ไร้วาสนา หากไม่ไร้ฝีมือ เก่งกาจเลื่องชื่อ นางคือสตรีผู้ ‘ขย่ม’ บัลลังก์ !! ฟ่านรั่วเจี๋ย รู้ดีว่าบ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะคับขัน แผ่นดินถูกรุกรานโดยอีกฝ่ายมีแม่ทัพใหญ่ เขาเป็นถึงชินอ๋องแห่งแคว้นต้าหลาง มู่ชิงซาน และถูกขนานนามว่า ‘อ๋องปีศาจหรือหมาป่าแห่งรัตติกาล’ คนผู้นี้กระหายสงคราม เป็นบุรุษที่ผีเห็นยังหวั่น ทว่าโชคชะตากลับพลิกผัน เมื่ออ๋องปีศาจต้องตกอยู่ในกำมือหญิงอัปลักษณ์ เขากลายเป็น ‘เจ้าเป็ดน้อย’ ความคิดอ่านเหมือนเด็กที่ยังไม่รู้ความ และเรียกฟ่านรั่วเจี๋ยว่า ‘มารดา’ ภายใต้เหตุการณ์แสนประหลาดนี้ นางจะเลือกชำระแค้นด้วยการสังหารศัตรู หรือกักขังเขาไว้ให้เป็นบุตรชายกำมะลอ แต่รู้ตัวอีกที...ฟ่านรั่วเจี๋ยก็แจ้งใจว่า ความอัปลักษณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของนาง คือสิ่งที่อ๋องปีศาจปรารถนาอยากครอบครอง!
view moreฟ่านรั่วเจี๋ย รู้ดีว่าบ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะคับขัน แผ่นดินถูกรุกรานโดยอีกฝ่ายมีแม่ทัพใหญ่ เขาเป็นถึงชินอ๋องแห่งแคว้นต้าหลาง มู่ชิงซาน และถูกขนานนามว่า ‘อ๋องปีศาจหรือหมาป่าแห่งรัตติกาล’ คนผู้นี้กระหายสงคราม เป็นบุรุษที่ผีเห็นยังหวั่น
ทว่าโชคชะตากลับพลิกผัน เมื่ออ๋องปีศาจต้องตกอยู่ในกำมือหญิงอัปลักษณ์ เขากลายเป็น ‘เจ้าเป็ดน้อย’ ความคิดอ่านเหมือนเด็กที่ยังไม่รู้ความ และเรียกฟ่านรั่วเจี๋ยว่า ‘มารดา’ ภายใต้เหตุการณ์แสนประหลาดนี้ นางจะเลือกชำระแค้นด้วยการสังหารศัตรู หรือกักขังเขาไว้ให้เป็นบุตรชายกำมะลอ
แต่รู้ตัวอีกที...ฟ่านรั่วเจี๋ยก็แจ้งใจว่า ความอัปลักษณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของนาง คือสิ่งที่อ๋องปีศาจปรารถนาอยากครอบครอง!
บทนำ
ณ แคว้นหมิง ฟ่านรั่วเจี๋ยออกมาเก็บสมุนไพรเพื่อปรุงตำรับยาสูตรลับ พร้อมตามหาแมลงเต่าทองกับด้วงกว่าง ยามนี้นางอยู่ห่างจากกำแพงเมืองพอสมควร หญิงสาวเพลิดเพลินใจอยู่นานกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงม้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
เมื่อสืบเท้าไปข้างหน้าเพื่อดูว่าเกิดสิ่งใด หัวใจพลันหล่นวูบไปอยู่ตรงปลายเท้า ภาพที่เห็นคือหายนะครั้งใหญ่ในชีวิต สองมือเรียวงามชื้นไปด้วยเหงื่อ และการเคลื่อนไหวของชายฉกรรจ์เหล่านั้นซึ่งประจักษ์ต่อดวงตากลมโตส่งผลให้สมองขาวโพลนชั่วขณะ
ชีวิตที่อยู่อย่างระแวดระวังภัยมาโดยตลอดนับแต่มารดาสิ้นใจในสภาพ‘คนหมู’ ซึ่งถูกทำให้ตายอย่างอนาถด้วยการตัดหู ปาก จมูก รวมถึงมือและเท้า แล้วโยนลงกองอาจม ถึงนางจะยังเด็กในช่วงเวลานั้น แต่เสียงร้องของมารดายังกรีดก้องในหัวยามนึกถึง ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฟ่านรั่วเจี๋ยจึงมิอาจไว้ใจผู้ใด
และสถานการณ์ตรงหน้านี้นางคาดคะเนว่าคือภัยร้ายต่อคนในแคว้นหมิง แน่นอนมันย่อมส่งผลกระทบถึงนางด้วย ตอนนี้กองกำลังของทหารผู้มาเยือนมีมากจนนับไม่ถ้วน ธงประจำตัวสีดำมีอักษรสีแดงโลหิตโดดเด่นซึ่งแจ้งชัดว่าผู้นำทัพเป็นถึงชินอ๋องแห่งแคว้นต้าหลาง เขาคือชายผู้ที่ถูกขนานนามว่า ‘อ๋องปีศาจหรือหมาป่ารัตติกาล’ คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ราวแปดฉื่อ[1] คือชายผู้กระหายสงครามที่ผีเห็นยังหวั่น โดยเล่าขานกันว่า เขาดื่มเลือดและกัดกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร!
มู่ชิงซาน คือชื่อของเขา เพียงแค่เอ่ยถึงฟ่านรั่วเจี๋ยก็ขนลุกไปทั้งสรรพางค์กาย และนางได้ยินผู้คนโจษขานถึงความโหดเหี้ยมของเขามาช้านานชินอ๋องผู้นี้ต้องการประกาศศักดาของแคว้นต้าหลาง เขาหวังครอบครองแคว้นหมิง แผ่นดินที่มีอารยธรรมมายาวนานหลายพันปี อีกทั้งการแพทย์เจริญก้าวหน้า นับเป็นขุมทรัพย์ของอีกเจ็ดแคว้นที่เหลือ
วันนี้นางโชคร้ายเหลือเกินที่ได้เห็นชายตัวโตนั่งอยู่บนหลังม้าศึก เขาสวมหน้ากากเหล็กซึ่งตอกสลักเป็นรูปหัวหมาป่า ดูดุดันน่าเกรงขาม ความสงสัยใคร่รู้ไหลวนอยู่ในหัวฟ่านรั่วเจี๋ยจนก่อเกิดความเครียดมหาศาล เหตุใดมู่ชิงซานจึงยกกำลังมาที่นี่ ด้วยมีข้อตกลงระหว่างเจ็ดแคว้นว่าห้ามมิให้ยึดครองแคว้นหมิง พร้อมให้อิสระในการปกครองตนเองโดยไม่ต้องขึ้นตรงต่อแคว้นใด
จากนั้นความรู้สึกเย็นเยียบก็เข้าปกคลุมจิตใจหญิงสาว หากเกิดศึกสงคราม นางจะเอาตัวรอดอย่างไร แผ่นดินที่นางเกิดอ่อนด้อยเรื่องการศึกกว่าทุกแคว้น นอกจากนั้นพืชผักและสมุนไพร รวมถึงสัตว์หลายชีวิตที่นางเลี้ยงไว้ อาจถูกจับไปเป็นของบรรณาการแก่เหล่าทหารเลวต่างบ้านต่างเมืองเพียงแค่คิดนางก็ครั่นคร้ามใจ
สองขาของฟ่านรั่วเจี๋ยรีบก้าวหนีกลิ่นอายชั่วร้าย นางกึ่งก้าวกึ่งวิ่งอย่างรวดเร็ว กระทั่งเจียนถึงปากถ้ำเล็กๆ มันคือทางลับเข้าสู่ตำหนักซึ่งเป็นที่อยู่ของตน เป็นห้วงเวลาเดียวกันที่จู่ๆ มีร่างหนึ่งเซถลาเข้ามาปะทะนางก่อนอีกฝ่ายจะเสียหลักล้มพับลงต่อหน้า
หัวใจหญิงสาวหล่นหาย ฟ่านรั่วเจี๋ยมองร่างดังกล่าวด้วยความประหลาดใจ ชายผู้นี้สูงเพรียว มีผ้าดำปกปิดใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ กระนั้นดวงตาดำขลับกับคิ้วเรียวสวยได้แจ้งชัดว่าเขางามกว่าบุรุษทั่วไป เมื่อเขาค่อยๆดึงผ้าปิดหน้าออก ฟ่านรั่วเจี๋ยก็เหมือนถูกสะกดจุดให้นิ่งค้าง
ริมฝีปากบางของเขาเป็นกระจับงาม จมูกโด่งเป็นสัน พิศแล้วชวนให้หลงใหล ผิดแต่ยามนี้ใบหน้าเขาไร้สีเลือด มันขาวซีดราวกับได้รับอันตรายเจียนจะทำให้สิ้นชีพ
“ชะ ช่วยข้าด้วย แม่นาง ข้ามิอาจตายอย่างสูญเปล่า”
หญิงสาวนึกชั่งใจ คราแรกอยากก้าวหนี แต่ด้วยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บจึงไม่อาจเพิกเฉย หากผู้ใดต้องการมีชีวิตและไม่สมควรตาย นางคงต้องยื่นมือช่วยเหลือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูก็ตาม
“หากช่วยท่าน ข้าจะมีความผิดหรือไม่” ฟ่านรั่วเจี๋ยถามออกไป แน่นอนนางย่อมต้องการคำตอบที่น่ารับฟัง
“แม่นาง ได้โปรดจงเห็นแก่ชีวิตผู้คน อย่าให้มีใครต้องล้มตายเลย รีบนำป้ายหยกนี้ไปส่งให้ถึงมือชินอ๋องชิงซาน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินการ!!”
เขาเอ่ยจบจึงกระอักเลือดออกมา และยามนี้เขาตกอยู่ในเงื้อมมือของสตรีซึ่งไม่ใช่พระโพธิสัตว์หรือเทพเซียน หากนางคือ...ฟ่านรั่วเจี๋ยอัปลักษณ์แห่งตำหนักเย็น!
[1] แปดฉื่อ = 181.6 - 184.8 เซนติเมตร
กระทั่งช่วงหัวค่ำ หมอตำแยกับจางฉียังไม่กลับมา เป็นยามนั้นที่ฟ่านรั่วเจี๋ยอดทนไม่ไหว นางหวีดเสียงดังลั่นและเหงื่อแตกท่วมร่างหยวนซางเดินวนไปมารอบๆ ปากถ้ำ เขาส่งคนออกไปตามหมอตำแยและจางฉี ซึ่งสิ่งที่ทราบในเวลาต่อมาทำให้เขาตกใจ“พอท่านป้าเข้าไปในบ้านหลังนั้นก็มีควันขึ้น และเสียงดังเหมือน...เอ่อ ปืนใหญ่”“ระเบิดเยี่ยงนั้นรึ” หยวนซางไม่คาดคิดว่าหมอตำแยจะมีศัตรูที่ไหน“ใช่แล้วกุนซือหยวนซาง” จางฉีเอ่ยจบสีหน้านางก็ซีดสลด นางคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องน่ากลัว ตอนแรกยืนพูดคุยกับหลานของหมอตำแยที่เป็นหนุ่มน้อย พอเกิดเหตุร้ายขึ้นเหล่าองครักษ์ก็ได้สั่งให้นางระวังตัว“ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นที่แม่น้ำมีสาวๆ มาซักผ้า บ้างก็ตักน้ำกลับบ้าน ข้าสงสัยอยู่หรอก แต่ไม่ได้สังเกตสิ่งใดเป็นพิเศษ ส่วนองครักษ์ที่ตามไป พวกเขาช่วยสาวชาวบ้านขนน้ำและพูดคุยกันตามประสาคนหนุ่มคนสาว”“เรื่องนี้มีเงื่อนงำน่าสงสัย อย่างไรเราต้องระวังตัว” หยวนซางกล่าวเสียงขรึมจากนั้นหยวนซางจึงฟังรายงานจากองครักษ์ซึ่งเข้าไปตรวจสอบระเบิดและพบว่าหมอตำแยเสียชีวิตพร้อมสามีของนาง กระนั้นยังโชคดีที่หมู่บ้านนี้มีหมอตำแยอีกคนที่เพิ่งเดินทาง
มิได้เป็นเพียงมารดาฟ่านรั่วเจี๋ยไม่อยากให้คนในหมู่บ้านเล็กๆ ที่นางมาอาศัยต้องรับเคราะห์กรรมไปกับนาง หากคนที่ปองร้ายรู้ว่านางหลบอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้อาจมีผู้บริสุทธิ์ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้นนางจึงแข็งใจหลบไปอยู่หุบเขาที่มีชื่อว่าเผิงกวน ซึ่งด้านในมีถ้ำลึกและกว้าง อากาศก็ปลอดโปร่งเย็นสบายหุบเขาเผิงกวนอยู่ห่างออกไปราวๆ ห้าลี้ โดยจางหมิ่นพบสถานที่แห่งนี้ในตอนที่นางออกตามหาตือเมี่ยว ถึงแม้ถ้ำที่หุบเขาจะไม่สะดวกสบายเช่นจวนชินอ๋อง แต่ก็เป็นสถานที่ซึ่งนับว่าปลอดภัยมาก อีกอย่างด้านนอกเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีน้ำตกและลำธารใส พร้อมบ่อน้ำพุร้อนอยู่เหนือขึ้นไปเมื่อฟ่านรั่วเจี๋ยคิดอย่างถ้วนถี่ นางคาดว่าสามารถคลอดลูกที่นี่ได้ จวบจนร่างกายแข็งแรงจึงจะออกเดินทางไปยังเมืองฝูหนานตามที่มู่ชิงซานวางแผนไว้“พบอาเมี่ยวหรือไม่” ฟ่านรั่วเจี๋ยถามหยวนซาง แต่เขายังไม่มีความคืบหน้าอะไร จึงเพียงแต่ยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับมา“กุนซือหยวนซางไม่ต้องกังวล อาเมี่ยวเป็นหมูที่ฉลาด คงพลัดหลงไปไม่ไกล อย่างไรข้าฝากให้ตามหามันด้วย แต่ทั้งหมดนี้คงขึ้นอยู่กับฟ้าดิน หากได้พบกันอีกย่อมนับว่ายังมีวาสนาต่อกัน”“อาซ้อ…เชื่อข้าเถิ
“หรูซื่อ ดูเหมือนว่าวันนี้คนที่ต้องคุกเข่าให้แก่เด็กน้อยเช่นข้าย่อมต้องเป็นเจ้า”เมื่อเอ่ยจบ ทหารของเกาเจียวหั่วจึงกระจายกำลังโอบล้อมคนของมู่หรูซื่อ“ถ้ายังอยากมีศีรษะอยู่บนหัว จงปล่อยหมิงอ๋องเสีย” แม่ทัพเกาแจ้งความประสงค์“อยากได้ตัวเขาก็จงก้าวเข้ามา อย่ามัวแต่ร้องเสียงดังน่ารำคาญ”“จวิ้นอ๋อง ท่านรู้หรือไม่ ลูกดอกที่ข้ายิงออกไปเมื่อครู่มันอาบยาพิษและยาพิษนั้นเป็นสิ่งสกปรกอยู่สักหน่อย”ได้ยินเช่นนั้นมู่หรูซื่อจึงครั่นคร้ามใจ เขาไม่คิดว่าตนจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ถูกลอบกัดยังไม่พอ เกาเจียวหั่วยังกล้าข่มขู่เขาด้วยความประสงค์ร้าย“แคว้นหมิงมีแม่ทัพขี้ขลาดเช่นนี้ด้วยรึ ถึงขั้นใช้อาวุธต่ำช้าโจมตีผู้อื่น”“ฮ่าๆ เกรงว่าทั้งหมดนี้ข้าทำด้วยตัวข้าเอง มิเกี่ยวกับกองทัพ และลูกธนูนั้นข้าตั้งใจมอบให้แก่จวิ้นอ๋องเป็นพิเศษ เพื่อตอบแทนที่ท่านกล้าคิดทำร้ายแคว้นหมิง ทั้งที่พวกเราให้เกียรติท่านเสมอมา!” เกาเจียวหั่วเอ่ยจบก็หมายเข้าไปประชิดตัวมู่หรูซื่อ แต่เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่บุรุษรูปงามคิดแผนหนีเอาตัวรอด ระเบิดควันจากมือสังหารจึงทำงานทันทีแม่ทัพหนุ่มหัวเสียหนัก และรีบสั่งคนให้ออกติดตามอีกฝ่ายเพื่อช่ว
ฟ่านเฉิงซีแทนที่จะกลัวหรือส่งเสียงขอร้อง แต่ยามนั้นดวงตาเขากลับจ้องมู่หรูซื่อเขม็ง“อาฆาตข้าเยี่ยงนั้นรึ คนที่ท่านควรโกรธเกลียดสมควรเป็นเยี่ยฉี หาใช่มู่หรูซื่อคนนี้” กล่าวจบ เขาก็ปล่อยปลายมีดออกจากใบหน้าของฮ่องเต้น้อยและไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ คนที่ถูกจับกุมอยู่พลันถ่มน้ำลายออกมาจนถูกใบหน้างดงามของมู่หรูซื่อเมื่อถูกกระทำอย่างหยามเกียรติ มู่หรูซื่อก็โกรธแค้นอย่างหนัก จึงตั้งใจใช้มีดในมือแทงเข้าส่วนสำคัญในร่างกายของฟ่านเฉิงซี แต่เป็นตอนนั้นที่มู่ชิงซานหันไปส่งสัญญาณให้หยวนปิงยุติงิ้วที่แสนน่าเบื่อหน่ายลงเสียช่วงเวลาเดียวกัน มีดบินเล่มหนึ่งถูกเขวี้ยงออกมา มันมีจุดหมายที่ชายเสื้อของมู่หรูซื่อ ด้วยความที่หยวนปิงต้องการเพียงสกัดไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายฟ่านเฉิงซี จึงเป็นการทำให้มู่หรูซื่อตกใจ และถอยหลังห่างจากฟ่าน-เฉิงซี“จวิ้นอ๋อง...เพื่อความปลอดภัย โปรดระวังผู้ร้ายที่ดักซุ่มอยู่” เสียงมือสังหารแจ้งต่อมู่หรูซื่อ“พวกมันเป็นใครกัน!” มู่หรูซื่อครั่นคร้ามใจ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนของฟ่านเยี่ยฉี เช่นนั้นย่อมเป็นกองทัพเกาเจียวหั่ว หรือไม่ก็หน่วยองครักษ์ของพี่รอง มู่ชิงซาน“พี่รอง! เป็นท่านที่ลอบ
หมิงอ๋องเจ้าสำราญมู่ชิงซานยืนมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้าบนเนินเขาเตี้ยๆ ผู้ที่อยู่ข้างเขาคือหยวนปิง องครักษ์หน่วยวิหคเพลิง ซึ่งถูกเรียกกลับมาใช้งานหลังจากปลอมตัวปะปนอยู่ในแคว้นหมิงได้พักใหญ่ยามนั้นดวงตาคมกริบของหมาป่ารัตติกาลมองหมูแคระตัวอวบอ้วนที่เดินดมสิ่งต่างๆ การเคลื่อนไหวอันคุ้นตา ทำให้มู่ชิงซานอมยิ้มอย่างมีความสุข เขาคิดถึงภาพต่างๆ ในหนหลัง คาดว่าตอนนี้ผู้เป็นนายคงกำลังต่อว่าเขาไม่หยุดปาก หรือไม่คงถึงขั้นเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งเขาอยู่เป็นแน่แท้ ทว่ายามนี้เขามีอีกหนึ่งภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ จากนั้นจะรีบตรงไปหานาง และรับขวัญลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกหมูแคระสีขาวแซมดำที่แสนจะมีเนื้อหนังจู่ๆ ก็วิ่งเร็วจี๋ตรงไปเบื้องหน้า พอมันพบสิ่งที่ต้องการจึงหยุด ก่อนยกสะโพกสูง หางเล็กๆ ชี้ขึ้นสั่นไหวแรงๆ แสดงให้เห็นว่ากำลังพึงใจต่อสิ่งที่ค้นพบอึดใจต่อมาพลันมีอีกร่างโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ หนุ่มน้อยผู้นั้นสวมชุดมอซอสีเทาทึบ ผิวพรรณของเขาราวกับหยกเนื้อดีสีขาวบริสุทธิ์ คิ้วกระบี่พาดเฉียงโดดเด่น จมูกโด่งสวย ดวงตาคู่สีดำจดจ้องหมูแคระเขม็ง ท่าทางของเขาเหมือนได้พบสมบัติล้ำค่า“ฮ่าๆๆ สวรรค์เมตตา ข้า
นับวันครรภ์ของฟ่านรั่วเจี๋ยยิ่งใหญ่ขึ้น จนขณะนี้นางได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เป็นเวลาเกือบสามเดือนเศษ เหล่าองครักษ์หน่วยวิหคเพลิงมิได้ปรากฏให้คนทั่วไปเห็น บ้างปลอมตัวเป็นคนค้าขายของป่า หรือบัณฑิตตกยาก กระทั่งขอทานก็มี ดังนั้นฐานะของฟ่านรั่วเจี๋ยจึงเป็นเพียงฮูหยินที่มาอาศัยหมู่บ้านแห่งนี้ และระหว่างทางพบกับโจรร้ายจึงต้องซ่อนตัวสักพักชาวบ้านในเมืองลับตาแห่งนี้ล้วนอัธยาศัยดี ส่วนมากทำอาชีพหาของป่าและอยู่อย่างสันโดษ หลายคนรู้ว่ามีหญิงสาวตั้งครรภ์มาพักอาศัยที่บ้านร้าง นางดูเป็นคนใจกว้าง เพราะแบ่งปันอาหารให้ผู้อื่นอยู่เสมอจึงพากันมาเยี่ยมเยียนหยวนซางกลายเป็นพี่ชายของฟ่านรั่วเจี๋ย ตอนแรกเขานึกขำมาก แต่พอสวมบทบาทนี้เพื่อตบตาทุกคนก็เริ่มสนุก จางหมิ่นกับจางฉีเป็นหญิงรับใช้ตามเดิม บางคราองครักษ์หาไก่ป่ากับกวางมาได้ ฟ่านรั่วเจี๋ยจึงสั่งให้สองฝาแฝดจัดการนำมาปรุงรสแล้วตากแดดทำเป็นเนื้อแห้ง จากนั้นแจกจ่ายกันอย่างทั่วถึง“มีข่าวส่งมาจากอ๋องซานหรือไม่”ฟ่านรั่วเจี๋ยขยับตัวอย่างลำบาก ได้จางฉีช่วยประคอง ยามนี้ครรภ์ของนางโตมาก หลายครั้งลูกดิ้นแรงจนนางไม่กล้าออกไปไหนไกลๆหยวนซางยิ้มแหย เขาไม่ได้รับการ
Mga Comments