มู่หาน มู่อัน ได้พามู่จางเดินมาถึงบ้านผู้ใหญ่ฉีอัน ทางด้านฉินเจียวก็ได้ให้จิวเหลียนไปตามมู่ปิงมาเป็นพยานในครั้งนี้ด้วย
จิวเหลียนผู้ที่ชื่นชอบเห็นหายนะของผู้อื่น เธอจึงได้รีบเดินพุงกระเพื่อมกลับบ้านไปตามคำสั่งของแม่สามีตนทันที
“สามีคุณอยู่ที่ไหนคะ” เสียงจิวเหลียนที่ดัดเรียกสามีของตนเพื่อให้ดูอ่อนหวานได้ดังขึ้นเมื่อเธอได้เดินเข้าไปในบ้านที่แบ่งเป็นตะวันออกและตะวันตก
บ้านหลังนี้เป็นบ้านดินก็จริง แต่จัดว่าเป็นบ้านที่ใหญ่และดีกว่าผู้คนในหมู่บ้าน เนื่องจากสมัยก่อนพ่อของมู่จางเป็นชาวประมงที่หาของทะเลยากๆ ได้
เขาจึงได้นำเงินมาซื้อที่ดินและปลูกบ้านห้าห้องหลังนี้เอาไว้ ส่วนที่ดินก็แบ่งให้กับลูกทั้งสอง โดยที่ดินและบ้านมอบให้กับมู่จาง เนื่องจากแม่ของมู่จางไม่พอใจลูกชายคนโตที่หัวแข็ง
“คุณมีอะไร เรียกผมทำไม คนกำลังจะนอน” เสียงอันเกียจคร้านดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ไม้โยก ที่หันหน้าไปทางต้นแปะก๊วยที่ใบกำลังร่วงหล่น
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นนะสิคะ แม่สามีให้ฉันมาตามคุณไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน” จิวเหลียนก็จีบปากจีบคอพูดออกมาอีก
“เรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ แม่ไปทำอะไรอีก” มู่ปิงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้โยกของตนทันที
“แม่สามีกับพ่อสามีจะหย่ากันค่ะ เธอก็เลยให้ฉันมาตามคุณเพื่อไปเป็นพยาน” จิวเหลียนพูดขึ้นพร้อมกับตีไข่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าออกมา
“ว่าอะไรนะ หย่า แม่จะบ้าไปแล้วเหรอ ถ้าหย่ากับพ่อ แม่จะไปทำงานอะไร ทุกวันนี้ก็ได้เงินมาจากค่าแรงของพ่อทั้งนั้นแม่โง่หรือเปล่า” มู่ปิงสบถถ้อยคำหยาบคายออกมา
“แต่สามีคุณคิดดูให้ดีนะ พ่อของคุณตอนนี้ก็แก่มากแล้ว และอีกอย่างยังเพิ่งจะกลับมาจากโรงพยาบาลด้วยไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร แล้วเขาจะไปหาเงินมาได้ยังไง
เผลอๆ พวกเราอาจจะต้องรับเลี้ยงท่านไปตลอดชีวิตก็ได้ นี่โชคดีแค่ไหนแล้วที่เจ้าโง่มู่อันบอกว่าจะเป็นคนรับเลี้ยงเอง” จิวเหลียนพูดความคิดเห็นของตนออกมา
มู่ปิงเมื่อได้ยินสิ่งที่ภรรยาร่างอ้วนสมองหมูของตนพูด เขาจึงได้คิดตาม ก็เริ่มจะรู้สึกเห็นดีด้วย
“เจ้ามู่อันก็จะแยกบ้านด้วยอย่างนั้นเหรอ” มู่ปิงถามกับเมียของตนเรื่องน้องชายคนเล็ก ที่ไม่เคยเห็นเขาเป็นพี่ชายเลยสักครั้งออกมา
“ใช่ค่ะ” จิวเหลียนก็ตอบออกมาอย่างซื่อๆ
“แล้วเรื่องบ้านล่ะเธอรู้อะไรมาอีก บ้านหลังนี้จะต้องแบ่งให้มันด้วยหรือเปล่า” มู่ปิงที่เดินออกมากับจิวเหลียนถึงหน้าบ้านถามออกมาอีกรอบ
“แม่ของคุณบอกว่าบ้านหลังนี้จะต้องเป็นของคุณ เนื่องจากเธอจะอยู่กับคุณ พ่อของคุณจึงได้ขอเรื่องเงินแทน โดยแม่ของคุณจะยอมแบ่งเงินให้สิบห้าหยวน” จิวเหลียนพูดไปเดินไป
“นั่นลูกชายคนโตบ้านพวกเธอมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็รีบเข้ามาด้านใน จะได้ทำเรื่องให้เสร็จ” ฉีอันบอกกับคนสองกลุ่มที่ยืนอยู่หน้าบ้านให้เดินเข้ามาด้านในบ้านของตน เมื่อเขาเห็นคนของทั้งสองบ้านมาครบแล้ว
การแยกบ้านและการหย่าร้างของมู่จางกับฉินเจียวก็จบลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจิวเหลียนก็ควักเงินที่เธอนำติดตัวไว้ส่งให้กับมู่อันที่ยื่นมือรออยู่
“ผู้ใหญ่บ้านผมขอซื้อที่ดินด้วยครับ ขอแปลงที่ติดกับบ้านพี่มู่หานนะครับ สักสองหมู่” มู่อันมองเงินที่อยู่ในมือแล้วกัดฟันพูดขึ้นมา
ที่ดินสองหมู่แม้จะไม่มากนัก แต่ก็พอให้เขาปลูกบ้านและอยู่กับภรรยาได้อย่างไม่ลำบาก ตอนนี้เงินเขามีเพียงเท่านี้ซื้อที่ดินสองหมู่ก็สิบหยวน และไหนยังจะต้องปลูกบ้านอีก เขามองเงินที่อยู่ในมือสิบห้าหยวนจึงต้องประหยัดเอาไว้ก่อน
“ได้ วันนี้ฉันจะเดินทางเข้าอำเภอไปทำเรื่องทั้งหมดให้เลยก็แล้วกัน” ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้น
คนทั้งสองกลุ่มจึงได้แยกตัวกันไปคนละทาง มู่หานพาคนทั้งสองกลับมายังบ้านของตนที่สร้างเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
“พ่อกับมู่อันอยู่กันที่บ้านของผมไปก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรมากนักหรอก ตอนนี้เราก็แค่เริ่มชีวิตใหม่ของเราเองก็เท่านั้น” มู่หานปลอบพ่อที่กำลังทำหน้าเศร้าน้ำตาคลอ
“ปู่ครับ อาสาม น้าเหยาให้ผมมาตามไปกินข้าวเช้าครับ น้าเหยากับยายเตรียมเอาไว้แล้ว” เจ้าลูกชิ้นลูกใหญ่ที่เริ่มมีแก้มยุ้ยออกมาให้เห็น ได้เดินมาตามปู่และอาตามที่น้านางฟ้าของตนบอก
“ขอบใจนะ แล้วเสี่ยวเฟยกินแล้วหรือยังลูก” มู่จางถามหลานชายเสียงอ่อน พร้อมมองไปที่การแต่งตัวของหลานที่สะอาดมากกว่าแต่ก่อน ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ หากเขาไปเจอหลานชายข้างนอกก็มั่นใจได้ว่าเขาจำไม่ได้อย่างแน่นอน
“พวกผมกินมาจากที่บ้านโน้นแล้วครับ” เด็กน้อยตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำออกมาอย่างน่ารัก
“ทั้งสองคนนั่งเลยค่ะ นี่เป็นโจ๊กของพ่อสามีนะคะ เชิญกินกันตามสบายเลย” ซูเหยาพูดขึ้นหลังจากที่วางโจ๊กหมูก้อนใส่ไข่ลวกต่อหน้าของมู่จาง
กลิ่นหอมของโจ๊กพร้อมกับไอร้อนที่ลอยออกมา ทำให้มู่จางถึงกับอดที่จะกลืนน้ำลายของตนลงคอไม่ได้ โจ๊กชามนี้ช่างเป็นอาหารที่หรูหราสำหรับเขาเสียเหลือเกิน
มู่อันที่มองอาหารบนโต๊ะที่มีถึงสองจานกับซุปอีกหนึ่ง ก็รู้สึกแบบเดียวกับพ่อของตนในยามนี้เช่นกัน ไหนใครบอกว่าบ้านพี่สะใภ้ตกอับมันไม่ใช่เรื่องจริงเลยสักนิด
หมูผัดขิงใส่เห็ดหูหนูดำ ซุปกระดูกหมูใส่เก๋ากี้ ไข่กวนมะเขือเทศ อาหารบนโต๊ะนี้ทำไมมันช่างหรูหราเสียเหลือเกิน
“พี่รอง พี่สะใภ้อาหารพวกนี้มันจะไม่มากเกินไปเหรอครับ ผะ.. ผมกินแผ่นแป้งกับผักดองก็ได้ครับ” มู่อันกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก เพราะเขาเกรงว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้พี่รองของตน
“นายกินเข้าไปเถอะ ต่อไปก็เชื่อฟังซูเหยา พี่รับรองได้ว่าบ้านเราจะมีกินและอยู่ดีสุขสบายอย่างแน่นอน แต่เรื่องอะไรในบ้านพี่ขอแค่อย่าเอาไปพูดข้างนอกก็พอ” มู่หานบอกกับน้องชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พ่อรับปาก /ผมก็รับปากครับ” ทั้งมู่จางและมู่อันกล่าวออกมาพร้อมกัน
“ผมอิ่มมากเลยครับพี่ ต่อไปนี้จะให้ผมทำอะไรก็บอกมาได้เลย ว่าแต่ภรรยาของผมไปไหนแล้วครับ” มู่อันถามถึงภรรยาที่ยังไม่เห็นหน้าตั้งแต่เขากลับมา
“อาสะใภ้อยู่กับน้าเหยาและก็ป้าสะใภ้ทั้งสองครับ” เจ้าลูกชิ้นที่กำลังเล่นตัวต่อไม้อยู่ด้านข้างเป็นคนตอบคำถาม
“น้องสาวของลูกก็อยู่กับน้าเหยาด้วยเหรอครับ” มู่หานถามกับลูกชายที่กำลังสนใจเล่นของเล่นไม้อยู่
“ใช่ครับ” เสี่ยวเฟยตอบพ่อของตน พร้อมมองที่พ่อและสลับมองไปยังอา ปู่ เหมือนกับว่ามีใครจะถามอะไรเขาอีกหรือเปล่า
“พ่อกินยาก่อนนะครับ แล้วก็ไปพักผ่อนได้เลย ผมกับเจ้าสามจะไปช่วยพ่อตาสร้างบ้าน” มู่หานหลังจากได้ยินคำตอบจากลูกชายแล้วเขาก็บ่ายหน้ามาบอกพ่อ
“ได้ลูกไปเถอะ ไม่ต้องห่วงพ่อหรอก” มู่จางบอกกับลูกชาย
“เสี่ยวเฟย ช่วยดูแลปู่แทนพ่อด้วยนะครับ พ่อกับอามู่อันจะไปด้านนอกแล้ว” มู่หานบอกกับลูกชายตัวน้อยที่ได้หันหน้ามาสนใจเขาบ้างแล้ว
“รับทราบ ผมจะดูแลปู่เป็นอย่างดี พ่อไม่ต้องห่วงครับ” เด็กน้อยยืนขึ้นกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น
“ดีมาก เด็กดี” มู่หานเอามือหยาบลูบหัวของลูกชายตัวน้อยเบาๆ อย่างเอ็นดู
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว