“พวกมันจริงๆ ด้วยขอรับ” หนึ่งในคนที่ร่วมโต๊ะเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งหันมองไปยังกลุ่มคนที่เดินลงจากชั้นบน ม่อเหลียวใช้เพียงหางตาชำเลืองมอง ก็เห็นกลุ่มคนซึ่งมีรูปลักษณ์ ที่บ่งบอกถึงเชื้อสายเผ่าพันธุ์ ระหว่างคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาในตอนนี้ และกลุ่มคนที่ลงมาจากชั้นบน ว่ามาจากบ้านเมืองเดียวกัน ชายหนุ่มวางมือบนต้นขาของคุณชายน้อย พร้อมขยับตบเบาๆ เป็นการบอกให้เชื่อใจเขา วันนี้เขาและคุณชายน้อย ได้ออกมาสืบหาข่าวของเจ้านายอีกสองคน ซึ่งเดินทางติดตามมาในภายหลัง “นายน้อยไม่ต้องกังวลไป ข้าน้อยจะไม่ให้พวกมันได้แตะต้องท่าน กับคุณชายผู้นี้อย่างแน่นอนขอรับ” ตู้ฮั่นยืนยันหนักแน่น ทั้งคำพูดและแววตา มันเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่กระนั้นม่อเหลียวก็ไม่เคยคิดที่จะวางใจ เพราะถ้าเขาคือคนผู้นั้นจริง นั่นก็เท่ากับเขากำลังพาตนเอง ก้าวเข้าสู่สงครามอันดุเดือด เขาติดตามผู้เป็นนายทำการค้า และเป็นผู้คุ้มกัน มีหรือจะไม่รู้ว่าเวลานี้มีแคว้นใดบ้าง ที่กำลังมีปัญหาภายใน ที่ยังยากจะแก้ไขให้ลงตัว และการที่ตัวเขาถูกนำมาทิ้งตั้งแต่ยังเล็ก นั่นก็เท่ากับความสงบสุขในบ้านเมือง ไม่มีเลยนั่นเอง
“เจ้าเด็กผีนี่ สิ่งใดเจาะปากมาให้พูดกัน” หญิงสาวบ่นอุบ ทว่าหญิงสาวอีกคน กับชายที่มีหนวดเครารุงรัง กลับพากันหัวเราะคิกคักชอบใจ “กรรมช่างรวดเร็วทันใจข้าเหลือเกิน หึๆ” หญิงสาวใบหน้าหวานละมุน ทว่ากลับมีรูปร่างสูงใหญ่ราวบุรุษ ได้หัวเราะชอบใจ ก่อนจะยกน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างสำราญ ใครใช้ให้เจียงอี้หลิง จับเขาแปลงโฉมเป็นสตรีเล่า ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายนัก เขาเป็นถึงประมุขน้อย กลับต้องมาแต่งกายเป็นหญิง เพื่อลักลอบเข้าเมืองของตัวเอง ส่วนตัวต้นคิดก็ถูกนินทาระยะเผาขน ช่างเป็นการเอาคืน โดยที่เขาไม่ต้องลงมือให้เปลืองแรง “แบบนี้ดีแล้ว” หญิงสาวเอ่ยกับคนที่นั่งขำนางอยู่ แม้การแปลงโฉมของท่านอาจารย์จะแนบเนียนแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรประมาทใดๆ ทั้งสิ้น บางทีคนที่คุ้นเคยกับชายหนุ่ม อาจจดจำท่าทางของเขาได้ เช่นที่พี่ม่อเหลียวจดจำท่านลุงอู๋และอี้หยางได้ แน่นอนไม่มีใครคาดคิด ว่าประมุขน้อยแห่งหุบเขาพิษ จะกล้าแต่งกายเป็นหญิง ออกมาเดินอวดโฉมเยี่ยงนี้ อีกเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ก็จะครบกำหนดการเผชิญหน้ากับฉินชวง ฉินชวงไม่มีทางได้หัวของสวี่เทียนมา และคงต้องคิดตลบหลั
“เชื่อข้าเถอะ แค่นี้พี่ม่อเหลียวจัดการได้ไม่คณามือเขาหรอกขอรับ”เจียงอี้หยางยังคงยืนยันหนักแน่น ด้วยรู้ถึงฝีมือและนิสัยของว่าที่พี่เขยดี แค่รอให้แมงเม่าบินเข้ากองไฟไปอีกสักตัวสองตัว และเหมือนจะบินไปเพิ่มอีกแล้วสองตัว “ขอรับ” แม้เขาอยากที่จะลุกไปดูให้เห็นด้วยตา แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เพราะเขายังไม่อยากให้นายน้อย หลุดหายไปจากสายตาอีกครั้ง ลานกว้างหลังร้าน ม่อเหลียว ยืนมองชายหนุ่มที่หมายจะใส่ยาในอาหาร กำลังทุรนทุรายด้วยพิษของตนเอง ชายหนุ่มในชุดดำใช้สองมือ กุมลำคอที่แสบร้อนเอาไว้ ความทรมานนี้ทำไมมันเกินกว่าพิษ ที่เขาตั้งใจใส่ในอาหาร มันมิใช่ยานอนหลับชนิดรุนแรงหรอกหรือ ที่สำคัญไปกว่านั้น เสี่ยวเอ้อและคนงานในร้าน ที่เดินผ่านไปเมื่อครู่ กลับไม่ได้ให้ความสนใจ ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาเลย ราวกับเขาที่กำลังคุกเข่าทรมานเจียนตายอยู่นี้ เป็นเพียงอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น “เงินถึง...ทุกอย่างก็สามารถเป็นไปตามที่ต้องการเสมอ” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นไม่ไกลจากชายชุดดำ คำพูดนี้เสมือนมีดนับหมื่นเล่ม เสือกแทงเข้ากลางใจเขาก็มิปาน เขาไม่อยากเ
แต่ในเวลานี้ทั้งคู่ไม่มีเวลา ที่จะใส่ใจสหายได้เลย ดาบในมือตวัดฟาดฟันเข้าหาชายหนุ่ม ผู้เป็นทายาทแห่งหนานอย่างดุดันและไม่ลดละ จังหวะนั้นเสี่ยวเอ้อ ได้ถือจานชาลาเปาผ่านมาทางนั้นพอดี หมับ! ม่อเหลียวคว้าชาลาเปามาลูกหนึ่ง ก่อนที่เสี่ยวเอ้อจะรีบเร้นกายหายไป มุมปากหนาบิดขึ้นน้อยๆ ก่อนที่เขาจะใช้สันมือ กระแทกเข้าที่ลำคอของหนึ่งในสอง ที่พุ่งเข้าโรมรันอยู่กับเขา “อัก!” ชายชุดดำใช้มือข้างหนึ่งกุมลำคอ พร้อมกับพยายามอย่างยิ่ง ที่จะเปล่งเสียงออกมา ทว่ามันกลับไม่เป็นผล หวืด! ฉึก! แต่ยังไม่ทันที่จะยกดาบขึ้นตั้งรับ ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยอามรามตกใจ พลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ชายชุดดำอีกคนถึงกับผงะถอยไปหลายก้าว ด้วยภาพตรงหน้า มันเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด ตะเกียบคู่หนึ่งแทงเข้าไปในดวงตาของสหายทั้งสองข้าง ปากก็ถูกยัดเอาไว้ด้วยชาลาเปาร้อนๆ ที่ยังมีควันลอยกรุ่นออกมาให้เห็น “อยากเห็นว่าลูกกำพร้าเยี่ยงข้า มีเมตตาแค่ไหน พวกเจ้ามองได้ชัดเจนดีหรือยัง” ปึก! ชายที่ตอนนี้เสียดวงตาทั้งสองข้าง ถูกผลักออกให้พ้นทางของผู้พูด แน่นอนว่านี่แค่การทักทายเท่านั้น หากคนพวกนี้อย
“เหอะ! มีแค่นี้เองรึ! แล้วทำเป็นมาบอกจะจ่ายให้มากกว่าคุณชายคนเมื่อครู่” “ได้โปรด...เจ้าเอาเงินนั่นไป แล้วตามท่านหัวหน้าให้ข้าที” เถ้าแก่สะบัดมือเล็กน้อย เสี่ยวเอ้อได้เดินหายไปยังทิศทางภายในร้าน ขอแค่เงินมางานก็เดินเสมอ ส่วนเสี่ยวเอ้อคนอื่น ได้จัดการกับศพของชายอีกสองคน พร้อมกับนำน้ำมาล้างคราบเลือด ทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว ราวกับมันคือเรื่องที่ทุกคนช่ำชองกันดีอยู่แล้ว “ที่ไหนๆ ก็ย่อมมีเรื่องที่ต้องทำ หากเขามาแล้วไม่จ่ายเงินให้ข้า เรื่องอื่นใดไม่ต้องมาเอ่ยกับข้าให้เสียเวลา” คำพูดของเถ้าแก่ชัดเจนยิ่งนัก ว่าหากไม่มีเงิน ชีวิตของเขาจะต้องตาย ใต้คมดาบของชายเจ้าของโรงเตี๊ยม ตามสินจ้างของทายาทแห่งหนาน ที่จ่ายไปเพื่อเก็บกวาดพวกเขาทั้งสามคน “เจ้าไม่ต้องห่วง ท่านหัวหน้าของข้า ย่อมต้องจ่ายเจ้าอย่างงามแน่นอน”แม้ไม่มั่นใจว่าจะเป็นเช่นนั้นไหม แต่อย่างน้อยก็ยื้อลมหายใจของเขา ออกไปอีกสักหน่อยในตอนนี้ ภายในห้องอาหาร ม่อเหลียวเดินกลับมายังโต๊ะอาหาร โดยไม่ลืมที่จะเหลือบตามองไปยังหญิงสาวชาวเมืองหยินกวง ที่นั่งอยู่อีกโต๊ะไม่ห่างกัน ก่อนจะนั่งลงเ
เรือนพักรับรอง จวนเจ้าเมืองหลี่ มู่ไฉอ้ายก้าวเคียงข้างฉู่เมี่ยว โดยที่สามีและน้องชายของเขา เดินนำหน้าไปตามทางเดิน แววตาเย่อหยิ่งนั้นไม่ได้วอกแวกมองไปทั่ว เยี่ยงคนไม่รู้มารยาท ทว่านางกลับเชิดหน้ามองตรง ก้าวตามสามีไปด้วยท่วงท่าของนางหงส์ และนางไม่ลืมที่จะกำชับฉู่เมี่ยว ให้ทำตามนางเช่นกัน ในฐานะน้องสาวบุญธรรมขององค์หญิง ต้องสูงส่งไม่แพ้กัน ในเมื่อมีคนรู้ตัวตนก็ต้องเป็นคนที่น่ายำเกรงเข้าไว้ และดูเหมือนความเย่อหยิ่งนี้ของนาง จะได้รับสายตาเหยียดๆ จากสตรีในจวนเจ้าเมือง ทว่านางกลับไม่ได้คิดเอ่ยปาก แสดงความไม่พอใจ เช่นเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ที่เมื่อใดก็ตามที่ได้รับสายตาเช่นนี้ จากคนที่มีอำนาจลดลั่นลงมา คงสั่งควักลูกตาหรือบั่นคอไปแล้ว แต่สำหรับนางนั้น นางรอได้เสมอ ที่จะทบต้นดอกในคราเดียวไปเสียเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา “พี่สะใภ้ทำไมสาวใช้จวนเจ้าเมือง จึงได้มองเราด้วยสายตาเช่นนี้เล่าเจ้าคะ” ฉู่เมี่ยวอดที่จะเอ่ยถามพี่สะใภ้ไม่ได้ ก็ในเมื่อคนเราไม่รู้จักกัน แต่อย่างไรพวกนางก็คือแขก อีกทั้งเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ไยสาวใช้ของจวนเจ้าเมืองเล็กๆ คนหนึ่ง จึงอาจห
“ฉีอันหนิง คารวะท่านราชบุตรเขย องค์หญิงเจ้าค่ะ” บุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมืองหลี่ ย่อกายลงอย่างงดงาม สมกับบุตรตรีขุนนาง ที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี “คารวะท่านราชบุตรเขย องค์หญิงเจ้าค่ะ” หญิงสาวอีกสองนาง และบ่าวไพร่ที่ยืนเรียงราย ต่างรีบพากันทำความเคารพแขกของท่านเจ้าเมือง ซึ่งเวลานี้ท่านเจ้าเมือง ได้ขอตัวแยกไปสะสางงาน ให้เสร็จก่อนงานเลี้ยงต้อนรับในค่ำนี้ “คุณหนูฉี เชิญตามสบาย” ต้วนอี้หลาง เอ่ยปากอนุญาตตามมารยาท ก่อนจะหันไปประคองเอวคอดของภรรยา ที่ก้าวขึ้นมาเคียงข้าง ส่วนชายหนุ่มสวมหน้ากาก ได้ถอยลงไปยืนเคียงข้างหญิงสาวอีกคน “ขอบคุณท่านราชบุตรเขย เอ่อ...ข้าน้อยขอแนะนำตัวอีกครั้งนะเจ้าคะ ข้าน้อยเป็นบุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมือง ฉีอันหนิง ส่วนนี่คือน้องสาวคนรองของข้า ฉีอันผิง และน้องสาวคนเล็กฉีอันนาเจ้าค่ะ” หญิงสาวแนะนำน้องสาวทั้งสอง ด้วยน้ำเสียงและท่าทางขัดเขินเล็กน้อย ใครกันจะไปคิดว่าราชบุตรเขย จะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ อีกทั้งสายตาและรอยยิ้ม ยังดูอบอุ่นยิ่งนัก ต่างจากองค์หญิงไฉอ้าย ที่ดูเย่อหยิ่งจองหองจนเกินไป “เรากับน้องส
ตลาดชายแดนตะวันออก ณ ตรอกเล็กๆ ขอทานหญิงในชุดมอซอ กำลังพยายามคลานหนี จากการถูกทำร้าย ตุบ! ตับ! ไม้ท่อนพอดีมือ ตีลงบนแผ่นหลังผอมแห้งอย่างไร้ปราณี หญิงสาวเจ็บร้าวเจียนตาย ทว่าก็มิอาจทำสิ่งใดได้เลย ขอทานตัวเหม็นเยี่ยงนางหรือ จะสู้ลูกหลานของขุนนางได้ “เจ้ามันหนังเหนียวนักนะอี้หรู ผ่านมาหลายปี เจ้ายังไม่ยอมที่จะตายไปเสียที” จางหย๋าชิน พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชิงชัง นางวางใจมาตั้งหลายปี ว่าอดีตภรรยาของสามี จะตายไปแล้วพร้อมลูกในท้อง แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังชะตาไม่ขาด มีชีวิตรอดมาได้จนทุกวันนี้ “ข้ายอมมอบทุกอย่างให้เจ้าแล้ว ไยยังต้องตามติดทำร้ายข้าอยู่อีกเล่า” หยางอี้หรู ถามภรรยาใหม่ของสามี สตรีผู้ช่วงชิงแม้แต่ตัวตนของนาง เพียงเพราะนางถูกกล่าวหา ว่าเป็นลูกที่มารดานำมาสวมรอย เพื่อให้ฐานะฮูหยินใหญ่มั่นคง พอมารดาสิ้นใจ นางก็ถูกขับออกจากสกุล สามีที่เคยรักใคร่ ก็ยื่นหนังสือหย่าให้อย่างมิคิดใยดี ปล่อยนางที่กำลังตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด ต้องออกมาเผชิญชีวิตอย่างยากแค้น “ลมหายใจของเจ้าอย่างไรเล่า ที่เจ้ายังไม่ให้มันกับข้า!” “ชีว
“ฉีอันหนิง คารวะท่านราชบุตรเขย องค์หญิงเจ้าค่ะ” บุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมืองหลี่ ย่อกายลงอย่างงดงาม สมกับบุตรตรีขุนนาง ที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี “คารวะท่านราชบุตรเขย องค์หญิงเจ้าค่ะ” หญิงสาวอีกสองนาง และบ่าวไพร่ที่ยืนเรียงราย ต่างรีบพากันทำความเคารพแขกของท่านเจ้าเมือง ซึ่งเวลานี้ท่านเจ้าเมือง ได้ขอตัวแยกไปสะสางงาน ให้เสร็จก่อนงานเลี้ยงต้อนรับในค่ำนี้ “คุณหนูฉี เชิญตามสบาย” ต้วนอี้หลาง เอ่ยปากอนุญาตตามมารยาท ก่อนจะหันไปประคองเอวคอดของภรรยา ที่ก้าวขึ้นมาเคียงข้าง ส่วนชายหนุ่มสวมหน้ากาก ได้ถอยลงไปยืนเคียงข้างหญิงสาวอีกคน “ขอบคุณท่านราชบุตรเขย เอ่อ...ข้าน้อยขอแนะนำตัวอีกครั้งนะเจ้าคะ ข้าน้อยเป็นบุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมือง ฉีอันหนิง ส่วนนี่คือน้องสาวคนรองของข้า ฉีอันผิง และน้องสาวคนเล็กฉีอันนาเจ้าค่ะ” หญิงสาวแนะนำน้องสาวทั้งสอง ด้วยน้ำเสียงและท่าทางขัดเขินเล็กน้อย ใครกันจะไปคิดว่าราชบุตรเขย จะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ อีกทั้งสายตาและรอยยิ้ม ยังดูอบอุ่นยิ่งนัก ต่างจากองค์หญิงไฉอ้าย ที่ดูเย่อหยิ่งจองหองจนเกินไป “เรากับน้องส
เรือนพักรับรอง จวนเจ้าเมืองหลี่ มู่ไฉอ้ายก้าวเคียงข้างฉู่เมี่ยว โดยที่สามีและน้องชายของเขา เดินนำหน้าไปตามทางเดิน แววตาเย่อหยิ่งนั้นไม่ได้วอกแวกมองไปทั่ว เยี่ยงคนไม่รู้มารยาท ทว่านางกลับเชิดหน้ามองตรง ก้าวตามสามีไปด้วยท่วงท่าของนางหงส์ และนางไม่ลืมที่จะกำชับฉู่เมี่ยว ให้ทำตามนางเช่นกัน ในฐานะน้องสาวบุญธรรมขององค์หญิง ต้องสูงส่งไม่แพ้กัน ในเมื่อมีคนรู้ตัวตนก็ต้องเป็นคนที่น่ายำเกรงเข้าไว้ และดูเหมือนความเย่อหยิ่งนี้ของนาง จะได้รับสายตาเหยียดๆ จากสตรีในจวนเจ้าเมือง ทว่านางกลับไม่ได้คิดเอ่ยปาก แสดงความไม่พอใจ เช่นเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ที่เมื่อใดก็ตามที่ได้รับสายตาเช่นนี้ จากคนที่มีอำนาจลดลั่นลงมา คงสั่งควักลูกตาหรือบั่นคอไปแล้ว แต่สำหรับนางนั้น นางรอได้เสมอ ที่จะทบต้นดอกในคราเดียวไปเสียเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา “พี่สะใภ้ทำไมสาวใช้จวนเจ้าเมือง จึงได้มองเราด้วยสายตาเช่นนี้เล่าเจ้าคะ” ฉู่เมี่ยวอดที่จะเอ่ยถามพี่สะใภ้ไม่ได้ ก็ในเมื่อคนเราไม่รู้จักกัน แต่อย่างไรพวกนางก็คือแขก อีกทั้งเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ไยสาวใช้ของจวนเจ้าเมืองเล็กๆ คนหนึ่ง จึงอาจห
“เหอะ! มีแค่นี้เองรึ! แล้วทำเป็นมาบอกจะจ่ายให้มากกว่าคุณชายคนเมื่อครู่” “ได้โปรด...เจ้าเอาเงินนั่นไป แล้วตามท่านหัวหน้าให้ข้าที” เถ้าแก่สะบัดมือเล็กน้อย เสี่ยวเอ้อได้เดินหายไปยังทิศทางภายในร้าน ขอแค่เงินมางานก็เดินเสมอ ส่วนเสี่ยวเอ้อคนอื่น ได้จัดการกับศพของชายอีกสองคน พร้อมกับนำน้ำมาล้างคราบเลือด ทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว ราวกับมันคือเรื่องที่ทุกคนช่ำชองกันดีอยู่แล้ว “ที่ไหนๆ ก็ย่อมมีเรื่องที่ต้องทำ หากเขามาแล้วไม่จ่ายเงินให้ข้า เรื่องอื่นใดไม่ต้องมาเอ่ยกับข้าให้เสียเวลา” คำพูดของเถ้าแก่ชัดเจนยิ่งนัก ว่าหากไม่มีเงิน ชีวิตของเขาจะต้องตาย ใต้คมดาบของชายเจ้าของโรงเตี๊ยม ตามสินจ้างของทายาทแห่งหนาน ที่จ่ายไปเพื่อเก็บกวาดพวกเขาทั้งสามคน “เจ้าไม่ต้องห่วง ท่านหัวหน้าของข้า ย่อมต้องจ่ายเจ้าอย่างงามแน่นอน”แม้ไม่มั่นใจว่าจะเป็นเช่นนั้นไหม แต่อย่างน้อยก็ยื้อลมหายใจของเขา ออกไปอีกสักหน่อยในตอนนี้ ภายในห้องอาหาร ม่อเหลียวเดินกลับมายังโต๊ะอาหาร โดยไม่ลืมที่จะเหลือบตามองไปยังหญิงสาวชาวเมืองหยินกวง ที่นั่งอยู่อีกโต๊ะไม่ห่างกัน ก่อนจะนั่งลงเ
แต่ในเวลานี้ทั้งคู่ไม่มีเวลา ที่จะใส่ใจสหายได้เลย ดาบในมือตวัดฟาดฟันเข้าหาชายหนุ่ม ผู้เป็นทายาทแห่งหนานอย่างดุดันและไม่ลดละ จังหวะนั้นเสี่ยวเอ้อ ได้ถือจานชาลาเปาผ่านมาทางนั้นพอดี หมับ! ม่อเหลียวคว้าชาลาเปามาลูกหนึ่ง ก่อนที่เสี่ยวเอ้อจะรีบเร้นกายหายไป มุมปากหนาบิดขึ้นน้อยๆ ก่อนที่เขาจะใช้สันมือ กระแทกเข้าที่ลำคอของหนึ่งในสอง ที่พุ่งเข้าโรมรันอยู่กับเขา “อัก!” ชายชุดดำใช้มือข้างหนึ่งกุมลำคอ พร้อมกับพยายามอย่างยิ่ง ที่จะเปล่งเสียงออกมา ทว่ามันกลับไม่เป็นผล หวืด! ฉึก! แต่ยังไม่ทันที่จะยกดาบขึ้นตั้งรับ ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยอามรามตกใจ พลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ชายชุดดำอีกคนถึงกับผงะถอยไปหลายก้าว ด้วยภาพตรงหน้า มันเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด ตะเกียบคู่หนึ่งแทงเข้าไปในดวงตาของสหายทั้งสองข้าง ปากก็ถูกยัดเอาไว้ด้วยชาลาเปาร้อนๆ ที่ยังมีควันลอยกรุ่นออกมาให้เห็น “อยากเห็นว่าลูกกำพร้าเยี่ยงข้า มีเมตตาแค่ไหน พวกเจ้ามองได้ชัดเจนดีหรือยัง” ปึก! ชายที่ตอนนี้เสียดวงตาทั้งสองข้าง ถูกผลักออกให้พ้นทางของผู้พูด แน่นอนว่านี่แค่การทักทายเท่านั้น หากคนพวกนี้อย
“เชื่อข้าเถอะ แค่นี้พี่ม่อเหลียวจัดการได้ไม่คณามือเขาหรอกขอรับ”เจียงอี้หยางยังคงยืนยันหนักแน่น ด้วยรู้ถึงฝีมือและนิสัยของว่าที่พี่เขยดี แค่รอให้แมงเม่าบินเข้ากองไฟไปอีกสักตัวสองตัว และเหมือนจะบินไปเพิ่มอีกแล้วสองตัว “ขอรับ” แม้เขาอยากที่จะลุกไปดูให้เห็นด้วยตา แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เพราะเขายังไม่อยากให้นายน้อย หลุดหายไปจากสายตาอีกครั้ง ลานกว้างหลังร้าน ม่อเหลียว ยืนมองชายหนุ่มที่หมายจะใส่ยาในอาหาร กำลังทุรนทุรายด้วยพิษของตนเอง ชายหนุ่มในชุดดำใช้สองมือ กุมลำคอที่แสบร้อนเอาไว้ ความทรมานนี้ทำไมมันเกินกว่าพิษ ที่เขาตั้งใจใส่ในอาหาร มันมิใช่ยานอนหลับชนิดรุนแรงหรอกหรือ ที่สำคัญไปกว่านั้น เสี่ยวเอ้อและคนงานในร้าน ที่เดินผ่านไปเมื่อครู่ กลับไม่ได้ให้ความสนใจ ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาเลย ราวกับเขาที่กำลังคุกเข่าทรมานเจียนตายอยู่นี้ เป็นเพียงอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น “เงินถึง...ทุกอย่างก็สามารถเป็นไปตามที่ต้องการเสมอ” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นไม่ไกลจากชายชุดดำ คำพูดนี้เสมือนมีดนับหมื่นเล่ม เสือกแทงเข้ากลางใจเขาก็มิปาน เขาไม่อยากเ
“เจ้าเด็กผีนี่ สิ่งใดเจาะปากมาให้พูดกัน” หญิงสาวบ่นอุบ ทว่าหญิงสาวอีกคน กับชายที่มีหนวดเครารุงรัง กลับพากันหัวเราะคิกคักชอบใจ “กรรมช่างรวดเร็วทันใจข้าเหลือเกิน หึๆ” หญิงสาวใบหน้าหวานละมุน ทว่ากลับมีรูปร่างสูงใหญ่ราวบุรุษ ได้หัวเราะชอบใจ ก่อนจะยกน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างสำราญ ใครใช้ให้เจียงอี้หลิง จับเขาแปลงโฉมเป็นสตรีเล่า ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายนัก เขาเป็นถึงประมุขน้อย กลับต้องมาแต่งกายเป็นหญิง เพื่อลักลอบเข้าเมืองของตัวเอง ส่วนตัวต้นคิดก็ถูกนินทาระยะเผาขน ช่างเป็นการเอาคืน โดยที่เขาไม่ต้องลงมือให้เปลืองแรง “แบบนี้ดีแล้ว” หญิงสาวเอ่ยกับคนที่นั่งขำนางอยู่ แม้การแปลงโฉมของท่านอาจารย์จะแนบเนียนแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรประมาทใดๆ ทั้งสิ้น บางทีคนที่คุ้นเคยกับชายหนุ่ม อาจจดจำท่าทางของเขาได้ เช่นที่พี่ม่อเหลียวจดจำท่านลุงอู๋และอี้หยางได้ แน่นอนไม่มีใครคาดคิด ว่าประมุขน้อยแห่งหุบเขาพิษ จะกล้าแต่งกายเป็นหญิง ออกมาเดินอวดโฉมเยี่ยงนี้ อีกเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ก็จะครบกำหนดการเผชิญหน้ากับฉินชวง ฉินชวงไม่มีทางได้หัวของสวี่เทียนมา และคงต้องคิดตลบหลั
“พวกมันจริงๆ ด้วยขอรับ” หนึ่งในคนที่ร่วมโต๊ะเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งหันมองไปยังกลุ่มคนที่เดินลงจากชั้นบน ม่อเหลียวใช้เพียงหางตาชำเลืองมอง ก็เห็นกลุ่มคนซึ่งมีรูปลักษณ์ ที่บ่งบอกถึงเชื้อสายเผ่าพันธุ์ ระหว่างคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาในตอนนี้ และกลุ่มคนที่ลงมาจากชั้นบน ว่ามาจากบ้านเมืองเดียวกัน ชายหนุ่มวางมือบนต้นขาของคุณชายน้อย พร้อมขยับตบเบาๆ เป็นการบอกให้เชื่อใจเขา วันนี้เขาและคุณชายน้อย ได้ออกมาสืบหาข่าวของเจ้านายอีกสองคน ซึ่งเดินทางติดตามมาในภายหลัง “นายน้อยไม่ต้องกังวลไป ข้าน้อยจะไม่ให้พวกมันได้แตะต้องท่าน กับคุณชายผู้นี้อย่างแน่นอนขอรับ” ตู้ฮั่นยืนยันหนักแน่น ทั้งคำพูดและแววตา มันเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่กระนั้นม่อเหลียวก็ไม่เคยคิดที่จะวางใจ เพราะถ้าเขาคือคนผู้นั้นจริง นั่นก็เท่ากับเขากำลังพาตนเอง ก้าวเข้าสู่สงครามอันดุเดือด เขาติดตามผู้เป็นนายทำการค้า และเป็นผู้คุ้มกัน มีหรือจะไม่รู้ว่าเวลานี้มีแคว้นใดบ้าง ที่กำลังมีปัญหาภายใน ที่ยังยากจะแก้ไขให้ลงตัว และการที่ตัวเขาถูกนำมาทิ้งตั้งแต่ยังเล็ก นั่นก็เท่ากับความสงบสุขในบ้านเมือง ไม่มีเลยนั่นเอง
เจียงอี้หลิง ทำเพียงชำเลืองมองสองพี่น้อง ที่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น นี่คือสิ่งที่สวี่เทียนและฉินชวง ต้องการให้ลูกของนางเป็น นางก็เพียงส่งคืนสนองเท่านั้น การจองเวรใช่สิ่งที่ดี แต่บางครั้งก็สมควรทำ ถ้ามันรบกวนชีวิตในภายหน้า “แล้วพวกหมู่แมลงเล่าขอรับ” ม่อเหลียวเอ่ยถามผู้เป็นนาย โดยที่เขาไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง ไปยังจุดที่มีผู้อื่นซ่อนตัวอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งเหนือความคาดหมายแม้แต่น้อย “พวกมันคงตามเก็บกวาดให้นาย แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว ปั่นจิ้งหรีดให้กัดกันเอง เราก็แค่รอดูว่าตัวไหน ที่จะรอดมาพบกับเราเป็นตัวสุดท้าย” นี่คือแผนถ่วงเวลา สำหรับคนในชีวิตเดิมของนาง ที่กำลังรอเข้ามาในหุบเขา ในตอนนั้นนางไม่อาจทำเรื่องให้ใหญ่โตได้ เพราะบุตรชายยังเด็กเกินไป และสภาพร่างกายของนาง ไม่ได้พร้อมกับการต่อสู้ใดๆ ทั้งสิ้น กองทัพที่นางซ่อนเร้นไว้ จึงไม่ถูกเรียกใช้ เพราะสิ่งที่สวี่เทียนต้องการ จะมาพร้อมกับคนของนางในไม่ช้า กองทัพนี้เพื่ออวี๋มู่หลงเท่านั้น เมื่อใดที่ทุกอย่างจบสิ้น นางจะจากไปเพื่อเดินตามเส้นทาง ของเจียงอี้หลิง เป็นหมอหญิงสืบทอดโรงหมอสกุลต้วน
“คนชั้นต่ำ! ปล่อยลูกข้าเดี๋ยวนี้นะ!” ฉินชวงตวาดแวดใส่คนที่กำลังทำร้ายลูกของนาง ด้วยความเจ็บแค้นใจ เท้าบางขยับวิ่งตรงไปหาลูกๆ “ท่านแม่!” สวี่หวิ๋นเรียกหามารดาเสียงหลง แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมมีเพียงมารดาแล้วสาวใช้เท่านั้นที่มา ด้วยไร้เงาบิดา ซึ่งตามหลักแล้วจะต้องมาพร้อมกัน เพื่อช่วยเหลือนางสองพี่น้อง “นายหญิงระวังเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบคว้าร่างของผู้เป็นนายเอาไว้ เมื่อมีชายหนุ่มหน้าตาดี ก้าวเข้ามาขวางทางนายหญิง มิให้เข้าไปหาคุณชายกับคุณหนู แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ดึงกระบี่ออกจากฝัก แต่ไอสังหารนั้นรุนแรง จนทำให้นางหายใจติดขัดเลยทีเดียว “พวกเจ้าต้องการสิ่งใด”ฉินชวงเอ่ยถามออกไปอย่างร้อนใจ แม้อยากจะใช้คำด่าทอให้มากกว่านี้ แต่จากสภาพของลูกๆ แล้ว นางยังไม่ควรที่จะหุนหันพลันแล่นจนเกินไป “หึๆ สิ่งใดดีเล่า” เจียงอี้หลิง คลายมืออกจากกรามของสวี่หวาง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่า แล้วหันไปเผชิญหน้า กับสตรีที่อยู่เบื้องหลังการพังทยายของครอบครัวนาง แม้ว่าฉินชวงจะไม่ใช่ทั้งหมดของเรื่อง ก็นับว่าเป็นผู้ริเริ่มความคิดที่จะช่วงชิง “เจ้า