ณ คฤหาสน์ตระกูลปรีดิวัฒน์
“พ่อเรียกผมมาทำไม” ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ทันทีที่เดินมาถึงห้องนั่งเล่น ปากหยักได้รูปจึงเอ่ยถามผู้เป็นพ่อพลางหย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม “พรุ่งนี้น้องจะไปฝึกงานที่บริษัท ดูแลน้องให้ดี” ประมุขของบ้านเอ่ยกำชับลูกชายเพียงคนเดียวของตน เพราะลูกพีชเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของเขา ฉะนั้นเจ้าลูกชายต้องดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี การที่หลานไปอยู่เมืองนอกเมืองนานาน อาจทำให้เธอไม่ค่อยคุ้นชินกับอะไรหลาย ๆ อย่าง ต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ลูกชายของตน “น้องไหน” คิ้วเข้มขมวดเป็นปม เขาเป็นลูกคนเดียว แล้วพ่อกำลังพูดถึงใครอยู่ “น้องลูกพีช ลูกคุณลุงราเชน” “เดี๋ยวนะ กลับมาแล้ว?” พอได้ยินชื่อคนที่ตัวเองต้องดูแล ร่างสูงถึงกับนั่งตัวตรง เขาจำได้ว่าเธอไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 16 ปี เมื่อยังเด็กเราทั้งคู่อาจสนิทกันมาก แต่พอโตขึ้นทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป เราทั้งสองไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน ต้องบอกว่าเธอสนิทกับเขาแค่คนเดียวถึงจะถูก “ใช่ แล้วหน้าที่ของแกคือดูแลน้องให้ดีระหว่างที่น้องฝึกงานอยู่ที่บริษัทเรา” อย่าคิดให้ใครมาแตะต้องหลานสาวเขาได้ ระหว่างการทำงานลูกชายของเขาต้องดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี ที่เขาต้องสั่งแบบนี้เพราะหลานไม่เคยผ่านการฝึกงานในบริษัทใหญ่ ๆ มาก่อน ถึงเธอจะเป็นคนหัวกะทิหัวไว แต่อย่าลืมว่ามันคือครั้งแรก แล้วเป็นการพบปะกับผู้คนที่ค่อนข้างหลากหลาย ฉะนั้นควรดูแลให้ดี “พ่อก็รู้ว่าผมไม่ค่อยมีเวลา” ส่วนตัวเขาไม่ได้มีงานแค่ในบริษัทนี้ แต่ยังมีงานที่ทำกับเพื่อน ไหนจะงานบริษัทอีกหลายแห่ง คงไม่มีเวลาไปนั่งสอนงานใครหรอกนะ อีกอย่างเลขาของพ่อก็อยู่ที่นั่นทำไมไม่ให้เลขาของท่านเป็นคนดูแลล่ะ แค่สอนงานแค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง อย่าทำให้เขาต้องลำบากหรืออึดอัดใจเลย “แกก็เอาเวลาจากตรงนั้นมาให้น้องสิ” “ก็คือจะให้มาทำให้ได้?” “พูดกับฉันก็มีหางเสียงหน่อย” พอเป็นเรื่องของลูกพีช ลูกชายเขามักมีท่าทีแปลกไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ปกติแล้วแผ่นดินไม่ใช่คนก้าวราว แต่ไม่รู้ทำไมกลับน้องถึงชอบทำเหมือนเกลียดตัวเองมากนัก “ผมนี่เหลือเชื่อพ่อเลย ทั้งที่รู้ว่าผมยุ่งตัวเป็นเกลียว แต่พอก็ยังให้ผมมาดูแลเด็กที่ไหนก็ไม่รู้” มันน่าเบื่อตรงที่เขาขัดไม่ได้ด้วยนี่สิ “นั่นมันน้องสาว แล้วแกก็เคยเล่นกับน้องมาก่อน อย่าพูดแบบนี้อีก” “นั่นมันสมัยเด็กไหมพ่อ” ผ่านมากี่ปีแล้วจะให้เขากลับไปจำใจนั่งเล่นขายของด้วยก็ใช่เรื่อง จะให้เขาเอาเวลาทั้งหมดมาทิ้งไว้กับผู้หญิงคนเดียวไม่ตลกไปหน่อยหรือไง เท่ากับว่าเขาต้องสูญเสียเงินและงานอีกมากมายไปในชั่วพริบตา แบบนี้พวกท่านยังต้องการอยู่ไหม “ทำตามที่ฉันบอกก็พอ” “เฮ้อ~ ก็คือผมต้องทำ” “แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เลิกยุ่งไปซะ” ในขณะที่ชายวัยกลางคนลุกขึ้นหมายจะเดินออกไป ไม่วายที่จะหันกลับมาสั่งลูกชายเสียงเหี้ยม หากลูกของตนยังไม่หยุดเลิกยุ่งกับผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้น ตัวเขาเองก็ขอไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะถือว่าที่ผ่านมาตัวเองใจดีมากแล้ว “ฝันดีไม่เกี่ยว” อย่าเอาบุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาอยู่ในบทสนทนา หากเมื่อไหร่ที่พ่อหรือแม่แตะต้องเธอแม้แต่ปลายเล็บ เขาก็ขอไม่รับประกันความปลอดภัยของหลานสาวท่านเหมือนกัน ไม่ว่าพวกท่านต้องการอะไรเขาทำให้ได้หมด ขอเพียงอย่างเดียว.. อย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาก็พอ เท่านั้นเอง.. “ถ้าไม่อยากให้ฉันแตะต้องก็ทำตามที่สั่งซะ” “แค่นั้นใช่ไหมที่ต้องการ” “อืม” “ก็ได้ ผมจะทำ” ถ้าในเมื่อมันคือความต้องการของท่าน เขาก็จะทำให้ แลกกับที่ท่านไม่ไปยุ่งกับคนของเขา “แผ่นดินลูกแม่” แล้วในขณะนั้นเอง.. หญิงวัยกลางคนก็เดินยิ้มเข้ามาสวมกอดชายหนุ่มด้วยท่าทีดีใจ หมับ “แม่ไปไหนมาครับ” อย่าบอกนะว่าแอบไปทำส่วนอีกแล้ว ดูสิเนื้อตัวมอมแมมไปหมด “แม่จะไปไหนได้ล่ะถ้าไม่ใช่ไปปลูกดอกไม้” ท่านชอบดอกมะลิมาก แล้วหลังบ้านก็เต็มไปด้วยดงดอกมะลิ ในยามที่มันผลิดอก กลิ่นของมันส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณบ้าน ซึ่งเป็นกลิ่นที่ได้สูดดมแล้วรู้สึกเบาสมอง ทำให้ผ่อนคลายเป็นที่สุด แล้วไม่ใช่แค่ตัวเธอที่ชอบ แต่เหล่าแม่บ้านรวมถึงคนอื่น ๆ ต่างก็ชื่นชอบในกลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้เช่นกัน “วันนี้ไม่ไปช้อปปิ้งเหรอครับ” “ไม่รู้จะไปซื้ออะไร” เพราะเมื่อวานเพิ่งไปช้อปปิ้งมาหมดไปเกือบ 10 ล้าน ชีวิตในแต่ละวันของเธอ ไม่ปลูกต้นไม้ก็ทำอาหาร หรือไม่ก็ไปช็อปปิ้งทำสวยเท่านั้น “วันนี้ผมไม่ได้ค้างนะ” เข้าชิงตอบก่อนที่แม่จะถาม “แล้วเมื่อไหร่ลูกจะมานอนที่บ้านกับแม่บ้าง” แผ่นดิน ชายหนุ่มวัย 33 ปี ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลมหาเศรษฐี ครอบครัวของเขาร่ำรวยอันดับต้น ๆ ทว่าเขากลับทำตัวเหมือนคนหาเช้ากินค่ำไปวัน ๆ แผ่นดินเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคมสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เขาจะไปสิงตัวอยู่ที่บริษัทเพื่อนมากกว่า งานตัวเองก็มีทำบ้างหลังจากเสร็จจากงานก็จะเข้าไปหาเพื่อนทันที เขารู้สึกเบื่อ ๆ ไม่รู้จะไปที่ไหนนอกจากที่นั่น เรื่องนิสัยส่วนตัว แผ่นดินเป็นคนค่อนข้างเดาความคิดได้ยาก ดูเข้าถึงง่ายแต่ไม่ง่าย ดูเหมือนจะอบอุ่นแต่ก็ไม่กับทุกคน หลายอย่างในตัวเขาที่หลายคนไม่ค่อยรู้ อะไรที่อยากให้รู้ก็จะได้รู้ และอะไรที่เขาไม่อยากให้รู้ก็จะไม่มีใครรู้ การเป็นเขามันไม่ได้ง่ายเสมอไป ยิ่งเราอยู่สูงมากเท่าไหร่ความกดดันมันก็สูงมากเท่านั้น อย่างเช่นที่เขากำลังเจออยู่ในตอนนี้ บางเรื่องที่เขาไม่อยากทำแต่เขาก็ต้องจำใจทำ เพราะมันคือสิ่งที่พ่อและแม่ต้องการ “ไว้ให้ผมว่างก่อน” “ตลอดแหละเราน่ะ” “แม่ก็รู้ว่าช่วงนี้ผมยุ่ง” “ก็ได้ ๆ แต่อย่าลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับแม่นะ” “ผมไม่ลืมครับ” “น่ารักที่สุดลูกชายแม่” “งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่า” “ทำไมรีบจังล่ะ” เธอเพิ่งจะได้กอดเองนะ ยังไม่ได้ทันถามอะไรลูกชายก็จะรีบหนีซะแล้ว น่าน้อยใจจริง ๆ มีหน้าที่แค่คลอดออกมาเท่านั้นสินะ คิดแล้วก็ได้แต่น้อยใจกับตัวเอง “ผมมีประชุมต่อครับ” ความจริงไม่มีประชุมอะไรทั้งนั้นแหละ เขาแค่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เลยอยากไปหาที่ปลดปล่อยสักหน่อย ปลดปล่อยในที่นี้ไม่ใช่ไปนอนกับผู้หญิง แต่คือการไปหาที่ดื่มเพื่อคลายเครียดเท่านั้น หรือไม่ก็ไปหาเพื่อน..หรือเปล่า? เรื่องผู้หญิงแน่นอนว่าผู้ชายต้องมีบ้าง แต่สำหรับเขาแล้วมันอาจไม่บ่อยขนาดนั้น ถ้าไม่ถูกใจหรือตรงสเปคเขาจะไม่มีทางเรียกมาเด็ดขาด และน้อยครั้งที่เขาจะเรียกผู้หญิงมาใช้บริการ “ก็ได้ค่ะ สู้ ๆ นะลูก” “ผมรักแม่นะครับ” “แม่ก็รักลูก” หลังจากที่ร่ำลากันเสร็จ ร่างสูงตัวเดินออกจากบ้านไป มีเพียงสายตาของผู้เป็นแม่ที่มองตามลูกชายตาละห้อย ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง ตั้งแต่ลูกชายเข้าไปทำงานในบริษัทอย่างเต็มตัว ลูกชายเธอก็แทบไม่มีเวลาว่างกลับมาทานข้าวกับพ่อกับแม่ที่บ้าน เอาแต่บอกว่างานยุ่ง ถามว่าน้อยใจไหมก็มีแหละ เรามีลูกชายแค่คนเดียวนี่ ถ้าไม่ให้คิดถึงลูกชายตัวเองแล้วจะให้ไปคิดถึงใครล่ะให้ตัวเอง“พี่เอามาฝาก” เขามองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้ จึงใช้สรรพนามที่เอาไว้เรียกเวลาอยู่ด้วยกันสองคน ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกตกใจจึงหันขวับมองไปรอบ ๆ ตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“แกล้งฝันอีกแล้ว” นี่แหละผู้หญิงที่พ่อเขาพูดถึงก่อนหน้านั้น เธอชื่อว่า 'ฝันดี' ฝันดีเป็นพนักงานในบริษัทที่เพื่อนเขาเป็นเจ้าของ และเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักคำว่า ‘รัก’ เขาพยายามตามจีบเธอมาหลายปีแล้ว ทว่าหญิงสาวกลับไม่มีท่าทีว่าจะใจอ่อนยอมเปิดใจให้เข้าไปอยู่ตรงนั้นของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก“เป็นคนขี้ตกใจไปซะแล้ว”“ก็ดูพี่ทำสิ”“อะไร ก็แค่แทนตัวเองว่าพี่เอง”“ปกติพี่พูดที่ไหนล่ะ” เขาจะพูดเฉพาะเวลาอยู่ข้างนอกต่างหาก พอมาพูดในบริษัทเธอก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา อย่าลืมว่าแผ่นดินเป็นใครมาจากไหน ไม่ใช่คนที่เธอจะมาพูดเล่นด้วยได้ เขาเป็นถึงเพื่อนสนิทของท่านประธานบริษัทที่เธอกำลังทำงานอยู่ หากล่วงเกินอีกฝ่ายเธอมีโอกาสถูกไล่ออกได้เลยนะ“คืนนี้ว่างไหม”“คืนนี้ฝันไม่ว่างค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธทันควัน พลางยิ้มอ่อนส่งมาให้“แล้วมีวันไหนที่ว่างบ้าง” เขาพูดด้วยคว
ณ คฤหาสน์ตระกูลปรีดิวัฒน์“พ่อเรียกผมมาทำไม” ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ทันทีที่เดินมาถึงห้องนั่งเล่น ปากหยักได้รูปจึงเอ่ยถามผู้เป็นพ่อพลางหย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม“พรุ่งนี้น้องจะไปฝึกงานที่บริษัท ดูแลน้องให้ดี” ประมุขของบ้านเอ่ยกำชับลูกชายเพียงคนเดียวของตน เพราะลูกพีชเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของเขา ฉะนั้นเจ้าลูกชายต้องดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี การที่หลานไปอยู่เมืองนอกเมืองนานาน อาจทำให้เธอไม่ค่อยคุ้นชินกับอะไรหลาย ๆ อย่าง ต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ลูกชายของตน“น้องไหน” คิ้วเข้มขมวดเป็นปม เขาเป็นลูกคนเดียว แล้วพ่อกำลังพูดถึงใครอยู่“น้องลูกพีช ลูกคุณลุงราเชน”“เดี๋ยวนะ กลับมาแล้ว?” พอได้ยินชื่อคนที่ตัวเองต้องดูแล ร่างสูงถึงกับนั่งตัวตรง เขาจำได้ว่าเธอไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 16 ปี เมื่อยังเด็กเราทั้งคู่อาจสนิทกันมาก แต่พอโตขึ้นทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป เราทั้งสองไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน ต้องบอกว่าเธอสนิทกับเขาแค่คนเดียวถึงจะถูก “ใช่ แล้วหน้าที่ของแกคือดูแลน้องให้ดีระหว่างที่น้องฝึกงานอยู่ที่บริษัทเรา” อย่าคิดให้ใครมาแตะต้องหลานสาวเ
ตึก ตึก“รอด้วยค่ะ!” เสียงที่ดังมาจากข้างหลัง เรียกสายตาผู้คนในละแวกนั้นให้หันมองด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับร่างสูงที่ยืนอยู่ในลิฟต์ เขาจึงเอื้อมมือไปกดไม่ให้ประตูปิดลงเพื่อรอเธอ“ขอบคุณค่ะ แฮ่ก~” เมื่อเข้ามาอยู่ด้านในตัวลิฟต์ ใบหน้าเปื้อนหยาดเหงื่อจึงหันไปเอ่ยขอบคุณ“ชั้นไหนครับ”“37ค่ะ” เมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงกดไปยังชั้นที่หญิงสาวต้องการ ซึ่งชั้นที่ทั้งสองกำลังขึ้นไปดันเป็นชั้นเดียวกัน ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวขึ้นไป ภายในลิฟต์ก็เกิดความเงียบ มีเพียงเสียงหอบหายใจของหญิงสาวดังเป็นระยะ“มาทำงานเหรอครับ” ก่อนที่ร่างสูงตรงหน้าจะเอ่ยถาม โดยที่ตัวเขายังคงหันหลังให้เธอ“เปล่าค่ะ ฉันแค่มาทำธุระน่ะค่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ มาทำธุระนี่เอง นึกว่าเป็นพนักงานที่นี่เสียอีก ดูจากการแต่งตัวไม่น่าจะใช้พนักงานแต่เขาก็ยังถามไปแบบนั้น น่าตลกชะมัดแล้วไม่นานลิฟต์ก็มาถึงยังชั้นที่หมาย ร่างอรชรก้าวออกจากลิฟต์ไปทันที และไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มแทนคำขอบคุณไปยังชายหนุ่มอีกคน เธอไม่ได้สนใจว่าเขาคนนั้นจะไปชั้นไหน ทำเพียงแค่หันหลังแล้วเดินจากไปเงียบ ๆเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นไปตามทางเดิน