เมื่อนักปราชญ์ด้านฮวงจุ้ยสิ้นชีพอย่างน่าสลดใจในชั่วข้ามคืน นางได้เกิดใหม่ในฐานะพระชายาแห่งตำหนักอ๋อง นางผู้โง่เขลา น่าเกลียด และถูกกดดันให้ฆ่าตัวตายด้วยความอัปยศอดสู! นางโดนคนทั้งโลกดูถูก เยาะเย้ย สามีของก็นางเองเช่นกัน แม้แต่น้องสาวที่แสนดีของนาง ก็ยังวางแผนต่อต้านนาง ทำให้นางต่ำต้อยยิ่งกว่าสัตว์ น่าขันยิ่งนัก! ท่านซินแสผู้สง่างามอย่างนาง ซึ่งเป็นที่เคารพของผู้คนนับพัน ยังต้องมาอดทนกับการกลั่นแกล้งเช่นนี้? การอ่านโหงวเฮ้ง การทำนายดวงชะตา และการดูฮวงจุ้ย เข็มทิศอาณัติแแห่งสวรรค์ของบรรพบุรุษจะทำนายทุกสรรพสิ่งเบื้องล่างนี้ นางเก่งกาจทั้งเรื่องยารักษาโรค ทั้งยาพิษ และยังมีมือแห่งภูตผีที่สามารถรักษาคนตาย และทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพได้ เมื่อความงามของนางเปลี่ยนไป และนางก็มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ดึงดูดท่านอ๋องและขุนนางนับไม่ถ้วน หากท่านอ๋องผู้นี้จะไม่รักนางก็ไม่เป็นไร เพราะนางมีผู้ชายดี ๆ ให้เลือกมากมายนับไม่ถ้วน นางยกมืออย่างสง่างาม “จดหมายหย่าเพคะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านกับข้าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก” ท่านอ๋องรีบตอบกลับทันที "ข้าเพิ่งทำนายดวงชะตา ดาวหกแฉกบ่งบอกว่า เรามิควรแยกจากกัน" “เพราะเหตุใด?” “เพราะชีวิตของตัวข้าผู้เป็นอ๋องมิอาจขาดเจ้าได้”
ดูเพิ่มเติมลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อนางหันกลับมาก็พบว่าเป็นหลิวไท่เฟยที่กำลังยิ้มอยู่ลั่วชิงยวนพยักหน้าเล็กน้อยหลิวไท่เฟยชวนนางไปที่พระตำหนัก “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”ลั่วชิงยวนมองไปที่สวนหลังพระตำหนักอันเงียบสงบ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า “เพคะ”ขณะที่นางเดินเข้าไปในพระตำหนัก กลิ่นเลือดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นมีรอยเลือดฝังรากลึกอยู่บนพื้นซึ่งเดิมเป็นกองซากปลาที่ถูกผ่าครั้งที่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนั้นทำความสะอาดเลือดไม่ทั่วถึงหรือไม่ ในขณะที่เดินผ่านไปนางก็ยังคงได้กลิ่นคาวเลือด นางให้ความสนใจกับท่าทางของหลิวไท่เฟยเป็นพิเศษ แต่กลับไม่มีความผิดปกติใด ๆ ขณะที่นางเดินผ่าน นางไม่รู้ว่าถานสี่อธิบายให้อีกฝ่ายฟังเรื่องที่ปลาเหล่านั้นหายไปแล้วเช่นไรเมื่อเข้ามาในห้อง ความมืดทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อมองไปรอบ ๆ นางก็พบว่าหน้าต่างทุกบานถูกปิดไว้ทั้งหมด “หลิวไท่เฟยเพคะ เหตุใดจึงต้องปิดหน้าต่าง?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความสับสนหลิวไท่เฟยยิ้มและพูดว่า “บอกตามตรง ห้องนี้เป็นห้องที่ข้าขังตัวเองไว้ยามที่ข้าเสียสติ”ขณะที่หลิวไท่เฟยพูด นางก็ดึงกล่องออกมาจากใต้เตียงซึ่งม
“หม่อมฉันรู้สึกว่านางรู้อยู่แล้วว่าหม่อมฉันอยากจะถามอะไร”“หม่อมฉันต้องเข้าไปในพระตำหนักอีกครั้ง”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าจะเข้าไปในพระตำหนักคนเดียวรึ? ไม่ได้เด็ดขาด!”เขาปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด สำหรับลั่วชิงยวนแล้ววังหลวงเป็นดั่งทะเลดาบและเปลวเพลิง เขาไม่มีทางที่จะปล่อยให้นางเข้าไปในวังเพียงลำพังแน่ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “แต่หากท่านอ๋องไปกับหม่อมฉัน หลิวไท่เฟยจะไม่ยอมปริปาก!”ฟู่เฉินหวนพูดอย่างเย็นชาว่า “นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เจ้าจะเข้าไปในวังหลวงโดยลำพังมิได้”ลั่วชิงยวนกำลังจะเอ่ยปากพูดฟู่เฉินหวนมองนางอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “หากสิ่งที่เจินหลันพูดเป็นความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ได้ล่วงรู้ความลับของหลิวไท่เฟยแล้ว พระนางจะยังคงปฏิบัติต่อเจ้าเสมือนแขกผู้มีเกียรติอีกหรือไร?”“วันพรุ่ง ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ส่วนเจ้าก็ไปหาหลิวไท่เฟยเถอะ”เขาและคนของเขาทั้งหมดอยู่ในวังแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถไปถึงที่นั่นได้รวดเร็วลั่วชิงยวนพยักหน้า “เพคะ”คงจะดีหากทั้งนางและเขาพูดคุยกันได้เช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่านางก็หวงแหนชีวิตของนางเช่นกัน และจะเป
ทันทีที่เขาเห็นภาพนั้น สีหน้าของฟู่จิ่งหลีเปลี่ยนไปอย่างมากเขามองดูนางด้วยความตกใจ “เหตุใดท่านจึงมีภาพเหมือนของนาง?”“ท่านได้ภาพนี้มาได้อย่างไร?”ลั่วชิงยวนรีบถามว่า “เช่นนั้นท่านรู้จักนางหรือไม่?”ฟู่จิ่งหลีขมวดคิ้ว ความคิดของเขาย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เจินหลัน นางเป็นนางรับใช้ข้างกายของท่านแม่ข้า”“ในช่วงที่เกิดกลียุค พระตำหนักของท่านแม่ก็ถูกฟ้าผ่า เป็นนางที่ช่วยข้าไว้จนตัวตาย จากนั้นร่างของนางก็ถูกฝังไปกับทะเลเพลิง”ฟู่จิ่งหลีกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดแม้ว่าตอนนั้นเขาจะยังเด็กอยู่ แต่ความทรงจำเหล่านี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาอย่างไม่มีวันเลือนหาย ลั่วชิงยวนตกใจมาก ตัวตนของเจินหลันไม่ใช่เรื่องเท็จ! นางเป็นนางรับใช้ข้างกายมารดาขององค์ชายเจ็ดจริง ๆ เช่นนั้นสิ่งที่นางพูดทั้งหมดก็อาจเป็นความจริง เช่นนั้นหลิวไท่เฟย...“ท่านได้ภาพนี้มาได้เช่นไร นางตายไปหลายปีแล้ว เหตุใดภาพของนางจึงมาอยู่ในมือท่าน?”“ไม่สิ หมึกบนภาพวาดนี้ยังไม่แห้งเลย…”ทันใดนั้น ฟู่จิ่งหลีก็ตระหนักได้ถึงประเด็นสำคัญบางอย่างทันที ลั่วชิงยวนกำลังครุ่นคิดว่าจะอธิบ
“หม่อมฉันนำสิ่งนี้มาจากหลิวไท่เฟย ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของที่ระลึกเพียงสิ่งเดียวจากพระมารดาของท่าน”ฟู่จิ่งหลีถือผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้ในมือ สีหน้าของเขาก็ดูหนักอึ้งอยู่พักนึง จากนั้นเขาก็เก็บผ้าเช็ดหน้าออกแล้วยิ้มอีกครั้ง “ขอบคุณเจ้ามาก”ฟู่จิ่งหลีและฟู่เฉินหวนเริ่มพูดคุยกัน ลั่วชิงยวนจึงลุกขึ้นกลับไปยังห้องของนางก่อนนางกำชับแม่นมเติ้งและจือเฉาให้เฝ้าอยู่นอกประตูอย่าให้ใครเข้ามาได้ นางเปิดดวงแก้วออก ร่างของสตรีผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ลั่วชิงยวนกลับไม่ได้ปล่อยนางออกมาอย่างสมบูรณ์ “เจ้าเป็นใคร หลิวไท่เฟยทำสิ่งใดให้เจ้าจงเกลียดจงชังถึงเช่นนี้?”สตรีผู้นั้นพูดอย่างดุร้ายว่า “นางเป็นฆาตกร! ฆาตกร!”“นางฆ่าใคร?”“เสียนเฟย!”เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ลั่วชิงยวนก็ผงะ นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเพียงความผิดพลาดอย่างมิได้ตั้งใจของพระนาง”เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางก็เริ่มมีอารมณ์และใบหน้าของนางก็ดุร้ายอีกครั้ง “ไร้สาระ! ผิดพลาดโดยมิได้ตั้งใจรึ?! เป็นนางที่ตั้งใจทำ! นางเป็นคนที่ทำร้ายเสียนเฟย!”“ในคืนที่เกิดเหตุการณ์นั้น นางได้นัดหมายกับเสียนเฟยเพื่อไปงานเลี้ยง แต่นางกลับมิปรากฏ
พระตำหนักที่นี่ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ มีรอยไหม้อยู่ทุกที่ อีกทั้งพระตำหนักก็พังทลายลงหลายแห่ง กลายเป็นซากปรักหักพังทั้งสองเดินเข้าไปข้างในอย่างช้า ๆ เมื่อก้าวเท้าเหยียบเศษซากเหล่านั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นทันทีเข็มทิศในอ้อมแขนของลั่วชิงยวนมีปฏิกิริยาอย่างชัดเจน นางยังคงเดินหน้าเข้าไปต่อ เมื่อเข้าไปในห้องโถงด้านใน ม่านที่ถูกไฟไหม้ก็พลิ้วไหวราวกับผ้าขี้ริ้ว ทันทีที่ลมกระโชกแรงพัดเข้ามาหานาง ร่างสีดำก็พุ่งออกมาข้างหน้าพร้อมกับเสียงกรีดร้องอันโศกเศร้าที่ดังก้องอยู่ในหูของลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนหลบไปด้านข้าง นางรีบดึงฟู่เฉินหวนออกไปอย่างรวดเร็ว “ระวัง!”ฟู่เฉินหวนเฝ้าดูรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เขามิอาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใดเลยนอกจากสายลม ขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังเฝ้าดูสิ่งที่กำลังหลบหนี นางจึงหยิบเข็มทิศของนางออกมาทันที วงเวทย์สีทองก็ปรากฏขึ้นมาปิดกั้นเส้นทางของสิ่งนั้นทันที ร่างของสตรีที่ลอยอยู่ในอากาศค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในสายตาของลั่วชิงยวนผมสีดำซึ่งยาวมาก ปลายผมไม่สม่ำเสมอ มีร่องรอยจากการถูกไฟเผา และแม้แต่ประกายไฟติดอยู่บางส่วนใบหน้าของสตรีผู้นั้นเต็มไปด้วยรอยแผลที่ถูกไฟเผา ดวงตาของนางก็เต็มไปด้
“หากมิใช่เพราะข้า นางคงไม่ตาย”“นางคงจะโทษข้าและไม่ยอมอโหสิกรรมให้”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลั่วชิงยวนก็ตระหนักได้ทันที แต่นางกลับขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากเป็นเพียงเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว เป็นไปมิได้ที่เสียนเฟยจะเกลียดท่านถึงเพียงนี้เพคะ”“ผู้อื่นที่มีความแค้นต่อท่านไม่มีอีกแล้วงั้นหรือเพคะ?”หลิวไท่เฟยส่ายหน้า “นอกจากนางแล้วข้าก็นึกมิออก”“บางทีนางอาจจะยังโทษข้าอยู่” หลิวไท่เฟยพูดทั้งน้ำตา ลั่วชิงยวนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดและการตำหนิตนเองในใจของหลิวไท่เฟย บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ นางจึงดูแลองค์ชายเจ็ดเป็นอย่างดี ทว่า นี่เป็นมุมมองความรู้สึกผิดเพียงฝ่ายเดียวของหลิวไท่เฟยเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นความผิดพลาดโดยมิได้ตั้งใจของนาง เช่นนั้นแล้วจึงมิอาจทำให้เสียนเฟยเกลียดนางถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นว่าลั่วชิงยวนมิได้พูดสิ่งใด หลิวไท่เฟยก็เช็ดน้ำตาอีกครั้งก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง “เจ้ามิเชื่อข้าหรือ?”ลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อยขณะที่กำลังจะพูด หลิวไท่เฟยกล่าวอย่างรวดเร็ว “ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ว่า มีเพียงเสียนเฟยผู้เดียวเท่านั้นที่ข้าต้องขอโทษ”“ต้องเป็นนาง! ต้องเป็นนา
ลั่วชิงยวนคว้าถ้วยชาแล้วสาดชาใส่ใบหน้าของหลิวไท่เฟยทันทีฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “เจ้าทำเช่นนี้ได้หรือ?”“สถานการณ์ของหลิวไท่เฟยในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องไล่ผีหรอกรึ?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หลิวไท่เฟยติดอยู่ในห้วงฝัน พระนางมิได้ถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงเพคะ”แม้ว่าห้วงฝันนี้จะทำให้นางรู้สึกแปลกไปก็ตามทว่า หลิวไท่เฟยที่ถูกชาสาดกระเซ็นกลับฟื้นคืนสติได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนางตื่นขึ้นมาก็ยังคงอยู่ในอาการตื่นตระหนก “พวกเราเองเพคะ หลิวไท่เฟย พวกเราเอง!” ลั่วชิงยวนคว้าแขนหลิวไท่เฟยแล้วพูดอย่างรวดเร็วหลิวไท่เฟยหันหน้ามองดูนาง เมื่อนางเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อารมณ์ของนางก็ค่อย ๆ มั่นคง“เป็นเจ้านั๋นเอง”“ขะ… ข้าอาจจะฝันร้ายอยู่ เหตุใดพวกเจ้าจึงมาที่นี่ได้?”หลิวไท่เฟยจัดอาภรณ์และผมของนางอย่าประหม่า ทว่า ชั่วครู่ต่อมา นางก็สังเกตเห็นว่าในห้องที่วุ่นวายนี้ ดูไม่เหมือนห้องของนางเลย อีกทั้งยังดูราวกับสนามรบ นางตกใจมาก “เกิดอะไรขึ้น?”“ไท่เฟย ท่านจำอะไรมิได้เลยหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัยหลิวไท่เฟยนึกถึงความฝันก่อนหน้านี้ของนางด้วยสีหน้าหวาดกลัวแต่ไม่นานสีหน้าขอ
แสงเย็นส่องออกมาทำให้ร่างสีดำแตกสลายอย่างรุนแรงทว่า หลังจากที่ร่างสีดำสลายไป ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย!ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ นี่ไม่ถูกต้องทันใดนั้น คิ้วของนางก็กระตุก แย่แล้ว นี่เป็นการล่อเสือออกจากถ้ำนางรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของฟู่เฉินหวนทันทีในขณะนี้มีลมแรงพัดเข้ามาในห้องร่างสีดำพุ่งตรงไปหาคนทั้งสองที่อยู่ในห้อง แต่กลับถูกสะท้อนออกไปด้วยแสงที่ลอดออกมาจากร่างของฟู่เฉินหวน ร่างสีดำนั้นก็กระแทกประตูออกไป จากนั้นร่างสีดำก็โจมตีอีกครั้ง และลมแรงก็พัดสิ่งของต่าง ๆ มากมายในห้องที่ปลิวว่อนและกระแทกอย่างแรงฟู่เฉินหวนยืนขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นป้องกันเศษซากเหล่านั้น นางตกใจมาก แม้ว่านางจะมองไม่เห็นสิ่งนั้นได้ แต่นางก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของสิ่งนั้นในขณะนี้ลมที่โหมกระหน่ำและสิ่งของที่ลอยอยู่ในห้องกำลังโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งเมื่อลั่วชิงยวนตามเข้ามา โต๊ะก็ถูกลมพัดจนกระแทกฟู่เฉินหวนเข้าอย่างแรงลั่วชิงยวนตกใจพร้อมกับรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฟู่เฉินหวนยกเท้าขึ้นแล้วเตะอย่างเต็มแรงจนทำให้โต๊ะแตกกระจาย ชิ้นส่วนเหล่านั้นกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง ในขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะหลบตัว เขาก็เ
ฟู่เฉินหวนมองไปไปยังทิศทางที่นางจ้องมอง จากนั้นจึงเห็นหลิวไท่เฟยซึ่งยืนอยู่ใต้ชายคาเหม่อมองอย่างว่างเปล่าอยู่ไม่ไกล พวกเขาทั้งสองจ้องไปที่ร่างใต้ชายคาอย่างใกล้ชิด หลิวไท่เฟยยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานแล้ว ก่อนที่นางจะเดินซวนเซไปข้างหน้าอีกครั้ง นางเดินสะเปะสะปะราวกับนางหมดสติไปโดยสิ้นเชิง“นางก็ไม่ได้ดูผิดปกติเท่าใดนัก” ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและพูดด้วยความสับสนแต่ทันใดนั้น ชั่วขณะต่อมา กลับมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นหลิวไท่เฟยเริ่มเร่งความเร็วและค่อย ๆ เริ่มวิ่งนางวิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยสีหน้าวิตกกังวลเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีความหวาดกลัวเพิ่มมาขึ้นตามไปด้วย ฟู่เฉินหวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจลมกระโชกแรงพัดมา ทันใดนั้น เข็มทิศในอ้อมแขนของลั่วชิงยวนก็ตอบสนองอย่างรุนแรงลั่วชิงยวนขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องมองไปยังหลิวไท่เฟยอย่างใกล้ชิด “มีบางอย่างจริง ๆ”ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสน แม้ว่านางจะสังเกตเห็นแล้วว่าตำหนักแห่งนี้ในตอนกลางวันไม่ได้มีพลังชั่วร้าย แต่เหตุใดจึงเกิดความวุ่นวายกะทันหันเช่นนี้ในยามกลางคืน?สิ่งเหล่านี้เหมือนกับว่าไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอด