ซิงเยว่ไม่รู้ว่าตัวเองถูกตีจนหมดสติไปตั้งแต่เมื่อใดและสลบไปนานเท่าไหร่ในความพร่าเลือนนางรู้สึกคล้ายมีหญิงสาวคนหนึ่งคอยดูแลประคมประหงมอย่างดี ในห้วงสติขาดๆ หาย ๆ นางคล้ายได้ยินกระแสเสียงถกเถียงกันในเรื่องบางอย่าง“เยว่เอ๋อร์กำลังจะทำให้แม่อกแตกตายใช่หรือไม่ มีอย่างที่ใด บุกรุกจวนผู้อื่นฉุดคร่าสตรีของเขามา”“ท่านแม่ สาวใช้ของหลิวไท่หยางผู้ที่ข้าไปลักพาตัวออกมา ความจริงแล้วนางมิใช่สตรีธรรมดา ไฉนถึงกลายเป็นสาวใช้ไปได้ เรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องรู้ จึงต้องการเข้าหานาง เพื่อสอบถามความจริงเท่านั้น ทว่าเมื่อไปถึงกลับเจอนางกำลังถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณ”“ต่อให้นางเป็นใครแล้วอย่างไร เป็นแค่สาวใช้ พวกเขามีสิทธิ์ลงโทษ เจ้าไม่มีสิทธิ์บุกรุกลักพาตัวนางมา”“สิทธิ์ของความเป็นคนอย่างไรเล่าท่านแม่ ซิงเยว่ผู้นี้คือนายหญิงของเหมืองแร่ทางใต้ นางมีนาเกลือมากมาย กระจายค้าขายหลายแคว้น ที่สำคัญนางเคยช่วยชีวิตข้าไว้ นางเป็นคนทะนงตน ย่อมต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ข้าไม่อาจอกตัญญูมองผู้มีพระคุณตกระกำลำบากจริงๆ”กระแสเสียงเหล่านั้นค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดซิงเยว่ก็สิ้นสติไปอีกครามิรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นคว
สองเท้าน้อยๆ จึงค่อยๆ ก้าวขึ้นหน้าอย่างช้าๆ“แค่รับโทษโบยก็จบเรื่องใช่หรือไม่?” ซิงเยว่ถามบ่าวหญิงผู้คุมกฎตอบเสียงเย็น “ถูกโบยย่อมดีกว่าถูกขายออกไปเร่ร่อนข้างนอกหรือถูกส่งให้พ่อค้าทาสเอาตัวไปปล่อยต่อที่หอนางโลม เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”ถูกขายออกไปเร่ร่อนข้างนอก เวลาเพียงครึ่งวันย่อมเอาชีวิตจางเหรินได้แล้ว ผู้อาวุโสคงหมดทางรอดชีวิตแน่ๆหากถูกส่งไปขายที่หอนางโลม เด็กน้อยเสี่ยวเม่ยยังบริสุทธิ์เกินกว่าจะย่างเท้าก้าวข้ามธรณีประตูของสถานที่เช่นนั้นด้วยซ้ำซิงเยว่พยักหน้า “ปิ่นชิ้นนั้นเป็นข้าที่ขโมยไปขายเอง พวกเจ้ากำลังกล่าวโทษคนผิดแล้ว”จางเหรินกับเสี่ยวเม่ยหันมองซิงเยว่พร้อมกัน พวกนางส่ายหน้าปฏิเสธซิงเยว่ส่งสายตาบอกว่าไม่เป็นไรนางก้าวเดินไปพร้อมบ่าวชายจนถึงตั่งยาวตัวหนึ่งที่มีไม้โบยวางอยู่พร้อมบ่าวชายตัวสูงใหญ่บ่าวหญิงร่างท้วมผู้คุมกฎแรกเริ่มคล้ายไม่ยินยอมเนื่องจากคำสั่งฮูหยินผู้เฒ่าต้องการกลั่นแกล้งอนุจาง ทว่าเมื่อพินิจใบหน้าของซิงเยว่จนละเอียด นางพลันจำได้ สตรีผู้นี้มิใช่สาวใช้คนโปรดของนายน้อยหลิวหรอกหรือ?รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันแสยะตรงมุมปาก เป็นเช่นนี้ก็ดี นางมีหลานสาวคนหนึ่งเดิมได้เป็
ซิงเยว่เดินตามผู้อาวุโสเงียบๆ แต่ละก้าวที่เดินมั่นคง ท่าทีนิ่งขรึม ดูสุขุมนุ่มลึก ดวงตาหงส์ทอประกายล้ำลึกหยั่งรู้ทุกความคิดของจางเหรินเป็นอย่างดีรักกันมากแล้วอย่างไร ผูกพันมาก่อนแล้วอย่างไร สุดท้ายก็แพ้พ่ายให้แก่สตรีผู้มาทีหลังอย่างฮูหยินใหญ่อยู่ดี มากกว่าสี่สิบปีกับสถานะสตรีอันเป็นที่รักของบุรุษแม้สุขใจ แต่ไหนเลยจะเทียบเท่าความทุกข์ตรมที่สุมทรวงในฐานะอนุ ซึ่งสูงกว่าสาวใช้แค่ระดับหนึ่งเช่นนั้นมิต้องเอ่ยถึงสาวใช้ห้องข้างเลยและนางก็จะไม่ดำรงตำแหน่งนี้เด็ดขาดซิงเยว่ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยจังหวะนั้นพลันมีเสียงแหลมสูงดังมาจากริมสวนไผ่ “พวกเจ้าเข้าไปจับตัวเสี่ยวเม่ยเดี๋ยวนี้!”ซิงเยว่ จางเหริน และเสี่ยวเม่ยได้ยินก็เบิกตากว้างเด็กหญิงนั้นแม้ตกใจทว่าสีหน้าที่ตื่นตระหนกนั้นกลับมีแววตาที่ยอมรับชะตากรรมอย่างอับจนหนทางอยู่ซิงเยว่มองอย่างใคร่รู้ สมองขบคิดไปต่างๆ นานาทันใดนั้นพลันกระจ่างเมื่อมองเห็นบ่าวหญิงร่างท้วมผู้เกรี้ยวกราดเดินอาดๆ เข้ามาพลางหยิบปิ่นหยกขึ้นชี้หน้า“เจ้าเด็กเสี่ยวเม่ย จำปิ่นหยกนี้ได้หรือไม่ จ้าได้มาจากร้านจำนำที่เจ้าแอบขโมยไปขายอย่างไรเล่า?”กล่าวพลางหันไปกำชับบ่าวชายสองคน
ซิงเยว่ยิ้มน้อยๆ ไม่กล่าวอะไร นางเห็นยาลูกกลอนแล้วพอเข้าใจขึ้นมารางๆ ท่าทางลับๆ ล่อๆ ของเสี่ยวเม่ยเป็นไปได้ถึงเก้าในสิบส่วนว่าเด็กหญิงอาจจะขโมยของมีค่าในจวนไปขายแล้วซื้อยาราคาแพงชนิดนี้มา“ต่อไปเจ้าอย่าใช้วิธีนั้นอีก” หญิงสาวกล่าวพลางล้วงเข้าไปในสาบเสื้อตน หยิบหยกเนื้อดีออกมาชิ้นหนึ่ง ยื่นให้เสี่ยวเม่ย “เจ้ารับไป หากครั้งหน้าต้องการใช้เงินซื้อยา เจ้าก็มาหาข้าเถอะ”เสี่ยวเม่ยนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอื้อมมือเล็กสั่นเทารับไว้ นางเองก็ไม่ชอบการขโมยของมีค่าในจวนไปขายเท่าไหร่ เพราะเป็นเรื่องอันตรายเกินไปเด็กหญิงผงกศีรษะ “ขอบคุณเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร”ซิงเยว่เอ่ยยิ้มๆ นางไม่ถามว่าเหตุใดไม่ไปเอ่ยปากขอเบิกยาหรือเบิกเงินเพื่อไปซื้ออย่างถูกต้อง เพราะคำตอบล้วนชัดเจนจากสภาพของคนป่วยไร้การเหลียวแลบนเตียงเอ่ยปากขอจนปากฉีกก็คงไม่ได้อยู่ดีกระมังหลังจากนั้นทุกวัน ซิงเยว่มักแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนคนป่วยและเด็กหญิงอาการของท่านป้าค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ยาที่ได้กินนับว่าได้ผลไม่เลววันนี้อากาศดี เสี่ยวเม่ยจึงพาท่านป้าออกมาเดินเล่นรับลมนอกเรือนหลังจากที่นอนซมในห้องหับนานนับเดือนท่านป้าอดีตอนุคนโปรดของนายท่านผู้เ
หลังเรือนของหลิวไท่หยางยามนี้ถูกโจวซู่ฉินยึดครองประหนึ่งมิใช่แค่เตรียมเกี่ยวดอง แต่แม่นางแซ่โจวคล้ายกลายเป็นสะใภ้เต็มตัวไปแล้วว่าที่แม่สามีอย่างจ้าวซินเจี๋ยชื่นชอบนางอย่างยิ่งทางฝั่งซิงเยว่ แม้มิได้รับการดูแลเฉกแขกคนสำคัญเพราะมีฐานะเป็นแค่สาวใช้ผู้หนึ่งของหลิวไท่หยางกระนั้นด้วยคำสั่งและการดูแลจัดการของโจวซู่ฉินที่หลิวฮูหยินมอบให้ ซิงเยว่จึงกลายเป็นสาวใช้ที่ว่างงานมากหลังจากปัดกวาดเช็ดถูห้องหนังสือของหลิวไท่หยางจนสะอาดทุกซอกทุกมุม นางจึงเลือกออกมาเดินเตร็ดเตร่ตรงป่าไผ่ทางฝั่งหลังจวน เนื่องจากละแวกนี้ไม่ค่อยมีคนอื่น นับว่าสงบอย่างหาได้ยากยิ่งครั้นแหงนหน้าหลับตารับสายลมเย็นที่โชยระเรื่อยคลอเคล้าเสียงเสียดสีของลำไผ่ ความรู้สึกคุ้นเคยชนิดหนึ่งพลันก่อเกิด นางรับรู้ได้ถึงความรู้สึก สุข สงบ เยือกเย็น ความคะนึงหวนระลึกถึงบางสิ่งซึมซาบอย่างลึกล้ำถึงกระดูกคล้ายมองเห็นป่าไผ่บนยอดผาสูงชันที่ไหนสักแห่งซิงเยว่หรี่ตาพยายามนึกให้ออกว่าป่าไผ่ยอดผาที่ใด ทว่ายังไม่ทันเพ่งสมาธิ ดวงตาหงส์ของนางพลันเหลือบไปเห็นสาวใช้ตัวน้อยผู้หนึ่งกำลังเดินลับๆ ล่อๆ ไปตามแนวไผ่สาวใช้ผู้นั้นอายุประมาณสิบปี รูปร่างผอม
เมื่อรถม้าคันที่หลิวไท่หยางนั่งอยู่ด้านในหายลับไปจากสายตา โจวซู่ฉินจึงหันมองสตรีที่นางเพิ่งถูกฝากฝังจากว่าที่สามี แววตาที่มองประเมินมีแต่ความกังขา หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุรุษสูงส่ง รูปโฉมงดงาม ความสามารถน่าทึ่งไร้ที่ติอย่างหลิวไท่หยางถึงได้พึงใจเพียงสาวใช้ต่ำต้อยนางหนึ่งคนอย่างเขาแต่งท่านหญิงสูงศักดิ์เป็นฮูหยินก็ยังได้โจวซู่ฉินรู้สึกว่าสหายไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างยิ่งแม้ใจคิดเช่นนั้นแต่สัจจะที่นางรับปากกับว่าที่สามีไว้ย่อมมิอาจเพิกเฉยหรือละเลยคนของเขาหญิงสาวหันไปสั่งสาวใช้คนสนิท “เจ้าไปเรียกซิงเยว่มาพบข้าที่เรือนรับอรุณ”“เจ้าค่ะ”มิใช่ว่ามองไม่ออกถึงสายตาดูแคลน ทว่าสิ่งนั้นมิใช่ประเด็นสำคัญที่ซิงเยว่ต้องใส่ใจ เรื่องที่นางสนใจคือคำถามที่นางต้องการคำตอบจากโจวซู่ฉินต่างหากเมื่อเดินมาพบอีกฝ่ายถึงเรือนรับอรุณ ซิงเยว่เพียงยืนนิ่งเพื่อเลือกรับฟังก่อนว่าโจวซู่ฉินเรียกนางมาพบทำไมยามนี้ภายในห้องมีเพียงสตรีสองนาง ไม่มีผู้อื่น จึงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมทั้งสิ้น“เจ้าคงรู้แล้วว่าไท่หยางฝากข้าให้ดูแลเจ้า”โจวซู่ฉินเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งจิบน้ำชาอยู่ครู่หนึ่ง ท่วงท่ากิริยาที่แสดงออกต่อซิงเยว่