ด้านนอกที่ติดกับลำธารเล็กๆ กลุ่มของซูเหยาได้นำเสื่อผืนใหญ่มาปูอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอย่างร่มรื่น อากาศในช่วงนี้มีความเย็นอยู่บ้างในช่วงเช้า แต่พอช่วงบ่ายก็จะมีแดดออก ทำให้อากาศแปรเปลี่ยนเป็นอุ่นสบาย
“น้องสะใภ้นี่ฝีมือดีจริงๆ อย่างนี้ตัดเสื้อผ้าขายได้สบายเลย” ซูเหยาพูดชมซือซิงออกมาจากใจ หลังจากที่เธอได้วาดแบบเสื้อผ้าประยุกต์ เพื่อที่จะเข้ากับคนยุคนี้ออกมาให้ซือซิงเย็บ
“พี่สะใภ้กล่าวชมเกินจริงไปแล้วค่ะ นั่นเป็นเพราะแบบที่พี่เอาออกมาให้ฉันดูต่างหาก ก็เลยทำให้เสื้อตัวนี้ออกมาสวย
“เธอไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก ตามที่อาเหยาว่าไว้ไม่ผิดหรอกจ้ะ ฝีเข็มของเธอสวยงามและยังเท่ากันด้วย แล้วยังเย็บเร็วอีกต่างหาก” ฟางหรงพูดชมออกมา พรางลูบเสื้อที่สำเร็จตัวนี้ด้วยความหลงไหล
“ใช่ฉันเองก็เห็นด้วยกับทั้งสองคนนะ ต่อให้แบบสวยถ้าคนทำไม่มีความละเอียดประณีตความงามก็จะขาดไป” ลี่มี่ก็กล่าวออกมาบ้างเช่นกัน
หว่านชิงที่ได้เห็นลูกสาวและลูกสะใภ้เข้ากันได้ เธอก็ถึงกับน้ำตาซึม ‘ขอบคุณนะคะเจ้าแม่ ที่ช่วยให้อาเหยาได้กลายเป็นคนใหม่’ หลินหว่านชิงคิดในใจ พร้อมกับหันไปทางทิศตะวันตก ตามที่มีความเชื่อกันว่าเจ้าแม่จะอยู่ทางทิศนี้
ซูเหยาที่เห็นท่าทางของแม่แบบนี้ เธอคิดว่าแม่จะต้องขอบคุณอะไรเจ้าแม่หวังหมู่อีกอย่างแน่นอน
“พี่สะใภ้คะ ฉันสามารถขายเสื้อผ้าที่เย็บได้จริงๆ เหรอคะ” ซือซิงถามซูเหยาด้วยดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความหวัง
“ขายได้จ้ะ แต่ช่วงนี้เราจะขายของกันได้ถึงเดือนสี่ปีหน้านะ หลังจากนั้นเราค่อยมาว่ากันอีกที” ซูเหยายิ้มพร้อมกับพูดออกมา
ซือซิงแม้จะค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมถึงขายได้ถึงแค่เดือนสี่ก็ตาม แต่เธอก็ไม่คิดถามออกมา
เพราะเธอมั่นใจว่าตราบใดที่เดินตามที่พี่สะใภ้บอก เธอกับสามีจะต้องไม่ลำบากอย่างแน่นอน
ซูเหยารู้สึกพอใจกับซือซิงมาก ที่ไม่คิดถามอะไรออกมาให้มากความ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจที่จะช่วยทั้งผลักทั้งดันให้น้องสามีและน้องสะใภ้ประสบความสำเร็จโดยเร็วหลังการปฏิวัติ
“เสี่ยวผิงหนูกำลังทำอะไรคะ” ซือซิงถามเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งมองแม่ของพี่สะใภ้ตัดผ้าอย่างตั้งใจ
“หนูอยากหัดเย็บผ้าค่ะ เมื่อหนูทำได้หนูจะช่วยน้าเหยาหาเงินโดยการเย็บผ้าขาย พวกเราจะได้มีกินกันตลอด ไม่อดและลำบากอีก” เจ้าตัวน้อยตอบออกมาตามใจคิด
“โธ่เด็กน้อยของน้า ต่อไปนี้น้ารับรองว่าเราจะไม่อดอยากและลำบากเหมือนเดิมอย่างแน่นอน แต่หนูแค่จะต้องห้ามบอกใครรู้ไหมค่ะ” ซูเหยาดึงเด็กน้อยเข้ามากอดพร้อมพูดออกมา
“เมื่อไหร่พี่จะมีลูกน่ารักเหมือนเจ้าตัวน้อยนี่บ้าง” เสียงลี่มี่พูดออกมาอย่างท้อใจ ฟางหรงเมื่อได้ยินก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน
“เดี๋ยวพวกพี่ก็มีค่ะ ไม่เกินปีหน้าหรอก” ซูเหยาเมื่อเห็นอาการหม่นหมองของคนทั้งคู่เธอจึงเผลอพูดออกมา และเมื่อรู้ตัวจึงเอามือปิดปากของตนไว้
แต่เธอคิดว่าไม่น่าจะทันแล้ว เพราะดวงตาทั้งแปดคู่ได้มองมาทางเธอ นัยน์ตาสั่นระริกเปล่งประกายด้วยความดีใจและความหวัง
“เจ้าแม่บอกลูกมาอย่างนั้นเหรอ” หว่านชิงกระซิบกระซาบถามลูกสาว ซูเหยาก็ได้แต่เออออตามน้ำไป
“น้องสามีพูดจริงอย่างนั้นเหรอ โอ้ยพี่ดีใจ” ทั้งสองคนฉีกยิ้มเต็มใบหน้าด้วยความดีใจ
“พวกเธอนี่ อย่าเอะอะโวยวายไปนัก หากใครได้ยินมันจะไม่ดีเอาได้” หว่านชิงดุลูกสะใภ้เสียงเข้ม แต่ใบหน้าและแววตากลับยิ้มออกมาอย่างดีใจเช่นกัน
“น้องสะใภ้เองก็ไม่ต้องคิดมากนะ พรุ่งนี้พี่จะพาน้องสะใภ้กับน้องสามีไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล” ซูเหยาบอกกับซือซิงที่นั่งเหม่อ
“ซือซิงเป็นอะไรอย่างนั้นหรือลูกถึงต้องไปโรงพยาบาล” หว่านชิงถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“น้องสะใภ้ทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ใช่ไหมล่ะคะ หนูก็เลยคิดว่าควรจะไปตรวจร่างกายและปรึกษากับหมอ หากต้องการมีลูกว่าจะต้องบำรุงยังไงก็เท่านั้นแหละค่ะ ไม่ต้องกังวลไป” ซูเหยาพูดขึ้นมาให้ทุกคนฟัง
แม้ในใจจะรู้สึกกังวลอยู่บ้างถึงเรื่องของการมีลูกของซือซิง แต่เธอคิดว่ารีบพาไปปรึกษาหมอดีกว่า เรื่องของบำรุงเธอไม่ห่วงเลยสักนิด เพราะในมิติมีให้เต็มไปหมด
“ตะ.. แต่ฉันยังไม่มีเงินเลยนะคะ” ซือซิงพูดออกมาพร้อมก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกละอายใจ
“เรื่องเงินเธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจ้ะ เธอเชื่อพี่เถอะ รับรองว่าพี่จะทำให้เธอมีเงินได้อย่างแน่นอน จากงานฝีมือของเธอนี่แหละ” ซูเหยาพูดอย่างหนักแน่น
“ฉันเชื่อพี่ค่ะ” ซือซิงพูดตอบรับซูเหยาเสียงดังเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็เย็บต่อไปเถอะจ้ะ แล้วก็ควรจะเย็บชุดให้ตัวเองด้วย พี่เตรียมผ้าเอาไว้ให้แล้ว” ซูเหยาเอ่ยอย่างหยอกล้อ
คำพูดและการกระทำของซูเหยาก็ได้เรียกรอยยิ้มจากทุกคนขึ้นมา พร้อมกับที่ทุกคนก็ก้มหน้าก้มตาทำงานในมือต่อไป
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว