ตลอดทางนี้ เพราะนั่งรถม้า จึงช้ากว่าตอนที่ไปกับฉู่จืออี้ด้วยการควบม้าอยู่พอสมควร กว่าจะถึงเมืองจี๋เสียงก็ผ่านไปถึงสองวันเต็มมู่ซ่างเสวี่ยมายืนรอต้อนรับอยู่หน้าโรงแรมด้วยตัวเองมู่หงเสวี่ยลงจากรถม้า แนะนำกับมู่ซ่างเสวี่ยว่า “ท่านผู้นี้ก็คือหลานชายของท่านย่าทวด”พูดพลาง ก็กระซิบขึ้นต่อหน้าหลินเย่ว์ว่า “ความสัมพันธ์กับเนี่ยนเนี่ยนไม่ดีสักนิด”ถ้าจะวัดกันตามมาตรฐานของ ‘การพูดกระซิบ’ เสียงนั้นถือว่าดังไปหน่อยไม่ต้องพูดถึงมู่ซ่างเสวี่ย แม้แต่หลินเย่ว์กับเฉียวเนี่ยนก็ได้ยินชัดถนัดเต็มสองหูหน้าหลินเย่ว์ถมึงทึงทันทีแต่มู่ซ่างเสวี่ยดูเหมือนจะชินกับนิสัยของมู่หงเสวี่ยอยู่แล้ว จึงยกมือคารวะหลินเย่ว์แล้วพาสองคนเข้าโรงแรม “ท่านเจ้าตระกูลจะมาถึงพรุ่งนี้ วันนี้พวกท่านพักผ่อนให้เต็มที่เถิด วันนี้ที่เมืองจี๋เสียงมีตลาดนัดพอดี คึกคักยิ่งนัก ไว้ช่วงเย็นออกไปเดินเล่นได้นะ”เฉียวเนี่ยนกล่าวขอบคุณกับมู่ซ่างเสวี่ยนางอยากออกไปเดินเล่นจริงๆ นั่นแหละตอนออกจากเมืองหลวง แม้จะพกเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมาด้วย แต่ตอนนี้อากาศเย็นลงทุกวัน อีกไม่นานคงจะเข้าสู่ฤดูหนาว แต่ทั้งนางกับหนิงซวงก็มีแค่เสื้อผ้าบางๆ
เห็นนางเป็นเช่นนั้น ฉู่จืออี้จึงถอนหายใจเบาๆหนึ่งที กล่าวว่า “เพราะวันนี้หลินเย่ว์เป็นห่วงเจ้า เจ้าถึงได้รู้สึกว่าตนเองพูดแรงไปหรือ?”เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ารู้สึกว่า สำหรับหลินเย่ว์กับจวนโหว ข้าควรจะต้องเกลียดถึงจะถูก แต่ตอนนี้ จวนโหวก็กลายเป็นสภาพนี้แล้ว หลินเย่ว์ก็เกือบตายเพราะข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองควรจะยังเกลียดอยู่อีกไหม”ได้ยินดังนั้น ฉู่จืออี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง “เจ้าน่ะ ชอบคิดมากเกินไปเสมอ”“ในโลกนี้ ไม่เคยมีอะไรที่เรียกว่าควรหรือไม่ควรเกลียด ต่อให้เป็นสะเก็ดแผลเก่าที่เลือดแห้งกรังไปแล้ว หากเจ้ารู้สึกเจ็บ มันก็คือเจ็บ”ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าควรหรือไม่ควร ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับว่านางสามารถปล่อยวางเรื่องในอดีตได้หรือไม่เท่านั้นหากเรื่องเหล่านั้น เมื่อนึกย้อนขึ้นมายังรู้สึกเจ็บอยู่ เช่นนั้นถึงจะยังเกลียด แล้วอย่างไรล่ะ?อย่างไรเสีย ที่จวนโหวกลายมาเป็นแบบทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่านางเป็นคนทำเสียหน่อยแต่นางกลับต้องทนรับความเจ็บปวดเหล่านั้น ความเสียหายเหล่านั้น ล้วนเกี่ยวข้องกับทุกคนในจวนโหวทั้งสิ้น!เมื่อฟังคำขอ
อันที่จริงก็ไม่อาจโทษมู่หงเสวี่ยได้ ที่จะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างตอนนั้นสมุนไพรหลายหีบ ตระกูลมู่บอกจะให้ก็ให้เลย บัดนี้ผู้นำตระกูลอุตส่าห์เร่งรุดมาจากที่อื่น บอกว่าจะมาพบหน้ากันสักครั้ง พวกเขากลับบ่ายเบี่ยงสารพัดข้ออ้างเฉียวเนี่ยนก็รู้สึกว่าเช่นนั้นช่างไม่เหมาะนักนางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ท่านพี่อย่าได้โกรธไป ท่านอ๋องอยู่ในฐานะแม่ทัพ ต้องบัญชาทัพ ไม่อาจออกจากค่ายได้ตามใจชอบ ส่วนตำแหน่งของข้านั้นมีความสำคัญน้อยกว่า เช่นนั้นให้ข้าตามท่านพี่ไปจะดีกว่า!”“ไม่ได้!” หลินเย่ว์เอ่ยห้ามทันควัน สีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเฉียวเนี่ยนก็มีแววดุดันอยู่บ้าง “เหตุใดเจ้าถึงตอบตกลงง่ายเช่นนี้? ถึงเขาจะเป็นคนตระกูลมู่แล้วอย่างไร? ตระกูลมู่จะไม่มีคนไม่ดีเลยหรือ? เจ้าตามเขาไป หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าจะให้ข้าตอบพ่อแม่อย่างไร?!”เฉียวเนี่ยนสีหน้าถมึงทึงลง “เมื่อครั้งก่อนเจ้าวางแผนสกปรกต่อข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนั้นคิดจะอธิบายอะไรกับใครบ้าง? ในเมื่อเมื่อก่อนไม่มี ตอนนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงอีก!”"เนี่ยนเนี่ยน!"ในที่สุดน้ำเสียงของหลินเย่ว์ก็แฝงความจนใจขณะเดียวกัน มู่หงเสวี่ยที่ยืนฟังการโต้เถียง
ทว่าหลินเย่ว์กลับเอ่ยขึ้น “เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าอายุมากกว่าข้า?”มู่หงเสวี่ยจึงเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีความเป็นไปได้นี้ จ้องมองหลินเย่ว์ พลางคิดว่าหลินเย่ว์ทั้งผิวคล้ำทั้งกำยำ ดูแก่กว่าเขาอยู่ไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเกิดเมื่อใด?”“……” หลินเย่ว์ไม่คิดจะตอบ เพียงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าสวมชุดอย่างนี้ ลอบเข้าค่ายทหารกลางดึก คิดจะทำอะไรแน่?”มู่หงเสวี่ยจึงคล้ายเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องสำคัญได้ มองไปที่ฉู่จืออี้ข้างๆ อีกครั้ง แล้วหันไปทางเฉียวเนี่ยน พูดว่า “โอ้ ลืมธุระไปเลย ข้ามาเพื่อส่งข่าว”ขณะพูดก็ล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอก แล้วยื่นให้ฉู่จืออี้กล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ท่านหัวหน้าตระกูลก็อยู่ที่แคว้นจิ้ง พอดีได้ยินข่าวจากพี่ใหญ่ว่าพบหลานสาวของท่านป้าทวดแล้ว ท่านจึงรีบเดินทางมา อยากจะพบพวกเจ้าในอีกสามวันข้างหน้า”ฉู่จืออี้มองข้อความในจดหมายแล้ว ก็พบว่าไม่ต่างจากที่มู่หงเสวี่ยกล่าว จึงยื่นจดหมายนั้นให้เฉียวเนี่ยน จากนั้นจึงเอ่ยว่า“ท่านหัวหน้าตระกูลมู่ต้องการพบเนี่ยนเนี่ยนกับหลินเย่ว์ ข้าพอเข้าใจได้ แต่เหตุใดถึงอยากพบข้าด้วย?”เขานึกไม่ออกชั่วขณะ ว่าทำไมในจ
นายกองหลินงั้นหรือ?เฉียวเนี่ยนจำได้ว่าหลินเย่ว์คือนายกองจึงเปิดม่านกระโจมและออกไปดูด้านนอก ก็พบว่าไม่ไกลนัก มีนักลอบสังหารในชุดดำคนหนึ่งถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนาด้วยเหล่าทหาร ส่วนหลินเย่ว์กำลังกุมแผลบนแขนขณะถูกคนประคองไปอีกทางนักลอบสังหารที่สวมชุดสีดำปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิดและดูตื่นตระหนกเล็กน้อยคบเพลิงที่อยู่ไม่ไกลส่องไปที่ใบหน้าของชายคนนั้น ทำให้เห็นได้รางๆเฉียวเนี่ยนอยู่ไกลออกไปและไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน แต่นางก็รู้สึกว่าร่างของชายคนนั้นดูคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูกครั้นก็เดินไปทางนักลอบสังหารช้าๆในที่สุดนักลอบสังหารก็สังเกตเห็นเฉียวเนี่ยน เขายกมือขึ้น "เนี่ยนเนี่ยน!"เสียงนี้...เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้ว ฝีเท้าก้าวเร็วขึ้นเล็กน้อยแต่ในตอนที่ใกล้จะถึงตัวนักลอบสังหาร หลินเย่ว์ก็ตะโกนห้ามไว้ "เนี่ยนเนี่ยน! อันตราย!"เฉียวเนี่ยนชะงักฝึเท้า เหลือบมองหลินเย่ว์ แล้วหันไปมองนักลอบสังหารอีกคราตอนนี้เมื่อระยะห่างใกล้กันมากขึ้น จึงมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นรูปลักษณ์ที่คุ้นเคยนี้...เฉียวเนี่ยนเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ "พี่ใหญ่?"พี่ใหญ่?หลินเย่ว์เบิกตากว้า
นางหยิบยาลูกกลอนจากอกเสื้อออกมา แล้วป้อนใส่ปากแพทย์ทหารลู่ยาเม็ดนั้นละลายทันทีที่เข้าสู่ปาก อาการปวดท้องก็ค่อยๆ บรรเทาลงแพทย์ทหารลู่แหงนหน้าขึ้น เสื้อผ้าเปียกโชก หอบหายใจแรง ทั้งตัวราวกับเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำหลังจากหายใจลึกอยู่หลายครั้ง แพทย์ทหารลู่จึงค่อยๆ ฟื้นตัว แล้วจึงหันไปมองเฉียวเนี่ยนช้าๆ “ท่านหญิงเฉียว เหตุใดจึงไว้ชีวิตข้าไว้?”เฉียวเนี่ยนกลับค้อมตัให้แพทย์ทหารลู่วอย่างจริงจัง “แพทย์ทหารลู่คือชายชาติทหาร เฉียวเนี่ยนผู้นี้นับถือนัก”ถึงขั้นยอมเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อปกป้องเพื่อนของตน สมควรแก่การยกย่องแพทย์ทหารลู่มองเฉียวเนี่ยน ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดเฉียวเนี่ยนกล่าวว่า “แต่ข้าก็อยากให้แพทย์ทหารลู่ให้โอกาสท่านอ๋องกับองครักษ์พยัคฆ์สักครั้ง พวกเขาไม่ใช่ปีศาจกระหายเลือดที่ฆ่าคนทั้งที่ยังไม่กระพริบตา แม้สนามรบจะโหดร้าย แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ทหารที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่คือพี่น้องสายเลือดเดียวกัน พวกเขาไม่มีวันพรากชีวิตพี่น้องเช่นนั้นโดยไร้หลักฐานแน่นอน!”เมื่อได้ยินดังนั้น แพทย์ทหารลู่ก็ยังคงมองเฉียวเนี่ยนอยู่โดยไม่เอ่ยอะไรแต่แววที่ฉายในดวงตากลับเปลี่ยนแปลง คล้ายกำลังไตร่