หลังจากเหตุการณ์ที่ฉันเข้าไปปกป้องริน จนทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นทิ้งแผลเป็นไว้ที่แถว ๆ ใต้ชายโครงซ้ายสำหรับฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก เพราะสำหรับฮีโร่ บาดแผลที่ได้จากการช่วยเหลือเพื่อนคนสำคัญมันคือเหรียญรางวัลแต่ดูเหมือนสำหรับรินจะไม่ใช่แบบนั้นเลยแฮะ... เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้น เท่าที่ฉันสังเกต ถึงมันจะทำให้เราสองคนสนิทกันมากขึ้นโข ถึงขนาดที่รินแทบจะตัวติดกับฉันทว่าทุกครั้งที่รินเห็นแผลเป็นฉัน เธอก็จะรู้สึกหดหู่ทุกที เห็นได้ชัดเลยว่าเธอยังรู้สึกผิดและคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่ลึก ๆเพราะแบบนั้นฉันเลยย้ำรินอีกหลายต่อหลายครั้งว่ามันไม่ใช่ความผิดของรินและพยายามทำให้เธอหายรู้สึกผิดไปเรื่อย ๆ โดยใช้เวลาเป็นตัวช่วยนั่นแหล่ะทั้งหมดที่ทำได้แล้วและอันที่จริง... หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดกขึ้นกับพวกเราอีกเลย มันเลยทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้น และมันค่อย ๆ เยียวยารินมากขึ้นไปด้วยเสริมอีกนิดว่า มันทำให้พ่อกับแม่ของรินไว้ใจฉันไปด้วย และสองบ้านเราก็สนิทกันมากขึ้นเหมือนกับบ้านของโชตไปแล้วด้วย ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีเชียวล่ะหลังจากนั้นก็เป็นช่วงที่ฉันขึ้นชั้นป
ว่ากันว่าในหนึ่งช่วงชีวิต คนเราย่อมมีจุดที่ตกต่ำที่สุดแต่สำหรับตัวฉันที่ค่อนข้างจะพูดได้เต็มปากว่าชีวิตช่างเพียบพร้อม เต็มไปด้วยมิตรสหายและครอบครัวที่ดี ไม่เคยขัดสน และความสามารถที่เต็มเปี่ยมเลยไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองขาดอะไรพูดตรง ๆ... ฉันในตอนนั้นนึกภาพตัวเองในตอนที่ตกต่ำไม่ออกเลยและนึกไม่อออกด้วยซ้ำว่าจะมีอะไรมาทำให้ฉันเป็นแบบนั้นแต่ใครจะรู้... ว่าวันนั้นจะมาถึงในช่วงที่ฉันยังเป็นวัยเด็กย่างเข้าวัยรุ่นและฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่า มันจะถึงขนาดทำให้ความฝันเพียงหนึ่งเดียวของฉันค่อย ๆ พังทลายลงจนไม่เหลือซากตามไปด้วย❖❖❖❖❖ในวันนั้น... ควรจะเป็นวันธรรมดาทั่วไป ฉันจำได้ว่าบรรยากาศในการเรียนไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปกติเลยสักนิด แม้แต่กับเหล่าเพื่อนสนิท พวกเราก็ยังคงสนุกสนานกับชีวิตวัยเรียนตลอดตั้งแต่เริ่มคาบเรียนจนกระทั่งช่วงบ่ายของวันนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาของฉันอยู่ ๆ ก็เข้ามาในห้องเรียนของคาบที่อาจารย์คนอื่นกำลังสอนแล้วก็เรียกฉันไปคุย“กร ใจเย็น ๆ แล้วตั้งใจฟังนะ...”อาจารย์เปิดประโยคแบบนั้นก่อนที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดกับผมดูเหมือนช่วงเช้าของวันนั้น พ่อกับแม่ของฉันกำลังจะขับรถไปทำธุระต่างจั
วันกันว่ายามที่ความเศร้าโศกเกาะกินจิตใจผู้คน มักเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฝนมักจะตกราวบรรยากาศมันอ่านใจคนได้ แต่ถ้าคิดในมุมมองกลับกัน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่สภาพอากาศจะสามารถแปรเปลี่ยนไปตามใจคน เพราะงั้นในความเป็นจริง อาจไม่ใช่ว่าฝนชอบตกในเวลาที่คนกำลังเศร้า หากแต่เป็นเพราะการที่เกิดเหตุการณ์ฝนตกขึ้นเลยทำให้คนรู้สึกเศร้าโศกเสียมากกว่า จะด้วยเพราะภาพจำที่เคยเห็นจากภาพยนตร์ต่าง ๆ หรือเป็นเพราะได้ยินมาบ่อย ๆ จากสื่อก็เลยคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นก็ตาม แต่ผลลัพธ์ก็คือ มันทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกแบบนั้นจริงในช่วงที่ฝนตก โดยไม่ขึ้นกับสภาพแวดล้อมเล็ก ๆ หรือรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ เลย อย่างสถานการณ์ที่กรกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปราย ตัวเขาที่กำลังอาบสายฝนในขณะสวมฮู้ดคลุมหน้า แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้มีไว้กันฝน หากแต่เอาไว้ปกปิดตัวตนจากศัตรู ทว่าสำหรับตอนนี้มันคงไม่จำเป็นเสียแล้วกระมัง... เพราะตอนนี้เหล่าศัตรูของกรกำลังนอนสลบเหมือดอยู่เต็มพื้นที่ในตรอกซอกตึก หมดสติหมดสภาพ พ่ายแพ้กรอย่างสมบูรณ์โดยที่ไม่สามารถสร้างบาดแผลใด
“วิชัย”“มาครับ!”“ศุรศรี”“มาค่ะ!” เสียงเรียกชื่อจากอาจารย์และเสียงตอบกลับจากนักเรียนในชื่อเดียวกันเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้แค่ในโรงเรียนยามเช้าก่อนเริ่มชีวิตวัยเรียนของวันนั้น ๆ ความหมายของมันมีสองอย่าง... อันดับแรกคือข้อความสื่อสารให้อาจารย์ที่ปรึกษารู้ว่าวันนี้ใครขาดเรียนบ้าง ส่วนอย่างที่สองนั้น“อุษณกร”“มาครับ” ...คือสิ่งที่ใช้บ่งบอกเพื่อนร่วมชั้น ว่าตัวเองนั้นสบายดี นั่นถึงเป็นเหตุผลที่พอเพื่อนทุกคนในห้องได้ยินเสียงขานชื่อของกรที่ไม่ได้ยินมานานปุ๊บ ทุกคนหมายรวมถึงริน โชต อลิซและชาญต่างก็ยิ้มออกมาอย่างพร้อมเพรียงในทันที ทั้งด้วยความโล่งอก... และดีใจ❖❖❖❖❖“กลับมาแล้วสินะครับลูกพี่!” คนที่ดีใจกับการกลับมาของกรหลังหายหน้าหายตาไปหลายเดือนไม่ได้มีแค่เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมชั้น แต่ยังมีอีกหลายคนรวมอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นก็คือเพชรที่เคยถูกกรช่วยไว้ก่อนหน้านี้และกลับตัวกลับใจแล้วนั่นเอง นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ถึงจะเป็นตอนเที่ยงที่ทุกคนพักรับประทานข้าวกลางวัน เพชรที่อยู่ต่างห้องก็ยังถ่อมาหากรด
หลังจากที่ฉันสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ ฉันก็รีบโทรหาชาญก่อนใครเลยในตอนที่ไม่รู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร เขาเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึง... เพราะหมอนั่นเป็นคนเดียวที่จะทำตามคำขอทุกอย่างของฉันถึงแม้ว่าจะไม่ชอบมันก็ตามนั่นแหล่ะแต่ก็ไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าผ้าพันแผลสะอาด ๆ หรอกนะส่วนเรื่องแผลก็ไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิดจนน่าประหลาดใจเลย... แค่พันแผลแล้วกดแผลไว้ ไม่กี่ชั่วโมงแผลก็ปิดสนิทจนต้องตั้งคำถามกับตัวเองเลยล่ะว่าฉันเป็นมนุษย์แน่รึเปล่า?แต่จะว่าไม่เป็นไรเลยก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ได้แผลเป็นติดแถวชายโครงขวาพอมานึกดู... เมื่อตอนเด็กก็ได้แผลเป็นมาเพราะปกป้องรินด้วยเหมือนกันนี่นะ อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนี้ไม่รู้พวกเธอจะรู้สึกผิดในตอนที่เห็นมันอีกไหม...แต่เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้แหล่ะนะ เพราะถ้าสถานการณ์กลับกัน เป็นฉันเองก็คงรู้สึกผิดไปจนวันตายนั่นแหล่ะยังไงก็ตาม... วันถัดมาฉันก็เลยจำต้องแกล้งป่วย และเพราะไม่อยากให้มีคนเป็นห่วงมากเกินไปก็เลยกำชับกับอลิซและชาญว่าให้เก็บเป็นความลับ รวมถึงช่วยบอกให้โชตกับรินอย่ามาเยี่ยมด้วยเพราะไม่งั้น ถ้าได้ยินไปถึงหูของพ่อแม่รินกับโชตเข้าล่ะก็ คงได้
“พวกนายได้เริ่มคิดกันยังว่าโตไปจะทำอะไร?” ในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านของกรหลังเลิกเรียนเหมือนอย่างเคย อยู่ ๆ โชตก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาแม้จะดูขอไปที แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจริงจังอยู่เหมือนกันจากสีหน้าของเขา อนึ่ง... เป็นปกติที่ส่วนใหญ่แล้วหลังเลิกเรียนทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านของกรทันที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกคนจะยังสวมชุดนักเรียนกันอยู่ อย่างเช่นตอนนี้ที่ทุกคนนั่งกระจัดกระจายตามโซฟา โดยกร โชตและชาญนั่งโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนรินกับอลิซนั่งด้วยกันที่โซฟาอีกตัวฝั่งที่ติดกับกร นั่นคือเรื่องปกติของกลุ่มนี้ จะมีต่างไปก็แค่บรรยากาศเท่านั้น... ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่ออกไปในทางจริงจังเพราะโชตเปิดประเด็นอย่างนั้นขึ้นมา“อืม... ผมก็คงเป็นข้าราชการนั่นแหล่ะนะ” ชาญตอบแบบแทบไม่ต้องคิด เพราะดูเหมือนเขาจะมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก“แบบนั้นก็ดีนะ” กรพยักหน้าหลังวางมือจากเครื่องเล่นเกมในมือ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาเสียแต้มแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับหันไปมองคู่สนทนาอย่างชาญ“นั่นสิ ทั้งมั่นคงทั้งมีสวัสดิการ พ่อ
หลังจากที่ถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แน่นอนว่าฉันเองก็ตกใจ ไม่สิ... ใครล่ะจะไม่ตกใจเมื่อเรื่องที่เหมือนกับนิยายที่เคยอ่านมันเกิดขึ้นจริงกับตัวเองแต่ว่าในขณะเดียวกัน ฉันก็แอบดีใจนิดหน่อยที่มันเกิดขึ้นสาเหตุก็ไม่ใช่อะไรหรอก... นั่นเพราะว่าการถูกเคลื่อนย้ายมาต่างโลก มันก็เหมือนกับได้รีเซทสภาพแวดล้อมทั้งหมดนั่นแหล่ะในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นในต่างโลกนี่ ฉันจะสามารถสร้างสถานการณ์ที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ตัวฉันในตอนนั้นคิดแบบนั้น และคาดหวังแบบนั้นทว่าในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลยเหมือนกับโชคชะตากำลังเล่นตลกกับฉัน... หรือถ้าพระเจ้ามีจริง หมอนั่นคงกำลังแกล้งฉันอยู่แน่ ๆฉันอดคิดแบบนั้นไม่ได้เพราะสเตตัสของฉันมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินผิดกับของคนอื่น ทั้งที่พละกำลังพื้นฐานของฉันในโลกก่อนมันสูงกว่าคนปกติทั่วไปแท้ ๆถึงจะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่นี่มันก็ผิดปกติอยู่ดี...ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็รู้อยู่ว่าก่นด่าโชคชะตาไปมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เพราะงั้นก็เลยใช้วิธีเดิมในการแก้ปัญหา นั่นก็คือ ‘ช่างหัวมัน’ยิ่งถูกตอกย้ำด้วยการกลั่นแกล้งทับถมจากเจ้าเสือและทุกคนในโรงเรียนก็ยิ่งทำให้ฉ
นานมาแล้ว... นานมากเสียจนจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ตัวฉันแต่เดิมเป็นเพียงจอมเวทธรรมดามาตั้งแต่เกิดในโลกที่ทุกคนใช้เวทมนตร์ได้เป็นปกติ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักนอกจากเวทเคลื่อนย้ายในระยะไม่กี่เมตรที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็ก กับความสามารถในการดัดแปลงพลังเวทมาใช้ในรูปแบบที่ต้องการหากจะมีสิ่งใดที่แตกต่างจากผู้อื่นในวัยเดียวกัน คือทัศนคติในการดำรงชีวิต หรือเหตุผลสำหรับการมีชีวิตอยู่กระมังเราเกิดมาทำไม... เรามีชีวิตอยู่ไปทำไม... นั่นคือคำถามสำคัญที่ทุกคนควรจะรู้แต่น้อยคนนักจะตั้งคำถามอย่างจริงจังเรื่องเหตุผลที่เกิดมานั้นไม่อาจรู้ได้... แต่เหตุผลที่เราทุกคนมีชีวิตอยู่ก็เพื่อความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคนทุกกรณี จะต่างก็เพียงแค่สิ่งที่ทำให้มีความสุขเท่านั้นบางคนอาจเป็นอาหารเลิศรส เสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหู ภาพวาดวิจิตรตระการตาหรือกลิ่นหอมหวนชวนหลงใหลแบ่งแยกประเภทมากมายตามแต่สิ่งที่แต่ละคนนั้นได้สั่งสมความชอบมาแต่กำเนิดสำหรับฉัน คือรอยยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้มของตัวฉันเอง... หากแต่เป็นรอยยิ้มของคนอื่นฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งแรกที่มีความสุขกับเรื่องแบบนี้นั้นคือเมื่อไหร
ช่วงหลังมานี้... หลังจากที่เหล่าภรรยาของฉันได้รู้ทุกอย่างและยอมรับสิ่งที่ฉันเป็นหรือเจอมา จำนวนครั้งที่ฝันร้ายก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดใช่ มันไม่ได้หายไปหรอก... ฉันรู้ตัวดี และสัมผัสได้ก็เพราะความกังวลยังมีอยู่นั่นแหละนะแต่ก็ต้องขอบคุณความอ่อนโยนของทุกคน มันถึงไม่ได้เลวร้ายเหมือนเมื่อก่อนเพราะมีพวกเธออยู่เคียงข้าง ฉันเลยไม่ได้กลัวจนสติแตกเหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่... ต่อให้ฝันร้ายถึง ‘เรื่องในอดีต’ ฉันก็ไม่ได้กลัวหรือว่าเศร้าอีกแล้วเพราะงั้น... ความรู้สึกปั่นป่วนในอกนี่ จึงใกล้เคียงกับความกังวลมากกว่า กรรู้สึกชื่นชมความใจเย็นของตัวเอง มั่นใจว่าอย่างน้อยมันก็ดีขึ้นกว่าก่อนแน่ ไม่อย่างนั้น... ภาพของชายหาดที่เต็มไปด้วยซากศพรอบกายของเขา คงทำเอารู้สึกผิดจนทรมานตัวสั่นไปแล้วเป็นฝันร้ายที่ไร้รสนิยมซะจริง กรรู้สึกขนลุกจนหน้าเหยเกแม้จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นแค่ความคิด ด้วย ‘สุดยอดการประมวลผล’ มันไม่ยากอยู่แล้วที่จะรู้ตัวขณะหลับ ...มันสุดยอดจนถึงกับรู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นสาเหตุของการฝัน ชายหาดนี้ไม่ใช่ที่ที่กรรู้จัก แต่จำนวนศพที่มากขนาดนี้ เดาได้เลยว
————สามวันต่อมา, ทวีปอีเดน - ใจกลางเมืองหลวงแอสการ์ด ใจกลางทวีปอีเดนนั้น ปกติแล้วคือสวนอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับเหล่าเทพผู้ปกครอง ซึ่งมีไว้ใช้เพื่อกำหนดทิศทางของสรวงสวรรค์หรือหมายรวมถึงโลกมนุษย์เบื้องล่าง ถนนสายหลักของตระกูลทั้งเจ็ดล้วนแล้วแต่เข้ามาบรรจบ ณ ที่สวนพฤกษานี้ เมื่อไรก็ตามที่มีหัวหน้าตระกูลมาเยือน ทางเข้าของสวนจากถนนเส้นนั้นจะมีมือขวาข้ารับใช้เฝ้าถนนเส้นนั้นไว้เป็นปกติ ...ทว่าในวันนี้กลับแตกต่างเป็นพิเศษ เพราะจำนวนข้ารับใช้ของทั้งหกตระกูลที่มานั้นมีจำนวนกว่าร้อยคน แถมทางเข้าสวนจากถนนแต่ละเส้นยังติดธงประดับตราประจำตระกูลอีก ซ้ำร้าย... ธงที่ว่ายังเป็นลักษณะเดียวกับที่ใช้ในสงคราม มันเคยถูกใช้ทั้งกับจอมมารในอดีตกาลหรือกับราชาปีศาจในปัจจุบัน นั่นแลคือสัญญาณบ่งบอกความรุนแรงของสถานการณ์ในตอนนี้ โดยเฉพาะใจกลางสวนพฤกษา ที่ตั้งของโต๊ะกลมทำจากหินอ่อนซึ่งเป็นสถานที่ประชุมของเหล่าหัวหน้าตระกูลยกเว้นกาบริเอล สีหน้าทุกคนนั้นอยู่ไม่สุข ทั้งกังวลและโกรธเกรี้ยวบ้าง สับสนบ้าง ...และสาเหตุของเรื่องนั้น ก็คือกระดาษแผ่นน
หลังจากที่อัพเดทข้อมูลกับเหล่าสหายภาคีโต๊ะจัตุรัส กรก็ต้องกลับไปแต่งชุดเพื่อเข้าพิธีรับมอบรางวัลต่อ เพราะตัวเอกของงานคือพวกกรทั้ง 4 ฝ่าย และมีเหล่าราชาจากอาณาจักรในสังกัดสภาโลกเป็นผู้มอบรางวัล นั่นหมายความว่าเหล่าภรรยาของกรที่เป็นกำลังหลักในการปราบอาร์เคมีดีสก็ต้องร่วมงานรับรางวัลด้วย ไม่สิ... ‘ดาร์คไนท์ซิริอุส’ ที่เป็นกำลังหลักนี่แหละคือตัวเอกหลักของงาน ไม่ร่วมเห็นทีคงจะไม่ได้เพราะงั้นพวกเราก็เลยได้ห้อง VIP ไว้แต่งตัว ต้องขอบคุณแอนดรูว์เลยแหละแล้วระหว่างที่รอสาว ๆ เขาแต่งองค์ทรงเครื่องกัน ฉันก็ไปอัพเดทข้อมูลรอถึงจริง ๆ จะอยู่ในห้องตอนสาว ๆ แต่งตัวได้แบบไม่เป็นไรก็เถอะ (ก็เห็นกันทุกซอกทุกมุมแล้วนี่นา)แต่ในแง่ของความรู้สึก... ขืนจ้องของสวย ๆ งาม ๆ ขนาดนั้นนานเข้า พูดตามตรงว่ามันจะของขึ้นจนไม่เป็นอันทำงานเอาน่ะสิฉันก็รู้นิสัยตัวเองดีอ่ะนะ เลยขอป้องกันไว้ก่อนดีกว่า กรอมยิ้มแห้งกับขีดจำกัดของตัวเองเหมือนทำใจ ก่อนเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เขากับสาว ๆ เช่าพัก“อ๊ะ! กรกลับมาแล้ว!”“เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหมกร?” มีอากับรินเดินเข้ามารับกรก่อนใคร
หลังจากที่เมอร์ลินบอกว่าเครื่องเคลื่อนย้ายออกแบบเสร็จแล้ว พวกเราก็ทำตัวเอื่อยเฉื่อยกันอีกแปปนึงก่อนจะกลับบ้านพวกเราแจ้งข่าวเรื่องนี้กับทุกคน โดยเฉพาะรินกับอลิซพวกเธอดีใจเข้ามากอดแล้วก็ร้องไห้โฮใหญ่เลยแต่ก็ช่วยไม่ได้หรอก ก็จากบ้านมากตั้ง 5 เดือนแล้วนี่นาไหนจะทั้งคุณลุง คุณน้าที่รออยู่ที่บ้าน... ชีวิตประจำวันที่ผ่านมาตลอด 17 ปีมันทดแทน 5 เดือนไม่ได้หรอก (ถ้าไม่นับเรื่องที่ได้คบกันล่ะนะ)เพราะงั้นจะอยากกลับไปก็คงไม่แปลกเราเองก็เถอะ... ถึงกลับบ้านไปจะไม่มีใครอยู่แล้ว แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยความทรงจำที่ทำให้เราเป็นอย่างทุกวันนี้เป็นสถานที่ให้กำเนิดความฝันของเรา ...และเราก็ไม่ได้รังเกียจมันอีกแล้วด้วยเพราะงั้นเราจะกลับไปให้ได้! เครื่องมือมีพร้อมหมดแล้วที่เหลือก็มีแต่การจัดแจงสถานการณ์ ให้กลับไปได้โดยที่โลกเดิมไม่มีปัญหา...แต่เรื่องนั้นแหละที่ยากที่สุด❖❖❖❖❖————สองวันต่อมา, โรงแรมเดอะกลอรี่ ณ สหพันธ์แห่งความรุ่งโรจน์ หลังจากวันหยุดของกรและครอบครัวสิ้นสุด แผนการขั้นถัดไปของภาคีโต๊ะจัตุรัสก็เสร็จสมบูรณ์ด้วย ...และก็เป็นการเริ่มแผนด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนั้น ก
“โดนแกล้งอีกแล้วอ่า!”“น่า ๆ ไม่เป็นไรนะกร”“แล้วจะโทษใครได้ล่ะหืม?” ได้ยินแฟนหนุ่มเดินบ่นกลางป่า มีอากับเมอร์ลินจึงได้ลูบหัวปลอบใจไปคนละกรุบ ...ถึงต้นเหตุจะเป็นเพราะพวกเธออยู่แล้วก็เถอะว่าแต่ นี่เดจาวูป่ะเนี่ย?ไหงรู้สึกเหมือนเรื่องคล้าย ๆ กันเพิ่งเกิดขึ้นเลย“!!!?” ระหว่างที่คิดอะไรไร้สาระอยู่ มีอากับเมอร์ลินก็เข้ามาควงแขนกรเหมือนกับตอนที่มาถึง กรเลยคิดว่า ‘โอเค ช่างมันละกัน’ แล้วหันไปสนใจกับการเที่ยวลมชมวิวกับภรรยาทั้งสองดีกว่า จากก่อนหน้านี้... หลังจากพักผ่อนในตึกกลางสำหรับติดต่อ พวกกรก็ออกเดินเท้าไปตามทางที่ทำไว้ เห็นว่าหากเดินตามทางนี้จะสามารถชมวิวได้ครบทุกแห่งและวนไปยังกระท่อมที่จองไว้ได้พอดี“กรดูสิ! มีแม่น้ำด้วย!”“ตื้นพอให้ลงไปเล่นได้ด้วยแฮะ” มีอากับเมอร์ลินดูจะสนใจแม่น้ำทางขวาที่ทั้งสามกำลังเดินเลียบผ่าน ความใสของมันทำให้เห็นดินและกรวดก้นแม่น้ำได้ แถมความสูงของมันยังแค่ครึ่งแข้งเอง เรียกว่าเหมาะกับการเล่นสุด ๆ มีอากับเมอร์ลินจึงไม่รอช้า พวกเธอถอดรองเท้าแล้วจูงมือกรลงไปในแม่น้ำ“ไปกันเถอะกร! น่า
หลังจากถ่ายรูปกันอย่างหวานแหวว เวลาก็ยังเหลืออีกนิดหน่อย พวกเราเลยจะไปเดินเล่นกันต่อ...และแน่นอน คุณรินกับอลิซก็ยังคงตามแกล้งฉันเหมือนเดิมช่างใจร้ายเหลือร้าย ตั้งแต่ในโรงหนังแล้วนะ!มาปลุกเร้ากันขนาดนี้ในสถานการณ์ที่ทำได้แค่อดทน นี่มันการทรมานประเภทไหนกันเนี่ย!?เหมือนเอาเนื้อสเต็ก A5 มาจ่อลิ้นแต่ไม่ยอมให้กินเลยนะเฮ้ย!จะทั้งชาลอตกับซาช่าที่ขยันเซอร์วิสให้ตอนช่วงเช้า หรือรินกับอลิซที่มาแกล้งกันทั้งช่วงบ่ายฉันเลยต้องกัดฟันทนน้ำตาไหลเป็นโลหิตไปจนถึงตอนกลางคืนโน่นเลย!พอถึงเวลาหม่ำ ๆ ฉันก็เลยล้างแค้นด้วยการกินพวกเธอเกือบทั้งคืนจนแทบไม่ได้หลับได้นอนทำกันยังกับเป็นกระต่ายเลยเชียวล่ะ!...ก็ พอมานึกดู ฉันอาจจะหนักมือไปหน่อยแต่พวกเธอมาแกล้งฉันก่อนนี่หว่า! จะโดนเอาคืนมันก็ไม่แปลกนี่นา!!!เหมือนที่เคยมีใครบางคนพูดไว้นั่นแหละ‘ผู้ที่จะเขมือบได้ก็มีแต่คนที่เตรียมใจจะโดนเขมือบเท่านั้น’ อื้ม ๆ! กรตื่นเช้ามาก็พยายามหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองใหญ่ทั้งที่ไม่จำเป็น แต่ก็ต้องขอบคุณศึกอันหนักหน่วงเมื่อวานด้วย ความงุ่นง่านในตัวกรเลยลดลงไปมากจนระบบความคิดปกติเริ่มกลับมาทำงาน เขา
หลังจากที่โหมโรงที่บ้านแบบเบา ๆ (เหรอ?) พวกเราสามคนก็เริ่มออกเดินทางตามที่วางแผนกันไว้เป้าหมายเดทวันนี้คือห้างสรรพสินค้าในเมืองฟอเรสเตอร์ที่เดียวกับที่เคยมาเดทกับรินและสิ่งที่จะทำวันนี้ก็คือ ‘การดูหนัง’ นั่นเอง!ซึ่งอันที่จริงเดี๋ยวจะไปเดินเล่นกันต่อด้วย แต่ยังไงอีเวนท์หลักก็คือดูหนังนี่แหละตอนอยู่โลกเดิมพวกเราก็ไปดูด้วยกันบ่อย แต่ส่วนใหญ่ก็จะไปกัน 5 คนมากกว่า...ถึงจะมีบางครั้งที่รินกับอลิซชวนเราไปด้วยกันแค่สองคนก็เถอะนะแต่ที่ได้มาในฐานะแฟนกันสามคนเนี่ย นี่ครั้งแรกเลย!มานึกดูแล้ว ถ้าเป็นตัวฉันเมื่อหลายเดือนก่อนที่คิดไม่ตกกับรักสามเศร้าของเราสามคน ฉันก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะกลายเป็นแบบนี้แต่ก็ต้องขอบคุณทุกอย่างที่ผ่านมา พวกเราถึงได้หวานแหววกันอย่างที่ควรจะเป็น กรคิดเคลิบเคลิ้มไปถึงเรื่องที่บ้านก่อนจะออกมาเดท รู้สึกว่ารินกับอลิซดูจะแสดงออกมากกว่าปกติอีกระดับช่วงหลังจากคบกัน โดยเฉพาะผ่านเรื่องอย่างว่ามาแล้ว ถึงพวกเราจะไม่ได้มีอะไรปิดบังกันเลยก็เถอะ แต่พวกเธอก็ไม่ได้ซื่อตรงต่อความต้องการขนาดนั้นอยู่ดีแต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะพวกเธอไม่อยากทำหรอก เป็นเรื่องของบุคลิกภาพส่วนบ
————ทางบ้านของครอบครัวกร หลังอรุณเบิกฟ้าจนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงวัน เหล่าภรรยาของกรเกือบทุกคนและลูกสาวยังคงใช้เวลาไปกับการพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน เสียงหัวเราะและพูดคุยโหวกเหวกไม่เคยพร่องไปจากห้องนี้ ทั้งจากการเล่นเกมกระดาน ดูทีวีและคุยเล่นหยอกล้อ เป็นบรรยากาศอันสนุกสนานและเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกที นั่นเป็นกิจวัตรที่ถือได้ว่าเป็นปกติสำหรับบ้านนี้ จะมีข้อยกเว้นก็แต่คนที่ติดธุระหรือมีกำหนดการไปข้างนอกจึงไม่ได้ร่วมวง ไม่สิ... ต่อให้มีธุระ แต่อย่างไรทุกคนก็ใช้เวลาอยู่ที่ห้องนั่งเล่นจนกว่าจะถึงเวลาเตรียมตัวอยู่ดี ดังเช่นรินและอลิซที่กำลังเดินขึ้นบันไดกลับห้องด้วยกัน เบื้องหน้าของรินมีหน้าต่างใสลอยอยู่เบื้องหน้า ซึ่งไม่ใช่หน้าต่างสเตตัสแต่เป็นโฮโลแกรมที่ฉายมาจากแหวนอันเป็นส่วนนึงของ Unity Gear ว่าไปแล้ว... พอไม่ได้ใช้มันในฐานะเครื่องมือสำหรับสู้รบ มันก็กลายเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันไปโดยปริยาย เหมือนอย่างตอนนี้ ที่รินใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสารรับข้อความจากชาลอตเหมือนหน้าต่างแชทพร้อมรูปการ์ตูน
หลังจากที่พวกเรามาถึงทะเล พวกเราก็แยกกันไปเปลี่ยนชุดทางฉันเสร็จก่อนก็เลยไปจองที่ริมหาดแจ่ม ๆ แล้วกางร่มปูเสื่อรอ ...ปูเสื่อรอในหลาย ๆ ความหมายเลย ฮิฮิก็แหม! นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นสองคนนั้นในชุดว่ายน้ำเลยนา...ไม่สิ จริง ๆ ก็ไม่นับว่าครั้งแรกหรอกถ้านับชาติก่อนด้วย แต่นั่นมันนานแล้วนี่ เพราะงั้นนี่ก็นับเป็นครั้งแรกอยู่ดีนั่นแหละ!ทนรอไม่ไหวเลยเนี่ย จะเซอร์ไพรซ์กันด้วยชุดแบบไหนน้า กรนั่งบนเสื่อชายหาดยิ้มแป้นสบายใจเฉิบ สีหน้ารื่นรมย์จนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแอบคิดสงสัยว่าเขาวางแผนชั่วอะไรอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ติดว่ากรดูเป็นคนเรียบร้อย คงจะมีคนแจ้งอัศวินชายหาดมาจับเขาเข้าซังเตแล้วก็ได้ แต่กรไม่ต้องอยู่ในจินตนาการนานนัก ในเมื่อฝันหวานของเขากำลังจะเป็นจริง เสียงวิ่งเตาะแตะมาจากทางซ้ายทำให้เขาตระหนักอย่างนั้น“มาแล้วค่ะ ...นายท่าน”“ขออภัยที่ให้รอนะคะ” สองสาวซาช่าและชาลอตยืนอยู่เบื้องหน้ากร ซ่อนบังชุดว่ายน้ำไว้ภายใต้ผ้าคลุม บางทีพวกเธอคงทำไปเพื่อลดสายตาจากคนรอบตัวเป็นสาเหตุนึง ...ส่วนอีกสาเหตุนึงและน่าจะเป็นสาเหตุหลัก นั่นคือต้องการ