้ผู้อื่นเด็ดขาด” เฟยเทียนกล่าวดัก เหมือนอ่านความคิดของเจียวซินออก
“เพคะๆ เราไปกันเถิดเพคะ ประเดี๋ยวจะชักช้าไปกว่านี้” เฟยเทียนและเจียวซินเดินทางเข้าวังหลวง ขุนนางในท้องพระโรงหลายคนประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าเฟยเทียนพาเจียวซินเข้ามาในท้องพระโรง เดิมทีนอกจากฮ่องเต้ องค์ชาย ขุนนางรับใช้บ้านเมือง ก็มิมีผู้ใดสามารถเข้าร่วมพูดคุยการบ้านการเมืองได้ โดยเฉพาะสตรี เหล่าขุนนางน้อยใหญ่จึงคาดเดากันมั่วซั่วไปหมด
“ฮ่องเต้ เสด็จ~” เสียงของขันทีประกาศการมาถึงขององค์จักรพรรดิ
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางกล่าวถวายพระพรองค์จักรพรรดิ
“อีกไม่นานคณะราชทูตคงจะเข้ามาแล้ว ผู้ใดมีหน้าที่ขอจงทำสิ่งนั้นให้ดี” ฮ่องเต้เฟยหลงกล่าวต่อขุนนางทั้งหลาย
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางน้อมรับคำสั่งกันอย่างถ้วนทั่ว แต่ทว่า...
“น้องสาม เจ้านำชายามาในท้องพระโรงเช่นนี้ เห็นทีคงจะไม่สมควรกระมัง หรือเจ้ามุ่งแต่รบราฆ่าฟันจนหลงลืมกฎระเบียบในวังไปเสียแล้ว” เฉินลู่เหวินหรือท่านอ๋องสองกล่าวขึ้นทำเอาเสียงขุนนางที่เห็นด้วยดังแซ่ซ้องขึ้นมา ลู่เหวินยกยิ้มมุมปากดังผู้มีชัย ไม่ทันที่เฟยเทียนจะกล่าวก็มีเสียงนุ่มนวลจากองค์ชายห้า เฉินเลี่ยงหรงดังขึ้น
“พี่รองกล่าวหนักเกินไปแล้ว พี่สามย่อมรู้กฎระเบียบ การนำพระชายามาด้วยเช่นนี้คงมีสิ่งจำเป็นแน่”
“เป็นดังน้องห้ากล่าว ข้านำชายามาด้วยครานี้เนื่องด้วยไม่สามารถหาล่ามที่จะแปลสารจากคณะราชทูตได้ ชายาของข้าที่มีความเชี่ยวชาญจึงเสนอตัวเข้ามาช่วยไว้” คำตอบของเฟยเทียนทำเอาลู่เหวินถึงกับหน้ามืดดำไม่น้อย จะไม่มีวันใดเลยหรือที่เขาจะหักหน้าเจ้าน้องบ้านี่ได้ คิดแล้วยิ่งเจ็บใจ เขาไม่เคยชนะมันได้สักครั้ง
“เป็นดังนั้นหรอกหรือ เช่นนั้นก็ฝากเจ้าช่วยแปลความให้ทุกผู้ในท้องพระโรงได้กระจ่างทีเถิด” ฮ่องเต้เฟยหลงกล่าวตัดการโต้เถียงของพี่น้องที่ถกเถียงกัน ไม่เลิก ทำเอาเจียวซินที่ตื่นตระหนกกับการหยอกเย้ากันของพี่น้องถึงกับโล่งอก
“หม่อมฉันจะมิทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังเพคะ”
ไม่นานเหล่าคณะราชทูตก็เดินทางมาถึง คณะราชทูตที่มาครานี้มีจำนวนมิมากโดยรวมแล้วอาจมีไม่เกิน 20 คน เจียวซินมองสำรวจจนทั่วจึงเข้าไปแนะนำตัวโดยใช้ภาษาอังกฤษ (ขออนุญาตใช้ภาษาไทยแทน)
“ยึ้ย! นี่มันอันใดกัน! ใครถ่ายหนักแล้วเอามาเช็ดตรงนี้ แหวะ!” ไฉ่หงรีบเช็ดมือเข้ากับบานประตูแล้วรีบออกมาทันที เพราะกลัวว่าจะมีผู้ใช้ห้องสุขาต่อและคิดว่าตนเองเป็นคนทำ แต่ทว่าเด็กน้อยมิทันได้ระวังจึงเหยียบเข้ากับน้ำมะม่วงที่สองแฝดเทเอาไว้จนรองเท้าหรูเปรอะเปื้อนไปหมด“อ่าว! ไฉ่หงอยู่นี่เอง ข้าอยากขอโทษที่ต่อว่าเจ้าเมื่อวันก่อน ยกโทษให้ข้านะ” ซินอี๋ทำทีว่าบังเอิญเจอไฉ่หงที่หน้าห้องสุขา เขาแสร้งตีหน้าเศร้าราวกับว่าเรื่องวันก่อนเขาได้ทำผิดไป“อะ เอ่อ ข้ายกโทษให้ แต่เจ้าอย่าได้มาขึ้นเสียงกับข้าอีกเล่า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน หึ!”“ขอบใจเจ้ามากนะไฉ่หง น้องข้าก็เอาแต่ใจเช่นนี้ มิได้ความเสียจริง” หย่งเล่อที่จู่ก็โผล่มาเกาะไหล่ไฉ่หงจากด้านหลัง มือเล็กของหย่งเล่อลูบไปทั่วแผ่นหลังและบั้นท้ายของไฉ่หง“อืม ข้าต้องไปแล้ว เจ้าก็สั่งสอนน้องเจ้าให้ดีด้วยเล่า” ว่าแล้วไฉ่หงก็เดินกลับเข้าห้องเรียนของตนทันทีหย่งเล่อและซินอี๋ที่มองไฉ่หงจากด้านหลังก็ยิ้มกริ่มพอใจกับผลงานตนเอง เพราะอาภรณ์ด้านหลังของไฉ่หงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมะม่วงสุกที่หย่งเล่อลงทุนใช้มือตนเองป้ายลงไป“ข้าว่าเจ้าไปล้างมือก่อนเถิด ข้าเหม
“หย่งเล่อเจ้าว่าน้องของเราจะเป็นหญิงหยือชาย” ซินอี๋และหย่งเล่อกำลัง ยืนเกาะขอบประตูห้องทำคลอด ที่บัดนี้ด้านในกำลังทำคลอดให้มารดาของพวกเขาอยู่หลังจากที่บิดาของพวกเขาให้คำมั่นว่าจะมีน้องชายน้องสาวมาให้พวกเขาเลี้ยงมานานนับหลายปีจนตอนนี้พวกเขาอายุได้สี่หนาวย่างเข้าห้าหนาวแล้วมารดาพวกเขาถึงได้ตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด มิเหมือนกับท่านลุงซีห่าวกับท่านน้าเฟยเฟิ่งที่บัดนี้มีทั้งน้องชายวัยสองหนาว ทั้งท่านน้าเฟยเฟิ่งยังตั้งครรภ์ได้กว่าแปดเดือนแล้ว แต่ก็ช่างเถิด อย่างไรเสด็จพ่อก็ทำตามสัญญาแม้จะช้าไปหลายปีก็เถอะนะ…“ไม่รู้” หย่งเล่อจดจ้องอยู่ที่ประตูตาไม่กระพริบ เด็กน้อยกำลังกังวลว่าเสด็จแม่และน้องจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ปากเล็กก็ยังเอ่ยตอบน้องชาย“แล้วเจ้าว่าน้องจะหน้าตาเหมือนผู้ใด เสด็จพ่อหยือเสด็จแม่”“ไม่รู้”“แต่ข้าว่าให้น้องเหมือนข้าน่าจะเข้าท่า เพราะข้าเป็นชายหนุ่มที่หย่อเหยาที่สุดในแคว้นเฉินแห่งนี้” ซินอี๋ใช้มือเล็กๆ ลูบคางของตนเองไปมา ดึงท่าทีคล้ายต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองนั้นหล่อเหลาเพียงใด สองแฝดคู่นี้แม้หน้าตา จะเหมือนกันจนแยกไม่ออกแต่ทว่านิสัยใจคอกลับแตกต่างกับลิบลับ คนหนึ่งนิ่งข
“อ๊ะ อื้ออออ”จุ๊บ! จ๊วบ! ปากหนาเลื่อนไปครอบยอดถันสีแดงก่ำ ทั้งไล่เลีย ทั้งดูดดึงดั่งทารกที่หิวโหย เฟยเฟิ่งที่พึ่งเคยถูกสัมผัสที่ลึกซึ้งถึงกับตัวอ่อนระทวย ปล่อยให้ร่างหนารุกเร้าอยู่อย่างนั้น ปากบางถูกเจ้าของขบกัดจนแดงก่ำ สองมือลูบไล้ไปตามร่างกายอันกำยำของสามีอย่างหลงไหล“ทะ ท่านพี่ ของ ของท่านมัน-” ร่างกายเปลือยเปล่าบดเบียดแนบชิดกันจนเฟยเฟิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งดุนดันอยู่ที่บั้นท้ายของนางอยู่“อะฮึ่ม! มันคงอยากมาเล่นกับเจ้ากระมัง มาเถิด ทำให้พี่ดูว่าที่เจ้าเล่าเรียนมานั้นจะใช้ได้จริงหรือไม่” ซีห่าวผละกายออกจากเฟยเฟิ่งพลางถอยไปพิงอ่าง สองแขนแกร่งยกขึ้นพาดขอบอ่างดั่งคุณชายเจ้าสำราญที่รอรับการปรนนิบัติ เฟยเฟิ่งที่ถูกทวงถามก็รีบเค้นบทเรียนที่เล่าเรียนมาปรนนิบัติให้สามีประทับใจ“อึก! ของท่านดูเหมือนจะใหญ่กว่าแท่งหยกที่เสด็จแม่นำมาสอน” เฟยเฟิ่งเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะแท่งทวนของสามีที่อยู่ใต้น้ำ มือบางชักรูดเบาๆ พลางวนนิ้วโป้งบนปลายหยัก“อืมมมม ดี มือเจ้านุ่มเหลือเกิน ซี๊ดดด” ซีห่าวแหงนหน้าสูดลมเข้าปากด้วยความเสียวซ่าน เฟยเฟิ่งเห็นท่าทีของสามีก็ได้ใจรีบรูดรั้งแท่งทวนช้าบ้างเร็วบ้างหวังให้สา
“เป็นอย่างไรบ้าง มาให้แม่ดูเสียหน่อยว่าเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮองเฮาหลี่เดินเข้ามาจัดชุดพิธีการสีแดงปักดิ้นทองที่เฟยเฟิ่งใส่อยู่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น มือบางลูบไล้จัดแต่งเรือนผมของบุตรีพลางย้อนนึกถึงตอนที่เฟยเฟิ่งยังเป็นเด็กซุกซนวิ่งเล่นอยู่ในตำหนัก แต่มาบัดนี้เด็กน้อยแสนซนผู้นั้นกำลังจะได้ตบแต่งออกไปมีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว“ลูกงดงามหรือไม่เพคะ” เฟยเฟิ่งที่เห็นว่ามารดานิ่งเงียบไป จึงเอ่ยถามขึ้น“งดงาม แต่คงมิเท่าแม่ หึๆ”“โถ่! วันนี้เป็นวันสมรสของลูก เสด็จแม่จะมิยอมให้ลูกงดงามที่สุดบ้างเลยหรือเพคะ”“ฮ่าๆ ได้ๆ วันนี้แม่ให้เจ้างดงามที่สุด…เฟิ่งเออร์ แม้ตบแต่งออกไปแล้วแต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรของแม่และเสด็จพ่อ หากว่าซีห่าวทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจขอเพียงเข้าบอกแม่ แม่จะให้เสด็จพ่อจัดการกับเขาเอง” ฮองเฮาหลี่อดเป็นห่วงบุตรีของตนมิได้ ด้วยเพราะตั้งแต่เกิดมาเฟยเฟิ่งมิเคยห่างจากอกบิดามารดาเลยสักครา“หึ อย่างซีห่าวนะหรือจะทำให้เฟิ่งเออร์เจ็บซ้ำน้ำใจ คงจะมีแต่คนของเรามากกว่าที่จะทำให้เขาปวดหัว” ฮ่องเต้เฟยหลงที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยเย้าบุตรของตน“โถ่ เสด็จพ่อละก็ ลูกมิได้ซุกซนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย อีก
“อืม…แค่กๆ” เฟยฉีรู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ตาคมมองไปรอบๆ ก็พบว่าตะเกียงในห้องของเขาถูกจุดสว่างไสว ความทรงจำสุดท้ายคือเขารู้สึกตาพร่ามัว ทั้งยังเจ็บปวดไปทุกส่วน และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป“องค์รัชทายาท ได้สติแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเยว่ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงได้ ไม่นานก็ได้เสียงไอของคนบนเตียงเขาจึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา จิเยว่รีบเดินไปรินน้ำอุ่นมาให้เฟยฉีทันที ร่างบางพยายามประคองร่างสูงให้ดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยการขับพิษในครั้งนี้เฟยฉีเสียเลือดไปมาก“แค่กๆ จินเยว่” ปากหนาเอ่ยเรียกคนรักด้วยเสียงออดอ้อน ยังดีที่เฟยเทียนสั่งให้นางกำนัลเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทม ภายในห้องจึงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น“พ่ะย่ะค่ะ”“จินเยว่”“อึก! พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมีสิ่งใดจะรับสั่งกับกระหม่อมหรือ” ดวงใจน้อยๆ ของจินเยว่ถึงกับกระตุกเมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของคนรัก“เยว่เยว่ เยว่เยว่”“ว่าอย่างไร”“ข้าเจ็บไปทั้งตัวเลย ฮึก! ใจข้าก็เจ็บ” ร่างสูงโถมกายเข้าซุกซบกับอกของ จินเยว่จนล้มหงายหลัง“ชะ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปนำยามาให้ องค์รัชทายาทปล่อยกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ หากข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็จะหนีไป”“กระห
"ซี๊ดดดดด ตัวเล็กกระจิดริดเหตุใดจึงกัดเจ็บถึงเพียงนี้นะ”จินเยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหู ใบหน้าแสนน่ารักหันไปหันมาเพื่อสำรวจหาต้นเสียง เขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยินสุดท้ายก็พบเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังก้มๆ เงยๆ ล้างเลือดออกจากแผลบนมือ จินเยว่ขมวดคิ้วแน่นคิดไม่ตกว่าควรเข้าไปช่วยดีหรือไม่ หากเข้าไปช่วยจะเกิดเหตุการณ์ดังเช่นครั้งก่อนหรือไม่“เจ็บๆ หากรู้ว่ากัดเจ็บถึงเพียงนี้ อย่าหวังว่าข้าจะช่วย ข้าจะปล่อยเจ้าแห้งตายอยู่ในกับดักโง่ๆ นั่น ฮึ่ย!” เสียงบ่นกับตนเองของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นทำให้จินเยว่อดยิ้มขำออกมามิได้ หากให้เขาคาดเดาชายหนุ่มผู้นี้คงจะช่วยสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักแต่ดันถูกสัตว์ตัวนั้นกัดมาเป็นแน่จึงได้มานั่งบ่นอยู่เช่นนี้น่าสงสารเสียจริง…“คิกๆ” จินเยว่หยุดหัวเราะออกมาโดยมิรู้ตัว“ใครน่ะ” แย่แน่แล้ว!!! จินเยว่รีบหลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ร่างบางตัวสั่นเทา ใจหนึ่งก็นึกกลัว แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารชายหนุ่มผู้นั้นมิได้ หากชายหนุ่มถูกสัตว์มีพิษกัดเข้าเล่าจะทำเช่นไร“ข้าถามว่าใคร ออกมา! มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามาร้าย” จินเยว่ได้ยินเสียงเข้มเอ่ยดังนั้นจ