เนื้อแท้ของสตรีอัปลักษณ์เซี่ยเหยียนยืนอยู่ที่ลานวัด นางปลาบปลื้มใจเมื่อเห็นหลานฝาแฝดหญิงชาย จูหว่านต้านเทียนเป็นเด็กน่ารัก อีกทั้งใบหน้าและอากัปกิริยาเดินเหินล้วนทำให้ผู้มองมีความสุข“ซานเอ๋อ เจ้าเป็นเด็กใจร้ายต่อแม่ไม่เปลี่ยน” เซี่ยเหยียนเอ่ยจบแล้วต้องหัวเราะอีกคราเมื่อจูหว่านส่งยิ้มให้นาง พร้อมมอบขนมแป้งทอดไส้ไก่สับหน่อไม้ให้ด้วยชิ้นใหญ่ โดยไม่รู้ว่าตั้งแต่มาอยู่บนวัดแห่งนี้ คนเป็นย่ากินเจและถือศีลอย่างเคร่งครัด เซี่ยเหยียนตั้งใจมั่นว่าชีวิตที่เหลืออยู่จะอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวังหลวงอีก ดังนั้นยามนี้เซี่ย-เหยียนจึงมีฐานะเป็นเพียงสามัญชน “หลานย่าช่างมีจิตใจดี” นางว่าแล้วจึงลูบผมเด็กหญิงซึ่งตัวโตกว่าน้องชาย ทั้งแข็งแรง เสียงพูดดังกังวาน ท่าทางแม่นางน้อยเฉลียวฉลาด ดูเป็นผู้นำเกินวัย ซึ่งกล่าวไปแล้วหากจูหว่านจะเอาดีทางด้านการทหาร มู่ชิง-ซานคงสนับสนุนนางอย่างไม่คัดค้าน “ท่านย่า ข้ามีของมาฝากเช่นกัน” เด็กชายว่าแล้วจึงส่งปิ่นไม้ปักผมให้เซี่ยเหยียน มันเป็นปิ่นที่เขาซื้อมาจากมู่หรูซื่อนั่นเอง“หลานชายช่างเอาใจสตรีเก่ง” เซี่ยเหยียนว่าและจับปิ่นไม้พลิ
กระทั่งนางกัดเขาที่แก้มจนมู่หรูซื่อร้องโอดโอย ด้วยเลือดเขาไหลทะลักออกมา“นังบ้า!” มู่หรูซื่อเมื่อได้แผลเหวอะหวะจึงบันดาลโทสะ ทั้งตบทั้งถีบฟ่านเยี่ยฉีเท่าที่แรงเขาพอมี แต่มันไม่อาจทำให้นางได้รับอันตรายรุนแรงด้วยชายหนุ่มไร้วรยุทธ์ อีกทั้งแรงของเขายังน้อยกว่านาง“จะ...เจ้าจะทำอะไรลูกของเรา”ฟ่านเยี่ยฉีเอ่ยจบก็เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ นางมองมายังต้านเทียนเห็นเด็กชายมีใบหน้าคล้ายมู่หรูซื่อหลายส่วน อีกทั้งในแววตาเขาดูคล้ายบิดาของนางเหลือเกิน ซึ่งเต็มไปด้วยความสดใสและอบอุ่น“ลูกแม่...” นางเอ่ยจบจึงกวักมือเรียกต้านเทียนให้เข้าไปหา“ท่านจำคนผิดแล้ว” ต้านเทียนตอบ กระนั้นยังก้าวไปใกล้ๆ นางและพยายามปลอบใจฟ่านเยี่ยฉี“ช่างเป็นคนที่น่าสงสาร ท่านเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่” เด็กชายถามฟ่านเยี่ยฉี“แม่ไม่เป็นอะไร” นางว่าจบก็จับที่ท้องของตน พลางย้อนคิดถึงภาพความหลังที่เหมือนกับฝันร้ายยาวนานหลังจากถูกอี๋เซียงจับตัวไป นางถูกตัดหู กรีดหน้าจนตาข้างหนึ่งถลนออกมา สุดท้ายมันเน่าจนต้องควักทิ้ง พอนางฟื้นได้สติอีกครั้งก็รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ แต่ความยากลำบากที่ต้องหลบหนีศัตรูมากมายทำให้นางแท้งจากนั้นจึงกลายเป็นหญิงเสี
จางหมิ่นไม่คิดว่าเมื่อครู่ที่ออกตามหาหมูแคระให้จูหว่านจะทำให้ต้านเทียนหายตัวไป แต่เมื่อหาเด็กชายอยู่เกือบชั่วหนึ่งก้านธูปดับ ก็มั่นใจว่าเหตุการณ์นี้ไม่ชอบมาพากล อีกทั้งเหล่าองครักษ์ยังมารายงานว่า คุณชายน้อยอาจถูกใครบางคนลักพาตัวไปเมื่อมู่ชิงซานทราบข่าวเขาไม่ได้ตำหนิใคร เพียงแต่ให้กระจายกำลังตามหาลูกชาย ส่วนจูหว่านที่ก่อเรื่องนางเอาแต่นิ่งเงียบ ด้วยรู้ว่าบิดากับมารดากำลังร้อนใจเรื่องต้านเทียนฟ่านรั่วเจี๋ยสังหรณ์ใจไม่ดี กระทั่งนางเดินไปตามตรอกเล็กๆ ก็ได้ความว่ามีคนเห็นต้านเทียนถูกคนขายเครื่องประดับที่แต่งตัวเหมือนขอทานพาตัวไป“ท่านยายมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด”“แน่นอน ข้ากับหลานเห็นเต็มสองตา คนพวกนั้นเหมือนขอทานเร่ร่อนตอนแรกจะแจ้งเจ้าหน้าที่มาไล่แล้ว แต่เห็นว่าภรรยาของเขาน่าเวทนา ข้าเลยยอมให้นั่งขายของใกล้ๆ กัน”“พวกเขามีหน้าตาและแต่งตัวเช่นไร”หญิงชราเล่ารายละเอียดที่นางพบเห็นให้ฟ่านรั่วเจี๋ยฟัง และเมื่อรับรู้หญิงสาวก็ใจหาย“เป็นพวกเขาจริงๆ แต่เหตุใดถึงได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนั้น”“เจี๋ยเจี๋ย...พวกเขาก่อกรรมมามิน้อย เจ้าสงสารได้แต่อย่าใจอ่อนให้อีก มิเช่นนั้นอาจเป็นเจ้าที่ต้องถูกพวกเขาทำร
พ่ายแพ้เพราะตัวเจ้าเองห้าปีผ่านไป การเดินทางไกลครั้งนี้สร้างความสุขและเสียงหัวเราะแก่ครอบครัวเล็กๆ ของมู่ชิงซาน เขาอยากไปเยี่ยมมารดาและบิดาซึ่งตอนนี้ได้มอบบัลลังก์ให้แก่มู่จื้อถิงปกครองแคว้นต้าหลางเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งตัวเขาเห็นด้วย ไม่ได้ติดขัดสิ่งใด ก่อนหน้านี้เขาไปร่วมพิธีสำคัญในการแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ด้วยหากไม่ได้พาฟ่านรั่วเจี๋ยกับสองแฝดติดตามไปเพราะทั้งคู่ยังเล็ก“เหนื่อยหรือไม่เจี๋ยเจี๋ย”ฟ่านรั่วเจี๋ยส่ายหน้า ถึงจะงีบหลับอยู่บ่อยๆ ด้วยลูกน้อยมักซุกซนจนนางต้องคอยดูแล แต่มันคือความรู้สึกที่หญิงสาวชอบ“เหนื่อยน้อยกว่าการเลี้ยงดูเป็ดน้อยอย่างท่านหลายเท่านัก”“ไม่นะ สามีไม่ใช่เป็ดน้อย ตอนนี้โตกว่าเดิมมาก โตจนทำให้เจ้ามีไข่เป็ดกับหมูตัวอ้วนมาให้ตีก้นแทนสามีแล้วอย่างไรเล่า”คนเป็นภรรยาหัวเราะชอบใจ มู่ชิงซานเป็นบุรุษที่เอาอกเอาใจนางเหลือเกิน นับว่าความลำบากที่เคยมีก่อนหน้าถูกทดแทนด้วยความรักจากชายคนนี้ อีกทั้งลูกๆ ของเขาที่นางให้กำเนิดล้วนเป็นเด็กน่ารักเฉลียวฉลาด“ผู้เป็นภรรยาอยากพักข้างหน้าสักหน่อย และเด็กๆ คงอยากกินอาหารด้วย” นางบอกเขา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อย ของกินในรถม้าอาจไม่
ฟ่านเยี่ยฉีเริ่มหน้ามืดด้วยเลือดยังไหลไม่หยุด ยามนี้การที่นางจะเอ่ยคำใดออกมาช่างยากเย็น ลิ้นค่อยๆ แข็ง อีกทั้งหนาวสั่นทั้งร่าง“อย่าทำข้า” นางรวบรวมกำลังแผดเสียงร้องแหบพร่าออกไป เมื่อเห็นว่ามือสังหารกำลังจะฟันดาบลงที่ข้อมือซ้ายของนาง“เจ้าอยากเป็นลูกอกตัญญูรึ”“ชะ...ใช่ ข้าไม่ต้องการทำชั่วอีก เสด็จแม่บังคับให้ข้าทำเรื่องเลวร้ายตลอดมา”“เป็นข้ารึที่ทำร้ายเจ้า หึๆ”ฟ่านเยี่ยฉีที่ใกล้จะสลบฝืนร่างกายของตน นางจำต้องประกาศความคับแค้นในใจตน“ท่านบังคับให้ข้าวางยาเสด็จพ่อ และพูดให้ร้ายต่อสนมหรงจื่อ”“สารเลว โป้ปดเก่งนัก ข้ารึจะทำเยี่ยงนั้น” อี๋เซียงกระชากผมบนศีรษะฟ่านเยี่ยฉีอย่างแรง “มันคือแผนของท่านที่บีบข้าให้ต้องลงมือ” ฟ่านเยี่ยฉีตัวสั่นกว่าเดิมนางมองเห็นภาพบิดาในยามนั้น เขาอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ดี ไม่ได้รักเอ็นดูนางเท่าที่ควรด้วยเห็นว่าเป็นลูกสาว แต่นับว่าเอาอกเอาใจมิน้อย หากอี๋เซียงมักจะเป่าหูนางว่าต่อไปหากนางมีน้องชาย บิดาย่อมทุ่มเทความรักให้แก่ท่านอ๋องเหล่านั้นฟ่านเยี่ยฉีกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายของอี๋เซียง นางเติบโตขึ้นด้วยจิตใจพิกลพิการ ตรงกันข้ามกับการเป็นหญิงงามล่มเมือง ซึ
มู่หรูซื่อไม่ได้ทุกข์ใจอันใด แม้จะถูกลากตัวให้ขึ้นรถม้าอีกคัน แต่เป็นฟ่านเยี่ยฉีที่ขวัญเสียและคลุ้มคลั่งจนถูกชายเหล่านั้นจี้จุดทำให้สลบไปผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยามทั้งคู่จึงถูกโยนไปยังกระท่อมแห่งหนึ่ง ภายในสะอาดสะอ้าน ไม่ได้มีข้าวของมากมาย แต่สิ่งที่ชวนให้น่าตระหนกคือกลิ่นเหม็นคล้ายซากศพซึ่งลอยอยู่ในสายลมดวงตาเรียวมองไปรอบๆ ตัว ยามนี้มู่หรูซื่อล่วงรู้ว่าสตรีที่ปลอมเป็นย่าของเขาคืออี๋เซียง นางช่างร้ายกาจสมกับเป็นมารดาของฟ่านเยี่ยฉีอึดใจต่อมา ชายหนุ่มต้องย่นจมูกก่อนจะไอแห้งๆ ติดกันอี๋เซียงก้าวเข้ามาในห้องเล็กๆ ใบหน้าที่แท้จริงเมื่อไม่ได้ใส่หน้ากากมีความคล้ายฟ่านเยี่ยฉีอยู่ถึงเจ็ดส่วน เพียงแต่ดวงตาเจือด้วยความอาฆาตแค้น อีกทั้งร่างกายของนางยังแผ่ไอสังหารราวกับพวกใช้มนตร์ดำ“ลูกรัก...แม่ได้ข่าวว่ากายงดงามของเจ้ามีนางพญาหนอนกู่อาศัยอยู่”ฟ่านเยี่ยฉีตื่นจากภวังค์แล้วหวีดร้องอย่างหวาดผวา เมื่อถูกคนของอี๋เซียงบีบแก้มบังคับให้มองผู้เป็นมารดา“ไม่...นางอัปลักษณ์รั่วเจี๋ยแค่หลอกข้า มันไม่มีนางพญาหนอนกู่ ปะ...เป็นแค่การเล่นปาหี่” คราแรกฟ่านเยี่ยฉีแจ้งแก่ใจว่านางถูกจางหมิ่นฝังหนอนร้ายใส่ฝ่ามือของต