เซียวลี่อินกลับถึงเรือนเล็กในยามสนธยา แสงตะวันย้อมผนังเรือนเป็นสีส้มหม่น แต่ในหัวใจนางกลับไม่อุ่นเลยสักนิดข่าวลือแผ่ว ๆ จากพวกบ่าวไพร่ทำให้นางหยุดฟังอย่างตั้งใจ“ว่าแต่คุณหนูใหญ่นี่นางช่างดวงแข็งนัก ถึงกลับมามีชีวิตอยู่ได้”“เงียบปากเสีย! หากฮูหยินรองได้ยินเข้าเจ้าจะถูกโบย”บ่าวสาวสองคนรีบก้มหน้าก้มตาเมื่อเห็นเซียวลี่อินเดินผ่าน นางเพียงปรายตาเย็นชามองเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปเจินซูเม่ย เจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใดอีกกันไม่นาน เสี่ยวจู สาวใช้คนสนิทของลี่อินก็เข้ามารายงาน“คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินรองเรียกพ่อบ้านไปหารืออย่างลับ ๆ ทั้งยังสั่งให้คนออกไปนอกเมืองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างอีกด้วยเจ้าค่ะ”ลี่อินเลิกคิ้วเล็กน้อย“ไปนอกเมือง? ไปเพื่อติดต่อผู้ใดกัน”เสี่ยวจูส่ายหน้า“ข้าไม่อาจเข้าใกล้ได้ แต่จากที่ได้ยิน คราวนี้ดูเหมือนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสมุนไพรบางชนิดเจ้าค่ะ”เซียวลี่อินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนดวงตาจะวาวขึ้นสมุนไพร...ใช่แล้ว หากข้าจำไม่ผิด ในชาติก่อนมีคดีทุจริตส่งสมุนไพรปนเปื้อนเข้าวัง และหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องก็คือเจินซูเม่ยริมฝีปากของนางยกยิ้มเย็น“ดี เสี่ยวจู เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า
บ่ายวันนั้น เซียวลี่อินออกจากจวนสกุลเซียวเพื่อตรงไปยังตลาดใหญ่ นางตั้งใจจะไปหาซื้อสมุนไพรหายากเพื่อนำไปให้ท่านหมอเทวดาที่ช่วยรักษาผู้ป่วยยากไร้ ได้ยินมาว่าหากได้สมุนไพรนี้ไว้ จะมีค่าราวกับทองคำในยามจำเป็นผู้คนในตลาดคึกคัก เสียงตะโกนเรียกลูกค้าสลับกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากแผงลอย เซียวลี่อินก้าวเดินไปตามตรอกแคบด้วยท่าทีระวัง จนกระทั่งเสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วตึก ตึก ตึก!นางเงยหน้าขึ้นทันที เห็นขบวนทหารม้าสวมเกราะดำมุ่งตรงมาทางตรอก ผู้คนรีบหลบลี้กันจ้าละหวั่น แต่เพราะช่องทางแคบนัก ลี่อินจึงถูกเบียดจนเกือบล้มก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้น มือใหญ่แข็งแรงกลับคว้าข้อมือนางไว้มั่น แรงดึงพานางให้ซบเข้าสู่อ้อมอกที่อบอุ่นและมั่นคง“เหตุใดถึงเดินอยู่ตรงนี้คนเดียว”เสียงทุ้มเย็นนั้นดังขึ้นชิดข้างหูเซียวลี่อินเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าคมคายที่นางจำได้ดี เป็นเขา จิ้งอ๋อง หวังจิ้งเหยียนแววตาคมกริบของเขามองนางอย่างจับจ้อง จนหัวใจของนางเต้นสะดุดไปชั่วขณะ“หม่อมฉันมีธุระ”นางตอบสั้น ๆ พลางพยายามถอยห่าง แต่ฝ่ามือเขายังจับมั่นไม่ปล่อยหวังจิ้งเหยียนเหลือบตามองขบวนทหารที่เคลื่อนผ่านอย่างเร่งรีบ ก่อน
เช้าวันถัดมา แสงอรุณแรกยังไม่ทันแตะปลายฟ้า เสียงขับขานของนกก็แว่วก้องในเรือนบุปผา ที่นี่คือเรือนพักของเซียวถิงฮวา น้องสาวต่างมารดาผู้แสร้งเป็นดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ แต่ซ่อนหนามแหลมคมยิ่งกว่ากุหลาบป่าเอาไว้เบื้องหลังเซียวลี่อินก้าวเข้าสู่ลานของเรือนบุปผาพร้อมกับเสี่ยวจูสาวใช้คู่ใจ นางไม่ได้ตั้งใจจะมาเยี่ยม แต่คำสั่งของเจินซูเม่ยที่ให้เรียกนางมาพบ กลับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นสีหน้าน้องสาวต่างมารดาอย่างเซียวถิงฮวาอีกครั้งเซียวถิงฮวานั่งอยู่กลางศาลาในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนสลับขาว เสมือนบุปผาผลิบานในยามเช้า แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้กลับชวนให้ลี่อินนึกถึงงูพิษที่เลื้อยอยู่ใต้พงหญ้า“พี่หญิง ข้ามีของขวัญจะมอบให้ท่าน”เซียวถิงฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานล้ำจนเกือบเลี่ยนลี่อินก้าวเข้าใกล้ พลางเลิกคิ้ว“ของขวัญหรือ? ของขวัญอันใดกัน? เป็นของขวัญที่อยากให้ข้า หรือว่าเป็นกับดักกันเล่า”เซียวถิงฮวาชะงักวูบ แต่ก็รีบยิ้มกลบเกลื่อน“พี่หญิง นี่ท่านพูดอะไร ข้าจะทำร้ายพี่หญิงได้อย่างไรกัน”ช่างน่าขันนัก! เซียวลี่อินหัวเราะในใจ ในชาติก่อน รอยยิ้มเช่นนี้เคยหลอกนางจนเสียท่า แต่ในชาตินี้ นางจะไม่มีวันยอมให้มันซ้ำรอย
สายลมยามสายพัดโชย กลิ่นดอกเหมยจากสวนหลวงลอยมาตามทางเดินหิน เซียวลี่อินก้าวเคียงไปกับจิ้งอ๋องอย่างสงบ แม้ในใจจะรู้ดีว่าการปรากฏตัวพร้อมกันเช่นนี้ ย่อมตกเป็นหัวข้อซุบซิบนินทาในจวนภายในชั่วครู่“เมื่อครู่ เจ้าไปที่เรือนของฮูหยินรองด้วยเหตุอันใดหรือ”จิ้งอ๋องเอ่ยขึ้น น้ำเสียงไม่ใช่การสอบถามเพียงอย่างเดียว แต่เหมือนกำลังจับสังเกตเซียวลี่อินเหลือบมองเขา“เพียงไปเยี่ยมเยียนและเตือนความจำบางอย่างให้พวกนางสักหน่อย”“พวกนางได้สร้างความลำบากใจให้เจ้าหรือไม่”“หึ! ความลำบากใจหรือ ไม่ว่าพวกนางจะทำอะไร มันก็ไม่เคยทำให้หม่อมฉันสะเทือนได้หรอกเพคะ”แววตาของนางมีประกายเย้ยหยันที่เขามองออกชัด ดวงตาคมลึกของเขาจับจ้องนางราวกับจะอ่านทุกความคิด“เจ้ากำลังเริ่มเคลื่อนไหวแล้วสินะ”เขาไม่ได้ถาม แต่กล่าวราวกับมั่นใจลี่อินยิ้มบาง“หากไม่เริ่ม แล้วจะมีวันถึงจุดสูงสุดได้อย่างไรเล่าเพคะ”คำตอบนั้นทำให้มุมปากของจิ้งอ๋องยกขึ้นเล็กน้อย ไม่บ่อยนักที่เขาจะเห็นสตรีมีสายตาเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ จิ้งอ๋องหยุดก้าวเมื่อพ้นเขตเรือนสกุลเซียว สายตาคมยังคงตรึงอยู่ที่นางไม่วาง ราวกับต้องการชั่งน้ำหนักคำพูดบางอย่าง“ลี่อิน...เรื่อ
ยามเช้าของจวนสกุลเซียวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเสแสร้ง เจินซูเม่ยนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้ประจำ ฮูหยินรองในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีเขียวหยก ดวงตาที่กวาดมองทุกคนเต็มไปด้วยความถือดี ข้างกายมีเซียวถิงฮวาในชุดปักลายดอกเหมยสีชมพู ทำท่าทางเรียบร้อยแต่ดวงตาเต็มไปด้วยประกายเยาะหยันเซียวลี่อินก้าวเข้ามาในเรือนนั้นอย่างสง่างาม คราวนี้นางไม่ใช่เด็กสาวที่ก้มหน้างุด ๆ เหมือนก่อน ทุกย่างก้าวช้าแต่มั่นคง จนทำให้สายตาหลายคู่ต้องเหลียวมอง“อ้าว พี่หญิงใหญ่ วันนี้มีเวลามาเยี่ยมพวกเราด้วยหรือ”เสียงของเซียวถิงฮวาหวานหู แต่ปลายประโยคกลับมีหนามแหลมแฝงอยู่ลี่อินยิ้มบาง“ยามว่างก็ต้องมาทักทายสิ จริงไหม ถึงอย่างไรเสียเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน”คำว่าครอบครัวเดียวกันถูกนางเน้นเสียงจนเจินซูเม่ยชะงักเล็กน้อย เพราะนางรู้ดีว่าความเป็นครอบครัวในปากลี่อินนั้น เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยเจินซูเม่ยวางถ้วยชาลงเบา ๆ“เมื่อวานได้ยินว่าเจ้าพบกับเรื่องวุ่นวายนอกจวนหรือ”ลี่อินแสร้งถอนหายใจ“เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย บางทีอาจมีคนคิดเล่นตลกกับข้า แต่ก็เป็นบุญของข้าที่มีคนมาช่วยไว้ทัน”นัยน์ตาของนางเป็นประกายบางอย่างพอให้เจินซูเม่ยรู้สึกหนาวว
ค่ำคืนหนึ่ง หลังจากที่ลี่อินกลับจากตำหนักจิ้งอ๋องนางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เสียงฝีเท้าที่คอยตามหลังนั้นเบาราวกับเงา นางไม่แสดงอาการใดให้ผิดสังเกต แต่เร่งก้าวเท้าเข้าสู่เรือนของตนเพียงไม่นาน เสียงฝีเท้านั้นก็หายไป ทว่าหัวใจนางยังคงเต้นแรง มือบางลูบขอบแขนเสื้อที่ซ่อนเข็มพิษเอาไว้ ของชิ้นนี้จิ้งอ๋องให้ไว้เผื่อจำเป็นต้องป้องกันตัว..รุ่งเช้า ข่าวลับจากมือสอดแนมของจิ้งอ๋องก็มาถึง เขานั่งฟังอย่างเงียบงัน ก่อนเอ่ยเพียงว่า“ต้องดูแลให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครแตะต้องนางได้”แววตาคมเข้มส่องประกายเย็นเยียบ ราวกับพร้อมจะถอนรากศัตรูที่บังอาจยื่นมือมายุ่งกับคนของเขา..ขณะเดียวกัน ในจวนสกุลเซียว เซียวถิงฮวากำลังนั่งสนทนากับบุรุษลึกลับในชุดดำ เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังลอดออกมา“ก็แค่สตรีผู้หนึ่ง แม้จะมีจิ้งอ๋องคุ้มครอง ก็มิใช่ว่าจะไม่มีช่องให้เล่นงาน”ลี่อินไม่ได้รู้ทันทีว่าผู้ใดเป็นคนส่งคนติดตามเมื่อคืน แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าต้องมาจากฝั่งเจินซูเม่ยหรือเซียวถิงฮวาแน่นอน นางจึงเริ่มวางแผนย้อนกลับ ไม่เพียงเพื่อป้องกันตัว แต่เพื่อสืบตัวผู้อยู่เบื้องหลังด้วย..ในยามบ่าย จิ้งอ๋องมาหานางโดยไม่บอกล่วงหน้า เข