“รมิตา... เธออยู่ข้างในนั้นหรือเปล่า” เสียงวาเนสซา แม่บ้านสาวชาวจีนซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบชั้นสวีตร่วมกับรมิตาตะโกนถาม
“อยู่จ้ะ... ฉันกำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
หญิงสาวสูดจมูกแรงๆ ลุกจากโถสุขภัณฑ์แล้วผลักประตู ก้าวออกมาจากห้องน้ำเล็กๆ ของพนักงานซึ่งเธอใช้เป็นที่สงบสติอารมณ์ หลังหลุดรอดจากเงื้อมมือของแขกวิตถารบนห้องเพรซิเดนเชียล สวีต เมื่อสิบห้านาทีก่อน
เธอเหลือบมองเงาความทรุดโทรมของใบหน้าตัวเองในกระจก อ่างล้างหน้า มือทั้งสองข้างรีบรวบเก็บไรผมที่หลุดลุ่ยให้เป็นระเบียบ ก่อนจะ
หันไปมองเพื่อนร่วมงานที่ชะโงกศีรษะเข้ามาหาทางด้านหน้าประตูห้องน้ำ
“มีอะไรเหรอจ๊ะ วาเนสซา” เธอควบคุมเสียงให้ฟังดูปกติ
“ผู้จัดการเรียกไปพบที่ห้องด่วน สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย มีปัญหาอะไรกับแขกหรือเปล่า” หญิงสาวจีนชาวถามด้วยท่าทีห่วงใย รู้สึกแปลกใจตั้งแต่เพื่อนสาวไหว้วานให้ไปเก็บรถเข็นกลับลงมาแล้ว
รมิตานิ่งงัน เธอรู้ทันทีว่าถูกเรียกตัวไปพบเพราะเรื่องใด แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา... ไม่เข้าใจว่าทำไมเศรษฐีวิตถารคนนั้นถึงกล้าไปฟ้องกับผู้จัดการแผนก
“ไม่มีอะไรนี่จ๊ะ... คงมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่างล่ะมั้ง” เธอพูดเพื่อปลุกปลอบตัวเองไปด้วย “ขอบคุณมากนะวาเนสซา ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“อืม... งั้นฉันไปก่อนนะ ต้องรีบขึ้นไปเก็บกวาดที่ฮอสปิตัลลิตี สวีต ก่อน”
“เอ่อ... เดี๋ยวก่อน” หญิงสาวนึกขึ้นได้
“มีอะไรเหรอ”
“ตอนที่เธอขึ้นไปบนห้องคุณเดมิทริอุส เขา... เอ่อ... เขาทำอะไรหยาบคายกับเธอบ้างหรือเปล่า”
“ไม่นี่... เขายังถามว่าทำไมเธอรีบผลุนผลันออกไปจากห้องทั้งที่ยังทำความสะอาดไม่เสร็จ ฉันเลยบอกว่าเธอไม่ค่อยสบาย” วาเนสซาย่นคิ้วด้วยความสงสัย “เขาพูดจาไม่ดีกับเธอเหรอ”
“มะ...ไม่หรอกจ้ะ”
“ก็นั่นสินะ ว่าแต่ว่า... คุณเดมิทริอุสคนนี้นอกจากจะยังหนุ่มแล้ว ยังหล่อมากเลยนะ นอกจากคุณเทรเกอร์แล้ว ฉันยังไม่เคยเห็นแขกห้องสวีตคนไหนดูดีเท่าเขาเลย”
“อย่าเอาเขาไปเปรียบเทียบกับคุณโจนาธานเลย” รมิตาแย้ง
แขกประจำของห้องเพรซิเดนเชียล สวีต คนนั้น... แม้ไม่ถึงกับเรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษ แต่มารยาทการพูดจาก็แตกต่างจากผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้มากอย่างเทียบกันไม่ติด
เธอเพียงแปลกใจว่า ทำไมเพื่อนสาวชาวจีนจึงไม่ถูกเขาลวนลามและเหยียดหยามเช่นเดียวกับเธอ...
ไม่สิ... เขาจะกล้าทำพฤติกรรมเลวๆ ติดๆ กันได้ยังไง ในเมื่อเธอเพิ่งจะให้บทเรียนที่เจ็บปวดกับเขาไปนี่นา
“ฉันต้องไปแล้ว... เธอก็รีบไปเถอะ ขืนชักช้าผู้จัดการจะยิ่งโกรธ”
“จ้ะ ขอบคุณอีกครั้งนะวาเนสซา”
…
“คุณเฮกเตอร์คะ ดิฉันรมิตาค่ะ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องผู้จัดการแผนกแม่บ้านพร้อมกับแจ้งชื่อตัวเอง เพื่อขอเข้าพบตามที่ถูกเรียก
“เข้ามาสิ” ชายกลางคนผู้เป็นเจ้าของชื่อร้องบอก น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่สู้จะดีนัก
รมิตาเปิดประตูเข้าไปตามคำสั่ง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมองเห็นแผ่นหลังขนาดใหญ่พิงอยู่บนเก้าอี้รับแขกด้านหน้าโต๊ะของผู้จัดการ ใบหน้าคมเข้มที่ค่อยๆ หันมามองพร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ย ทำให้ร่างของเธอเย็นเฉียบ แม้เพิ่งจะเคยพบกันเพียงครั้งเดียว แต่เธอไม่มีวันลืมใบหน้าของเขาได้แน่ๆ
“คะ...คุณเดมิทริอุส!...”
“นั่งลงสิ คุณเดมิทริอุสมีเรื่องจะคุยกับเธอ...” หัวหน้าแผนกแม่บ้านสั่งด้วยเสียงเย็นชา
หญิงสาวดึงพนักเก้าอี้อีกตัวออกห่างจากคนที่นั่งอยู่ก่อนอย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงไปด้วยความลังเล สายตาหวาดระแวงไม่อาจละจากร่างของ อเล็กซานเดอร์ เดมิทริอุส ได้
“คุณเดมิทริอุสมีธุระอะไรกับดิฉันเหรอคะ คุณเฮกเตอร์” เธอเลือกที่จะถามผ่านผู้มีตำแหน่งหัวหน้า แทนที่จะถามจากเขาโดยตรง
“เมื่อครู่นี้... เธอเป็นคนที่ขึ้นไปดูแลห้องเพรซิเดนเชียลใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ... เอ่อ... ดิฉันต้องขอโทษด้วยค่ะที่กลับลงมาก่อน บังเอิญดิฉันไม่สบาย... แต่ก็ได้ให้วาเนสซาขึ้นไปดูแลแทนเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“คุณเดมิทริอุสไม่ได้ต่อว่าในเรื่องการทำงาน” เฮกเตอร์จ้องมองเธอใบหน้าเครียด ขณะที่ชายหนุ่มอีกคนนั่งกอดอกไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายอารมณ์ ดวงตาสีเฮเซลของเขาทอดมองรมิตาอย่างมีเลศนัย
“ถ้าอย่างนั้น... คุณเดมิทริอุสเรียกดิฉันมาเพื่ออะไรเหรอคะ...” หญิงสาวถามกลับไม่เต็มเสียง ทั้งหวาดวิตกและงุนงง
อเล็กซานเดอร์ไม่รอให้คนที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะเป็นคนตอบ เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันไปพูดกับชายกลางคนในขณะที่สายตายังจดจ้องอยู่บนสีหน้าอันหวาดวิตกของรมิตา
“หลังจากแม่บ้านคนนี้ออกไปจากห้อง ของส่วนตัวบางอย่างของผมก็บังเอิญหายไปด้วย ผมจึงเชื่อว่าเธอเป็นคนแอบนำมันออกไป”
“คุณ... ไม่จริงนะคะคุณเฮกเตอร์ ดิฉันไม่ได้ขโมยอะไรไป” หญิงสาวลุกขึ้นแย้งด้วยความตกใจ
“ถ้าเธอยืนยันว่าเธอบริสุทธิ์ แสดงว่าเธอจะยอมให้ฉันค้นตัวเธอใช่ไหม” ชายหนุ่มถามกลับพร้อมกับสีหน้ายียวนกวนประสาท
“แน่นอนค่ะ ดิฉัน... ดิฉัน...” พอนึกถึงตอนที่ถูกเขาลูบคลำร่างกายขึ้นมา ใบหน้านวลก็ร้อนวูบอย่างกะทันหัน
“เอาสิ... เธอล้วงของในกระเป๋ากระโปรงออกมาให้หมด ฉันจะได้แน่ใจว่าเธอไม่ได้หยิบของของฉันไป”
รมิตาจ้องหน้าเศรษฐีหนุ่มอย่างเคืองแค้น สองมือล้วงเข้าไปในรอยแยกของตะเข็บด้านข้างกระโปรง เธอแน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นมีเพียงแค่พวงกุญแจคีย์การ์ด และตลับแป้งฝุ่นอัดแข็งที่เธอใช้เป็นเครื่องสำอางเพียงอย่างเดียวในชีวิต
แต่แล้วเมื่อมือน้อยๆ ข้างหนึ่งสัมผัสเข้ากับวัตถุเย็นเฉียบที่ไม่คุ้นเคย ร่างทั้งร่างก็ต้องยืนแข็งทื่อ ไม่สามารถขยับตัวต่อไปได้อีก
ไม่จริง... นี่มันอะไรกัน...
“ล้วงออกมาสิ ฉันอยากจะให้ผู้จัดการของเธอเห็นว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าของเธอบ้าง” รอยยิ้มอันร้ายกาจปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่มทันทีที่พูดจบ
“คุณ... คุณ...” จู่ๆ หญิงสาวก็พูดอะไรไม่ออกเสียดื้อๆ
“รมิตา... เอาของที่อยู่ในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะเดี๋ยวนี้” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของแม่บ้านสาว เฮกเตอร์จึงร้องสั่ง มือสั่นเทาค่อยๆ กำวัตถุสองสามชิ้นออกจากกระโปรงช้าๆ แล้ววางลงตรงหน้าผู้จัดการของเธออย่างหมดทางเลือก นอกจากพวกกุญแจที่ร้อยเอาไว้ด้วยคีย์การ์ดจำนวนห้าหกแผ่น กับตลับกลมแบนสีชมพูแล้ว สิ่งแปลกปลอมที่เพิ่มขึ้นมาโดยที่เธอไม่รู้ตัวก็คือนาฬิกายี่ห้อวาเชรอง คองสต็องแตง สายโลหะอีกหนึ่งเรือน
“แม่บ้านอย่างเธอคงมีปัญญาซื้อนาฬิการาคาสามหมื่นยูโรด้วยสินะ” อเล็กซานเดอร์ยื่นหน้ามากระซิบกระซาบข้างหู แล้วจึงเงยหน้าถามอีกคนซึ่งนั่งใบหน้าซีดเซียวอยู่ด้วยภายในห้อง “คุณก็คงเห็นกับตาแล้วนะ”
เป็นไปไม่ได้...
เสียงที่พร่ำบอกตัวเองคล้ายติดอยู่ที่ลำคอของรมิตา เธอได้แต่ส่ายศีรษะไปมาด้วยความไม่เข้าใจ
จู่ๆ ของสิ่งนั้นมันเข้ามาอยู่ในกระเป๋ากระโปรงของเธอได้อย่างไรกัน
ผู้ชายคนนั้น... ต้องเป็นฝีมือเขาแน่ๆ...