“พวกนายได้เริ่มคิดกันยังว่าโตไปจะทำอะไร?” ในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านของกรหลังเลิกเรียนเหมือนอย่างเคย อยู่ ๆ โชตก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาแม้จะดูขอไปที แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจริงจังอยู่เหมือนกันจากสีหน้าของเขา อนึ่ง... เป็นปกติที่ส่วนใหญ่แล้วหลังเลิกเรียนทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านของกรทันที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกคนจะยังสวมชุดนักเรียนกันอยู่ อย่างเช่นตอนนี้ที่ทุกคนนั่งกระจัดกระจายตามโซฟา โดยกร โชตและชาญนั่งโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนรินกับอลิซนั่งด้วยกันที่โซฟาอีกตัวฝั่งที่ติดกับกร นั่นคือเรื่องปกติของกลุ่มนี้ จะมีต่างไปก็แค่บรรยากาศเท่านั้น... ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่ออกไปในทางจริงจังเพราะโชตเปิดประเด็นอย่างนั้นขึ้นมา“อืม... ผมก็คงเป็นข้าราชการนั่นแหล่ะนะ” ชาญตอบแบบแทบไม่ต้องคิด เพราะดูเหมือนเขาจะมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก“แบบนั้นก็ดีนะ” กรพยักหน้าหลังวางมือจากเครื่องเล่นเกมในมือ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาเสียแต้มแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับหันไปมองคู่สนทนาอย่างชาญ“นั่นสิ ทั้งมั่นคงทั้งมีสวัสดิการ พ่อ
หลังจากที่ถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แน่นอนว่าฉันเองก็ตกใจ ไม่สิ... ใครล่ะจะไม่ตกใจเมื่อเรื่องที่เหมือนกับนิยายที่เคยอ่านมันเกิดขึ้นจริงกับตัวเองแต่ว่าในขณะเดียวกัน ฉันก็แอบดีใจนิดหน่อยที่มันเกิดขึ้นสาเหตุก็ไม่ใช่อะไรหรอก... นั่นเพราะว่าการถูกเคลื่อนย้ายมาต่างโลก มันก็เหมือนกับได้รีเซทสภาพแวดล้อมทั้งหมดนั่นแหล่ะในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นในต่างโลกนี่ ฉันจะสามารถสร้างสถานการณ์ที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ตัวฉันในตอนนั้นคิดแบบนั้น และคาดหวังแบบนั้นทว่าในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลยเหมือนกับโชคชะตากำลังเล่นตลกกับฉัน... หรือถ้าพระเจ้ามีจริง หมอนั่นคงกำลังแกล้งฉันอยู่แน่ ๆฉันอดคิดแบบนั้นไม่ได้เพราะสเตตัสของฉันมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินผิดกับของคนอื่น ทั้งที่พละกำลังพื้นฐานของฉันในโลกก่อนมันสูงกว่าคนปกติทั่วไปแท้ ๆถึงจะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่นี่มันก็ผิดปกติอยู่ดี...ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็รู้อยู่ว่าก่นด่าโชคชะตาไปมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เพราะงั้นก็เลยใช้วิธีเดิมในการแก้ปัญหา นั่นก็คือ ‘ช่างหัวมัน’ยิ่งถูกตอกย้ำด้วยการกลั่นแกล้งทับถมจากเจ้าเสือและทุกคนในโรงเรียนก็ยิ่งทำให้ฉ
นานมาแล้ว... นานมากเสียจนจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ตัวฉันแต่เดิมเป็นเพียงจอมเวทธรรมดามาตั้งแต่เกิดในโลกที่ทุกคนใช้เวทมนตร์ได้เป็นปกติ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักนอกจากเวทเคลื่อนย้ายในระยะไม่กี่เมตรที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็ก กับความสามารถในการดัดแปลงพลังเวทมาใช้ในรูปแบบที่ต้องการหากจะมีสิ่งใดที่แตกต่างจากผู้อื่นในวัยเดียวกัน คือทัศนคติในการดำรงชีวิต หรือเหตุผลสำหรับการมีชีวิตอยู่กระมังเราเกิดมาทำไม... เรามีชีวิตอยู่ไปทำไม... นั่นคือคำถามสำคัญที่ทุกคนควรจะรู้แต่น้อยคนนักจะตั้งคำถามอย่างจริงจังเรื่องเหตุผลที่เกิดมานั้นไม่อาจรู้ได้... แต่เหตุผลที่เราทุกคนมีชีวิตอยู่ก็เพื่อความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคนทุกกรณี จะต่างก็เพียงแค่สิ่งที่ทำให้มีความสุขเท่านั้นบางคนอาจเป็นอาหารเลิศรส เสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหู ภาพวาดวิจิตรตระการตาหรือกลิ่นหอมหวนชวนหลงใหลแบ่งแยกประเภทมากมายตามแต่สิ่งที่แต่ละคนนั้นได้สั่งสมความชอบมาแต่กำเนิดสำหรับฉัน คือรอยยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้มของตัวฉันเอง... หากแต่เป็นรอยยิ้มของคนอื่นฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งแรกที่มีความสุขกับเรื่องแบบนี้นั้นคือเมื่อไหร
————ในขณะเดียวกับที่อาร์เคมีดีสและกองยานผสมกำลังปะทะกัน ลึกลงไปใต้มหาสมุทรหลายกิโลเมตร ที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนละมิติกับโลกเบื้องบนเพราะเป็นทุ่งรกร้างไร้สิ่งมีชีวิตใด ๆ แม้แต่พืชมอสสีเขียวสักตนหรือหย่อมหนึ่งก็ไม่มี ไม่สิ... แบบนั้นคงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะในทุ่งโล่งกว้างแห่งนี้ มีเพียงบริเวณเดียวเท่านั้นที่เต็มไปด้วยผู้คนรวมตัวกัน โดยมีเหล่าหญิงสาวทั้ง 19 คนโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังถูกฟื้นฟูสภาพจิตใจ เสียงสะอื้นของเขาเบาบางลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ถูกความอบอุ่นจำนวนมากจากครอบครัวคนสำคัญโอบล้อม หากว่าเด็กหนุ่มคนนี้... หากกรเป็นผืนแผ่นดินที่เหือดแห้งเพราะความสิ้นหวังจากความหวาดกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเองมาตลอด เขาก็คงเป็นผืนแผ่นดินที่กำลังชุ่มชื่นและกำลังจะมียอดอ่อนแตกรากกลายเป็นต้นไม้อีกครั้งเพราะความกลัวเหล่านั้นกำลังหายไป ตัวเขารู้สึกแบบนั้น“ขอบคุณ... ขอบคุณนะ” กรเอ่ยย้ำแบบนั้น ตัวเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดคำนั้นออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในขณะที่ออกแรงกอดเหล่าภรรยาของเขาไม่หยุด เช่นเดียวกับที่พวกเธอเองก็โอบกอดเขากลับมา ตอนนี้ทั้
————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย“แล้ว... จะเอายังไงต่อดีล่ะเนี่ย” หลังออกมาจากมหาดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ จนมาอยู่บนชายหาดของเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุด เมอร์ลินก็เอ่ยถามขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะอาเธนที่เป็นคนใช้ไอเทมทำให้ทุกคนออกมาได้รวมถึงมหาปราชญ์คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มาด้วย เนื่องจากจำเป็นต้องทำลายแกนพลังงานของดันเจี้ยนเพื่อลดอัตราการดูดซับเท่าที่จะทำได้แม้แกนกลางของดันเจี้ยนจะกลายเป็นลาสบอสพร้อมกับอาร์เคมีดีสไปแล้วก็ตาม และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่มันก็เหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง คำถามของเมอร์ลิน จึงไม่ใช่อะไรนอกจากการยืนยันสิ่งที่กรจะทำหลังจากนี้ ทั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกังวล แต่ว่าก่อนหน้านั้น...“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่จะไม่สนใจไอ้เจ้ายักษ์นั่นหน่อยเหรอเนี้ยว!?”“นะ นั่นสิคะ! นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ควรกังวลมากกว่านะคะ!” ในขณะที่ฟลอร่ากับซาช่าต่างก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเหมือนคนสติแตก ซึ่งถ้าบนนั้นมีแค่เมฆสีครามเหมือนปกติก็จะดี แต่เพราะไม่ใช่ พวกเธอถึงกลัวจนขนลุกกันขนาดนั้น เพราะที่อยู่บนนั้น คือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่า
————วันรุ่งขึ้นหลังจบศึก, ณ มหาดันเจี้ยนโบราณเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว ภายในมหาดันเจี้ยนโบราณของฟรังซ์ ออลเดลผู้เป็นเจ้าของนั้น มีดันเจี้ยนชั้นหนึ่งที่เป็นส่วนอยู่อาศัย หากนับตามลำดับคงเป็นชั้นที่ 101 ว่าไปแล้ว มันก็คือดันเจี้ยนชั้นเดียวกับที่กรและมีอาได้เข้ามาพักหลังจากที่เคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนี้สำเร็จแล้วนั่นเอง คฤหาสน์ของฟรังซ์นั้นมีห้องอยู่จำนวนมากทั้งที่กำลังใช้งานอยู่และที่เป็นห้องว่างพร้อมให้ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามต้องการ ในบรรดาห้องว่างทั้งหลายเหล่านั้นคือห้องชั้นใต้ดินของอาคารหลักอันมืดมิด ได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องกรงแบบง่าย ๆ คำว่าง่าย ๆ ที่ว่านั้น คือการใส่ลูกกรงเหล็กหน้าห้องแทนประตู พื้นที่เป็นดินไม่ได้รับการตกแต่งหรือทำความสะอาดเพื่อไว้ใช้ลงโทษ นอกเหนือจากนั้นคือกุญแจมือและเท้าที่ล่ามติดโซ่ผู้กระทำผิดเอาไว้ในฐานะนักโทษอยู่กลางห้องไม่ให้ขยับไปไหนได้ และคนที่ถูกล่าม ไม่สิ... ล่ามตัวเองอยู่นั้น ก็ไม่ได้เป็นใครอื่นนอกจากอาร์เคมีดีส ตัวอาร์เคมีดีสนั้นแม้จะถูกล่ามโซ่ในสภาพอนาถาแต่กิริยาของเขากลับยังนิ่งสงบ ทั้
“ทนไม่ไหวแล้ว!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นสิ่งแรกของยามเช้าอันสดใสของพวกกร ความเหนื่อยล้าจากศึกกลางคืนทำให้ทุกคนยังงัวเงีย แต่ก็ตื่นเต็มตากันหมดเพราะเสียงตะโกนของตัวป่วนประจำบ้านอย่างอลิซ ด้วยความที่ทุกคนนอนบนฟูกปูพื้นทำให้ทุกคนนอนเกลื่อนกลาด และเพราะผ่านศึกอันหนักหน่วงกันมา ทั้งสาว ๆ และกรเลยมีแค่ผ้าห่มคนละผืนทับตัวเปล่า ๆ เหมือนเด็กแรกเกิด แต่สภาพแบบนั้นไม่ได้ทำให้อลิซร่าเริงน้อยลงเลย“ได้ยินป่าว! ฉันบอกว่า ‘ทน-ไม่-ไหว-แล้ว’ อ่ะ!” เธอทำแก้มป่องทุบพื้นหลายต่อหลายที ถึงไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ“มีเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย?” กรที่หนุนหมอนอยู่ถึงชันตัวขึ้น เขาต้องค่อย ๆ ใช้แขนสองข้างประคองให้มีอากับรินลงหนุนหมอนแทนจากที่นอนซบไหล่เขามาตลอดคืน อาจเพราะแบบนั้นด้วยมีอากับรินเลยทำหน้ามุ่ย แต่พอได้กรลูบหัวไปคนละสองทีพวกเธอก็ยิ้มพริ้มกันเพลินจนต้องหลับต่อ“หรือว่าอยากกอดเหรอ? งั้นมามะ” กรอ้าแขนเชื้อเชิญด้วยใบหน้าระรื่น เพราะเขาเองก็อยากจะกอดอลิซเหมือนกัน“ไม่ใช่ย่ะ! ไม่สิ... ถึงจริง ๆ จะอยากกอดก็เถอะ แต่ที่จะพูดมันไม่ใช่เรื่
ยามเช้าอันสดใสมาพร้อมเสียงสัตว์อรุณสวัสดิ์เป็นกิจวัตรอันสร้างความสดชื่นรับวันใหม่ได้ทุกครา ไม่มีเสียงปลุกอะไรไพเราะไปกว่านี้ กับบรรยากาศสดชื่นและน่าเย้ายวนชวนให้ตื่นเช้าเช่นนี้ คงไม่มีใครหาญกล้านอนต่อได้นอกเสียจากคนที่ทำงานจนเหนื่อยล้าหรือกำลังอยู่ในช่วงขี้เกียจสันหลังยาว เว้นเสียแต่ว่าเธอคนนั้นไม่ได้หลับเสียตั้งแต่แรก ข้อยกเว้นดังกล่าวคือฟีโอน่าที่กำลังนั่งเขียนเอกสารในห้องส่วนตัวของเธอ ในบ้านส่วนตัวที่อยู่อาศัยร่วมกันกับครอบครัวของเธอตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้าตรู่นี้ อันที่จริงต่อให้เธอทำงานค้างไว้ก็คงไม่มีใครว่าเธอได้ เพราะในอาณาจักรที่เธอปกครองตอนนี้ไม่มีใครใหญ่ยิ่งไปกว่าเธออีกแล้ว ต่อให้ประกาศกับเหล่าขุนนางไปแล้วว่าจะวางมือ แต่สถานะของอดีตราชินีและหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ผู้กอบกู้โลกคงไม่มีใครกล้าหือแน่นอนต่อให้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว สิ่งที่ผลักดันฟีโอน่าให้ทำงานจึงเป็นแรงขับเคลื่อนส่วนตัวอย่างความรับผิดชอบล้วน ๆ จะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางก็คงได้ แต่อันที่จริง... สาเหตุหลักมันเป็นเพราะเธ
ยามเช้าอันสดใสมาพร้อมเสียงสัตว์อรุณสวัสดิ์เป็นกิจวัตรอันสร้างความสดชื่นรับวันใหม่ได้ทุกครา ไม่มีเสียงปลุกอะไรไพเราะไปกว่านี้ กับบรรยากาศสดชื่นและน่าเย้ายวนชวนให้ตื่นเช้าเช่นนี้ คงไม่มีใครหาญกล้านอนต่อได้นอกเสียจากคนที่ทำงานจนเหนื่อยล้าหรือกำลังอยู่ในช่วงขี้เกียจสันหลังยาว เว้นเสียแต่ว่าเธอคนนั้นไม่ได้หลับเสียตั้งแต่แรก ข้อยกเว้นดังกล่าวคือฟีโอน่าที่กำลังนั่งเขียนเอกสารในห้องส่วนตัวของเธอ ในบ้านส่วนตัวที่อยู่อาศัยร่วมกันกับครอบครัวของเธอตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้าตรู่นี้ อันที่จริงต่อให้เธอทำงานค้างไว้ก็คงไม่มีใครว่าเธอได้ เพราะในอาณาจักรที่เธอปกครองตอนนี้ไม่มีใครใหญ่ยิ่งไปกว่าเธออีกแล้ว ต่อให้ประกาศกับเหล่าขุนนางไปแล้วว่าจะวางมือ แต่สถานะของอดีตราชินีและหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ผู้กอบกู้โลกคงไม่มีใครกล้าหือแน่นอนต่อให้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว สิ่งที่ผลักดันฟีโอน่าให้ทำงานจึงเป็นแรงขับเคลื่อนส่วนตัวอย่างความรับผิดชอบล้วน ๆ จะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางก็คงได้ แต่อันที่จริง... สาเหตุหลักมันเป็นเพราะเธ
“ทนไม่ไหวแล้ว!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นสิ่งแรกของยามเช้าอันสดใสของพวกกร ความเหนื่อยล้าจากศึกกลางคืนทำให้ทุกคนยังงัวเงีย แต่ก็ตื่นเต็มตากันหมดเพราะเสียงตะโกนของตัวป่วนประจำบ้านอย่างอลิซ ด้วยความที่ทุกคนนอนบนฟูกปูพื้นทำให้ทุกคนนอนเกลื่อนกลาด และเพราะผ่านศึกอันหนักหน่วงกันมา ทั้งสาว ๆ และกรเลยมีแค่ผ้าห่มคนละผืนทับตัวเปล่า ๆ เหมือนเด็กแรกเกิด แต่สภาพแบบนั้นไม่ได้ทำให้อลิซร่าเริงน้อยลงเลย“ได้ยินป่าว! ฉันบอกว่า ‘ทน-ไม่-ไหว-แล้ว’ อ่ะ!” เธอทำแก้มป่องทุบพื้นหลายต่อหลายที ถึงไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ“มีเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย?” กรที่หนุนหมอนอยู่ถึงชันตัวขึ้น เขาต้องค่อย ๆ ใช้แขนสองข้างประคองให้มีอากับรินลงหนุนหมอนแทนจากที่นอนซบไหล่เขามาตลอดคืน อาจเพราะแบบนั้นด้วยมีอากับรินเลยทำหน้ามุ่ย แต่พอได้กรลูบหัวไปคนละสองทีพวกเธอก็ยิ้มพริ้มกันเพลินจนต้องหลับต่อ“หรือว่าอยากกอดเหรอ? งั้นมามะ” กรอ้าแขนเชื้อเชิญด้วยใบหน้าระรื่น เพราะเขาเองก็อยากจะกอดอลิซเหมือนกัน“ไม่ใช่ย่ะ! ไม่สิ... ถึงจริง ๆ จะอยากกอดก็เถอะ แต่ที่จะพูดมันไม่ใช่เรื่
————วันรุ่งขึ้นหลังจบศึก, ณ มหาดันเจี้ยนโบราณเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว ภายในมหาดันเจี้ยนโบราณของฟรังซ์ ออลเดลผู้เป็นเจ้าของนั้น มีดันเจี้ยนชั้นหนึ่งที่เป็นส่วนอยู่อาศัย หากนับตามลำดับคงเป็นชั้นที่ 101 ว่าไปแล้ว มันก็คือดันเจี้ยนชั้นเดียวกับที่กรและมีอาได้เข้ามาพักหลังจากที่เคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนี้สำเร็จแล้วนั่นเอง คฤหาสน์ของฟรังซ์นั้นมีห้องอยู่จำนวนมากทั้งที่กำลังใช้งานอยู่และที่เป็นห้องว่างพร้อมให้ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามต้องการ ในบรรดาห้องว่างทั้งหลายเหล่านั้นคือห้องชั้นใต้ดินของอาคารหลักอันมืดมิด ได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องกรงแบบง่าย ๆ คำว่าง่าย ๆ ที่ว่านั้น คือการใส่ลูกกรงเหล็กหน้าห้องแทนประตู พื้นที่เป็นดินไม่ได้รับการตกแต่งหรือทำความสะอาดเพื่อไว้ใช้ลงโทษ นอกเหนือจากนั้นคือกุญแจมือและเท้าที่ล่ามติดโซ่ผู้กระทำผิดเอาไว้ในฐานะนักโทษอยู่กลางห้องไม่ให้ขยับไปไหนได้ และคนที่ถูกล่าม ไม่สิ... ล่ามตัวเองอยู่นั้น ก็ไม่ได้เป็นใครอื่นนอกจากอาร์เคมีดีส ตัวอาร์เคมีดีสนั้นแม้จะถูกล่ามโซ่ในสภาพอนาถาแต่กิริยาของเขากลับยังนิ่งสงบ ทั้
————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย“แล้ว... จะเอายังไงต่อดีล่ะเนี่ย” หลังออกมาจากมหาดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ จนมาอยู่บนชายหาดของเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุด เมอร์ลินก็เอ่ยถามขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะอาเธนที่เป็นคนใช้ไอเทมทำให้ทุกคนออกมาได้รวมถึงมหาปราชญ์คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มาด้วย เนื่องจากจำเป็นต้องทำลายแกนพลังงานของดันเจี้ยนเพื่อลดอัตราการดูดซับเท่าที่จะทำได้แม้แกนกลางของดันเจี้ยนจะกลายเป็นลาสบอสพร้อมกับอาร์เคมีดีสไปแล้วก็ตาม และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่มันก็เหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง คำถามของเมอร์ลิน จึงไม่ใช่อะไรนอกจากการยืนยันสิ่งที่กรจะทำหลังจากนี้ ทั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกังวล แต่ว่าก่อนหน้านั้น...“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่จะไม่สนใจไอ้เจ้ายักษ์นั่นหน่อยเหรอเนี้ยว!?”“นะ นั่นสิคะ! นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ควรกังวลมากกว่านะคะ!” ในขณะที่ฟลอร่ากับซาช่าต่างก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเหมือนคนสติแตก ซึ่งถ้าบนนั้นมีแค่เมฆสีครามเหมือนปกติก็จะดี แต่เพราะไม่ใช่ พวกเธอถึงกลัวจนขนลุกกันขนาดนั้น เพราะที่อยู่บนนั้น คือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่า
————ในขณะเดียวกับที่อาร์เคมีดีสและกองยานผสมกำลังปะทะกัน ลึกลงไปใต้มหาสมุทรหลายกิโลเมตร ที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนละมิติกับโลกเบื้องบนเพราะเป็นทุ่งรกร้างไร้สิ่งมีชีวิตใด ๆ แม้แต่พืชมอสสีเขียวสักตนหรือหย่อมหนึ่งก็ไม่มี ไม่สิ... แบบนั้นคงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะในทุ่งโล่งกว้างแห่งนี้ มีเพียงบริเวณเดียวเท่านั้นที่เต็มไปด้วยผู้คนรวมตัวกัน โดยมีเหล่าหญิงสาวทั้ง 19 คนโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังถูกฟื้นฟูสภาพจิตใจ เสียงสะอื้นของเขาเบาบางลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ถูกความอบอุ่นจำนวนมากจากครอบครัวคนสำคัญโอบล้อม หากว่าเด็กหนุ่มคนนี้... หากกรเป็นผืนแผ่นดินที่เหือดแห้งเพราะความสิ้นหวังจากความหวาดกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเองมาตลอด เขาก็คงเป็นผืนแผ่นดินที่กำลังชุ่มชื่นและกำลังจะมียอดอ่อนแตกรากกลายเป็นต้นไม้อีกครั้งเพราะความกลัวเหล่านั้นกำลังหายไป ตัวเขารู้สึกแบบนั้น“ขอบคุณ... ขอบคุณนะ” กรเอ่ยย้ำแบบนั้น ตัวเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดคำนั้นออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในขณะที่ออกแรงกอดเหล่าภรรยาของเขาไม่หยุด เช่นเดียวกับที่พวกเธอเองก็โอบกอดเขากลับมา ตอนนี้ทั้
นานมาแล้ว... นานมากเสียจนจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ตัวฉันแต่เดิมเป็นเพียงจอมเวทธรรมดามาตั้งแต่เกิดในโลกที่ทุกคนใช้เวทมนตร์ได้เป็นปกติ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักนอกจากเวทเคลื่อนย้ายในระยะไม่กี่เมตรที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็ก กับความสามารถในการดัดแปลงพลังเวทมาใช้ในรูปแบบที่ต้องการหากจะมีสิ่งใดที่แตกต่างจากผู้อื่นในวัยเดียวกัน คือทัศนคติในการดำรงชีวิต หรือเหตุผลสำหรับการมีชีวิตอยู่กระมังเราเกิดมาทำไม... เรามีชีวิตอยู่ไปทำไม... นั่นคือคำถามสำคัญที่ทุกคนควรจะรู้แต่น้อยคนนักจะตั้งคำถามอย่างจริงจังเรื่องเหตุผลที่เกิดมานั้นไม่อาจรู้ได้... แต่เหตุผลที่เราทุกคนมีชีวิตอยู่ก็เพื่อความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคนทุกกรณี จะต่างก็เพียงแค่สิ่งที่ทำให้มีความสุขเท่านั้นบางคนอาจเป็นอาหารเลิศรส เสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหู ภาพวาดวิจิตรตระการตาหรือกลิ่นหอมหวนชวนหลงใหลแบ่งแยกประเภทมากมายตามแต่สิ่งที่แต่ละคนนั้นได้สั่งสมความชอบมาแต่กำเนิดสำหรับฉัน คือรอยยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้มของตัวฉันเอง... หากแต่เป็นรอยยิ้มของคนอื่นฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งแรกที่มีความสุขกับเรื่องแบบนี้นั้นคือเมื่อไหร
หลังจากที่ถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แน่นอนว่าฉันเองก็ตกใจ ไม่สิ... ใครล่ะจะไม่ตกใจเมื่อเรื่องที่เหมือนกับนิยายที่เคยอ่านมันเกิดขึ้นจริงกับตัวเองแต่ว่าในขณะเดียวกัน ฉันก็แอบดีใจนิดหน่อยที่มันเกิดขึ้นสาเหตุก็ไม่ใช่อะไรหรอก... นั่นเพราะว่าการถูกเคลื่อนย้ายมาต่างโลก มันก็เหมือนกับได้รีเซทสภาพแวดล้อมทั้งหมดนั่นแหล่ะในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นในต่างโลกนี่ ฉันจะสามารถสร้างสถานการณ์ที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ตัวฉันในตอนนั้นคิดแบบนั้น และคาดหวังแบบนั้นทว่าในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลยเหมือนกับโชคชะตากำลังเล่นตลกกับฉัน... หรือถ้าพระเจ้ามีจริง หมอนั่นคงกำลังแกล้งฉันอยู่แน่ ๆฉันอดคิดแบบนั้นไม่ได้เพราะสเตตัสของฉันมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินผิดกับของคนอื่น ทั้งที่พละกำลังพื้นฐานของฉันในโลกก่อนมันสูงกว่าคนปกติทั่วไปแท้ ๆถึงจะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่นี่มันก็ผิดปกติอยู่ดี...ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็รู้อยู่ว่าก่นด่าโชคชะตาไปมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เพราะงั้นก็เลยใช้วิธีเดิมในการแก้ปัญหา นั่นก็คือ ‘ช่างหัวมัน’ยิ่งถูกตอกย้ำด้วยการกลั่นแกล้งทับถมจากเจ้าเสือและทุกคนในโรงเรียนก็ยิ่งทำให้ฉ
“พวกนายได้เริ่มคิดกันยังว่าโตไปจะทำอะไร?” ในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านของกรหลังเลิกเรียนเหมือนอย่างเคย อยู่ ๆ โชตก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาแม้จะดูขอไปที แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจริงจังอยู่เหมือนกันจากสีหน้าของเขา อนึ่ง... เป็นปกติที่ส่วนใหญ่แล้วหลังเลิกเรียนทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านของกรทันที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกคนจะยังสวมชุดนักเรียนกันอยู่ อย่างเช่นตอนนี้ที่ทุกคนนั่งกระจัดกระจายตามโซฟา โดยกร โชตและชาญนั่งโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนรินกับอลิซนั่งด้วยกันที่โซฟาอีกตัวฝั่งที่ติดกับกร นั่นคือเรื่องปกติของกลุ่มนี้ จะมีต่างไปก็แค่บรรยากาศเท่านั้น... ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่ออกไปในทางจริงจังเพราะโชตเปิดประเด็นอย่างนั้นขึ้นมา“อืม... ผมก็คงเป็นข้าราชการนั่นแหล่ะนะ” ชาญตอบแบบแทบไม่ต้องคิด เพราะดูเหมือนเขาจะมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก“แบบนั้นก็ดีนะ” กรพยักหน้าหลังวางมือจากเครื่องเล่นเกมในมือ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาเสียแต้มแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับหันไปมองคู่สนทนาอย่างชาญ“นั่นสิ ทั้งมั่นคงทั้งมีสวัสดิการ พ่อ
หลังจากที่ฉันสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ ฉันก็รีบโทรหาชาญก่อนใครเลยในตอนที่ไม่รู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร เขาเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึง... เพราะหมอนั่นเป็นคนเดียวที่จะทำตามคำขอทุกอย่างของฉันถึงแม้ว่าจะไม่ชอบมันก็ตามนั่นแหล่ะแต่ก็ไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าผ้าพันแผลสะอาด ๆ หรอกนะส่วนเรื่องแผลก็ไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิดจนน่าประหลาดใจเลย... แค่พันแผลแล้วกดแผลไว้ ไม่กี่ชั่วโมงแผลก็ปิดสนิทจนต้องตั้งคำถามกับตัวเองเลยล่ะว่าฉันเป็นมนุษย์แน่รึเปล่า?แต่จะว่าไม่เป็นไรเลยก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ได้แผลเป็นติดแถวชายโครงขวาพอมานึกดู... เมื่อตอนเด็กก็ได้แผลเป็นมาเพราะปกป้องรินด้วยเหมือนกันนี่นะ อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนี้ไม่รู้พวกเธอจะรู้สึกผิดในตอนที่เห็นมันอีกไหม...แต่เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้แหล่ะนะ เพราะถ้าสถานการณ์กลับกัน เป็นฉันเองก็คงรู้สึกผิดไปจนวันตายนั่นแหล่ะยังไงก็ตาม... วันถัดมาฉันก็เลยจำต้องแกล้งป่วย และเพราะไม่อยากให้มีคนเป็นห่วงมากเกินไปก็เลยกำชับกับอลิซและชาญว่าให้เก็บเป็นความลับ รวมถึงช่วยบอกให้โชตกับรินอย่ามาเยี่ยมด้วยเพราะไม่งั้น ถ้าได้ยินไปถึงหูของพ่อแม่รินกับโชตเข้าล่ะก็ คงได้