ท่านหญิงอย่าง จ้าวกุ้ยอิน นอกจากสถานะสูงส่งกับรูปโฉมงดงามปานเทพธิดาแล้ว ยังมีสิ่งใดให้ยินดีบ้าง... เริ่มจากวัยเยาว์ นางเปิดโปงธิดาท่านโหวที่มีกลิ่นกายล่อลวงบุรุษดุจนางปีศาจ จึงถูก ฉินอ๋อง ผู้เป็นคู่หมายรังเกียจว่าเป็นสตรีใจคับแคบ แม้ต่อมานางจะใช้ร่างกายต่างโล่กันธนูปกป้องเขา ก็ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นแผนทุกข์กาย เพื่อจะได้แต่งเข้าจวนอ๋อง นอกจากเขาจะไม่สนใจไยดีสตรีที่บาดเจ็บสาหัส ยังแต่ง เยี่ยนเยว่ฉี บุตรีแม่ทัพใหญ่เป็นหวางเฟยหน้าตาเฉย อาจเป็นเพราะฉินอ๋องไม่ต้องการรับผิดชอบหญิงผู้มีแผลเป็นจากคมธนู จึงเป็นตัวตั้งตัวตีให้ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ เยี่ยนหยางจง พี่ชายของสตรีที่แย่งชิงทุกสิ่งจากนางไป โดยตนเองมีค่าเป็นเพียงรางวัลในงานล่าสัตว์เท่านั้น เมื่อต้องแต่งงานกับบุรุษที่ไม่ได้รัก จึงตั้งใจว่าต่อให้ต้องตายก็จะไม่มีวันร่วมหอกับเขาเป็นอันขาด ทว่าคืนแต่งงานนางกลับถูกวางยาปลุกกำหนัด ครั้นนางตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่เรื่องยังคงประดังประเด เมื่อนางกำนัลคนสนิทต้องถูกโบยจนตาย ซ้ำร้ายน้องสามี หรือจิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้นอย่าง เยี่ยนจิ้นหลิง กล่าวกับแม่สามีว่านางไม่อาจตั้งครรภ์ นอกจากจะทำให้ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ยังบังคับกลายๆ ให้นางรับอนุ สวรรค์! ข้ายังต้องเจอเรื่องยุ่งยากอะไรอีก...
View Moreเมืองหลวง แคว้นหาน
โรงละครเป่าชางนับว่าเป็นสถานเริงรมย์อันใหญ่โตโอ่อ่าที่สุดในแคว้นหาน ทุก ๆ ปี ตระกูลจ้าวซึ่งมีฐานะเป็นพระญาติใกล้ชิดที่สุดของราชวงศ์จะจัดแสดงงิ้วเรื่องพิเศษขึ้น มีเพียงเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และคหบดีผู้มีชื่อเสียงเท่านั้นจึงจะได้รับเชิญ แต่ในปีนี้ฮ่องเต้รับสั่งให้ฉินอ๋องผู้เป็นพระอนุชาทำหน้าที่ประธานแทนพระองค์
ฉินอ๋องในชุดคลุมชินอ๋องสีดำปักลายพยัคฆ์ยืนเป็นสง่าอยู่ที่กลางโถงใหญ่
แม้ใบหน้าราวหยกนั้นจะราบเรียบและเย็นชา ทว่ากลับมีเสน่ห์ดึงดูดสตรีให้ไม่อาจละสายตา รัศมีรอบกายที่แผ่กำจายออกมาเจือไอเย็นบาง ๆ จนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้
แต่แล้วน้ำแข็งที่ฉาบในดวงตาพลันละลาย ริมฝีปากที่มักเม้มเป็นเส้นตรงกลับค่อย ๆ หยักโค้งเป็นรอยยิ้ม กลิ่นอายที่รายล้อมแปรเปลี่ยนจากเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บเป็นแสงแรกจากตะวันของวสันต์ ทำให้สตรีทั้งหลายต่างเหม่อมองเขาราวกับถูกกระชากวิญญาณออกไป
อีกมุมหนึ่ง จ้าวกุ้ยอินผู้เป็นธิดาจ้าวอ๋องกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ พอเห็นรอยยิ้มนั้นใบหน้างามสะคราญพลันแดงระเรื่อ นัยน์ตาฉาบด้วยน้ำผึ้งหวานหยด น้อยครั้งนักที่นางจะได้เห็นรอยยิ้มของบุรุษที่สิงในหทัย ทว่าเมื่อเหลือบแลตามสายตาของเขาไป ก็มีอันต้องเก็บความรู้สึกของตนเองกลับมา เพราะรอยยิ้มราวแสงตะวันอันอบอุ่นอ่อนโยนนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อนาง แต่มีไว้ให้เยี่ยนเยว่ฉีบุตรีไคกั๋วกง
สตรีในชุดสีชมพูปักลายดอกโบตั๋นที่กำลังเยื้องกรายเข้าไปใกล้ฉินอ๋องด้วยท่วงท่าราวนางหงส์ แล้วยอบกายคารวะคู่หมั้นอย่างอ่อนช้อย ก่อนปรายสายตาหวานเชื่อมไปยังบุรุษตรงหน้าปราดหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย ทุกอากัปกิริยาเหมาะสม ทำให้ทุกคนที่มองอยู่ล้วนชื่นชม และเห็นพ้องว่าทั้งสองสมกันราวกิ่งทองใบหยก
แต่สำหรับเจ้ากุ้ยอินแล้วภาพที่เห็นตรงหน้าเปรียบประดุจคมดาบที่เชือดเฉือนหัวใจอย่างทารุณ
เดิมจ้าวกุ้ยอินถูกผู้ใหญ่วางตัวไว้เป็นชายาเอกขององค์ชายเก้ามู่เลี่ยงหรง นางกับจ้าวเฟิงเหลยผู้เป็นพี่ชายเข้าวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง เพื่อไปเป็นเพื่อนเล่นกับองค์ชายร่วมกับสองพี่น้องจากจวนโหว จนกระทั่งพระอนุชาได้รับแต่งตั้งเป็นฉินอ๋อง
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจ้าวกุ้ยอินในเวลานั้นรู้สึกน้อยอกน้อยใจที่ท่านอ๋องน้อยเอ็นดูถางซือเซียนมากกว่าตนเอง จึงเผลอทำร้ายและด่าทอธิดาจวนโหวผู้มีกลิ่นกายล่อลวงจิตใจคนได้ว่า “เด็กปีศาจ”
เมื่อมู่เลี่ยงหรงเห็นถางซือเซียนที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าถูกจ้าวกุ้ยอินทำร้าย เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและไม่เคยให้อภัยนางอีกเลย แต่ถึงกระนั้นไทเฮาก็ยังคงรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าข้อตกลงกับตระกูลจ้าวล้วนไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ไม่นานพระโอรสคงจะหายโกรธเคืองท่านหญิงน้อยไปเอง ให้จ้าวอ๋องวางใจ
ในเวลานั้นจ้าวกุ้ยอินถูกผู้ใหญ่ตำหนิและอบรมเป็นการใหญ่
เพื่อขยายฐานอำนาจราชวงศ์วันข้างหน้าฉินอ๋องย่อมต้องรับชายารอง และอนุมากมาย นางเกิดในตระกูลสูงต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ความรู้สึกให้ดี มิเช่นนั้นจะปกครองเรือนหลังได้อย่างไร
เมื่อกระจ่างใจในเหตุผล ท่านหญิงน้อยจึงเรียนรู้การเก็บงำความรู้สึกตั้งแต่บัดนั้น
วันเวลาผ่านไป ท่านหญิงกุ้ยอินเติบโตกลายเป็นยอดพธู บุรุษทุกผู้ในแคว้นไม่อาจปฏิเสธความสามารถกับความงดงามสูงค่านี้ได้
แต่สำหรับนางแล้วไม่ว่าผู้ใดก็หาอยู่ในสายตา ตลอดมาในใจมีเพียงฉินอ๋อง สิ่งใดที่เขาโปรดปรานนางล้วนแตกฉานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการฝีมือ ร่ายโคลงกลอน วาดภาพ เขียนอักษร หรือแม้แต่การร่ายรำซึ่งเป็นสิ่งที่สตรีสูงศักดิ์ไม่นิยมร่ำเรียน นางก็ขอร้องบิดาให้ส่งเสริม เพียงเพื่อจะแสดงให้บุรุษในดวงใจได้เห็นตนเองขณะกรีดกรายอยู่บนลานแสดงหน้าพระพักตร์ในงานเลี้ยงทุก ๆ ปี
ที่จ้าวกุ้ยอินทำลงไปทั้งหมดนี้ เพียงปรารถนาว่ามู่เลี่ยงหรงจะส่งสายตาชื่นชมมาให้สักครั้งหนึ่ง
แต่ก็มีเพียงประกายเย็นชาจากนัยน์ตาสีนิลไร้ก้นบึ้งตอบกลับมาเท่านั้น...
เหมือนสวรรค์ยังโหดร้ายกับนางไม่พอ เมื่องานชมดอกเหมยไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสระหว่างฉินอ๋องกับเยี่ยนเยว่ฉี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้ใดจะได้เป็นฉินหวางเฟย...
แล้วข้าเล่า?
เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมา จ้าวกุ้ยอินก็รู้สึกอึดอัดขับข้องใจ นางพากเพียรเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเป็นชายาเอกฉินอ๋อง แต่สุดท้ายตำแหน่งนี้กลายเป็นของสตรีที่มาจากชายแดนผู้นั้น
การรอคอยและทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำเพื่อเขานั้น...ไร้ค่ากระนั้นหรือ?
หลังจากงานชมดอกเหมย จ้าวกุ้ยอินต้องทนกับข่าวลือ เสียงซุบซิบนินทา และสายตาของผู้คนมากมาย พวกเขามองมาราวกับเวทนา ทำไมนางจะไม่รู้ว่าภายใต้หน้ากากที่แสดงความเห็นอกเห็นใจเหล่านั้น มีแววเยาะหยันบาง ๆ เคลือบแฝงอยู่ด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาประกายหยาดน้ำพลันไหววูบ สองมือภายใต้ชายแขนเสื้อที่พลิ้วไหวกำผ้าเช็ดหน้าแน่นอารมณ์หลากหลายสลับสับสนอยู่ในดวงใจ ทั้งเจ็บปวดระคนอิจฉาริษยา ที่ตนไม่ใช่สตรีที่ได้ยืนเคียงข้างบุรุษในชุดสีดำปักลายพยัคฆ์ผู้นั้น
แต่นางมิใช่เด็กน้อยในวันวานอีกต่อไปแล้ว
หากไม่ระมัดระวังกิริยา ก็มีแต่จะถูกเหล่าธิดาและบุตรสาวขุนนางทั้งหลายซ้ำเติมเสียเปล่า ๆ
จ้าวกุ้ยอินเพียงยืนมองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ จนกระทั่งบุรุษรูปงามอีกสองคนเดินเข้าไปสมทบกับมู่เลี่ยงหรงและเยี่ยนเยว่ฉีที่ยืนสบตากันอยู่
หนึ่งคือเยี่ยนหยางจง ชื่อจื่อไคกั๋วกง[1] เขายังรั้งตำแหน่งรองแม่ทัพตระกูลเยี่ยนอีกด้วย สองคือเยี่ยนจิ้นหลิงบุตรชายคนรอง เขาเป็นกุนซือหนุ่มผมสีเงินที่บรรดาสตรีทั้งแคว้นหานยกให้เป็นชายรูปงามเหนือฉินอ๋อง
เมื่อสามบุรุษผู้มีรูปโฉมและความสามารถโดดเด่นที่สุดแห่งแคว้นยืนอยู่เคียงกัน ยิ่งทำให้คุณหนูทั้งหลายตาพร่ามัว
ฉินอ๋องมีกลิ่นอายสูงส่ง ถึงปกติจะดูเคร่งขรึมและเย็นชา แต่นัยน์ตาเข้มลึกดุจท้องฟ้ายามราตรีกลับดึงดูดหัวใจสตรีอย่างประหลาด เยี่ยนหยางจงให้ความรู้สึกดั่งดวงอาทิตย์ที่สาดส่อง ซ่อนความร้อนแรงไว้ภายในดวงตาเหยี่ยวคมปลาบ รูปร่างสูงใหญ่ กำยำแข็งแกร่ง องอาจผึ่งผายสมเป็นชายชาตินักรบ ส่วนเยี่ยนจิ้นหลิงนั้นไม่ต่างกับเทพยดาจำแลง รูปลักษณ์ราวภาพฝันนี้คล้ายล่อหลอกมวลมนุษย์ทั้งหญิงชายให้หลงใหล และศิโรราบได้เพียงแค่เขาปรายสายตา
จ้าวกุ้ยอินเอะใจเล็กน้อยที่วันนี้กุนซือผมสีเงินที่มักสวมอาภรณ์สีขาวตลอดร่างกลับสวมชุดสีดำสนิท ทำให้ยามนี้เขาดูลึกลับขึ้นหลายส่วน ผิดกับพี่ชายคนโตที่สวมอาภรณ์แขนกว้างสีน้ำเงิน ซึ่งให้ความรู้สึกสุขุมคัมภีรภาพมากกว่า
ก็แน่ล่ะ ยามนี้เยี่ยนหยางจงเป็นถึงซื่อจื่อไคกั๋วกง ย่อมต้องทิ้งคราบชายกักขฬะยามอยู่ชายแดนแล้ววางตัวให้ดูดี แม้หน้าตาของเขาจะไม่เลว แต่ยังดูธรรมดาจนเกินไปเมื่อเทียบกับน้องชายและน้องสาวที่ดูโดดเด่นเหนือคนสามัญ
ถึงกระนั้นจ้าวกุ้ยอินก็อดสงสัยมิได้ว่า เหตุใดชายผู้ที่มีนัยน์ตาเฉียบคมถึงต้องเก็บงำประกายอันโชติช่วงราวดวงอาทิตย์เอาไว้อย่างสุดความสามารถ หากไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็นความทระนงและเฉลียวฉลาดที่ฉายออกมาราวระลอกคลื่นเล็ก ๆ แต่เพียงวูบเดียวก็เจือจางนั้นได้
หรือว่า...เขาพยายามจะไม่เป็นจุดสนใจ?
[1] ชื่อจื่อ หมายถึง รัฐทายาท ผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง หรือขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์ชั้นสูง
เถิด นี่มันบนรถม้านะ” จ้าวกุ้ยอินรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว จึงพยายามไม่มองเขา แล้วเอ่ยปราม“อ่อ ถ้าเป็นที่อื่น สามีไม่ต้อง...”“หยุดเดี๋ยวนี้เลย!”“ก็ได้...ก็ได้ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” ครั้นสัมผัสได้ถึงโทสะจาง ๆ ในน้ำเสียงภรรยาอีกครั้ง เยี่ยนหยางจงก็รีบออกปาก พลางดึงนางเข้ามาซบในอ้อมอก แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวน “กว่าจะกลับถึงจวนคงอีกนาน อินเอ๋อร์ก็พักผ่อนเถิด”“ข้า...ข้านอนแบบนี้ไม่ถนัด ท่านก็ขยับไปตรงโน้นสิ ผู้อื่นจะได้นอนลงบนตั่ง”“ตรงนี้ดีแล้ว” พูดพลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย“...” จ้าวกุ้ยอินไร้วาจา ได้แต่ลอบตำหนิอยู่ในใจ บุรุษผู้นี้เผด็จการเหลือร้าย แม้ปากจะเอ่ยคำหวาน แต่ไม่เคยยินยอมให้นางปฏิเสธเขาแม้แต่หนเดียว จึงจำต้องโอนอ่อน หลับตาลงในอ้อมกอดแต่โดยดีรถม้าเคลื่อนไปบนถนนศิลาอย่างช้า ๆ ทั้งสองไม่ได้สนทนาอะไรกันอีก มีเพียงสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นประทับเบา ๆ ลงบนหน้าผากของจ้าวกุ้ยอินอยู่เป็นระยะ เดิมทีนางคิดว่าอีกฝ่ายแค่แสดงละครฉากใหญ่ให้ผู้อื่นคิดว่าเขาเป็นสามีตัวอย่าง และตนเองเป็นสตรีผู้โชคดีแต่ยามนี้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสแสร้งหรือว่า...เขามี
“ชู่ว์...อย่าเอ็ดไป เจ้าไม่กลัวคนข้างนอกได้ยิน แล้วสงสัยว่าเรา...กำลัง...ทำอะไรกันอยู่...?” เมื่อเห็นคนปากเก่งแนบตนเองไว้กับผนังรถม้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ถลึงตาใส่ขู่ฟอด ๆ อย่างกับแมวน้อย เยี่ยนหยางจงก็เผยรอยยิ้มลำพองใจ“เจ้า...เจ้า...เจ้ามันชั่วช้าสารเลว กักฬะสิ้นดี”“น้องหญิงเรียกแบบนี้ใช้ไม่ได้นะ นี่สามี...ใช่คนชั่ว คนสารเลวที่ไหนกัน” เยี่ยนหยางจงส่งสายตาหยอกเย้า พลางหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน“คนถ่อย!” ยิ่งเห็นท่าทางยียวนและได้ยินถ้อยคำที่เขาเรียกขานนางอย่างสนิทสนมราวกับคู่สามีภรรยาที่รักกันดูดดื่ม นอกจากจะขนลุกแล้ว ยังรู้สึกโมโหมากขึ้นด้วย คนผู้นี้จงใจยั่วโทสะนางชัด ๆ จึงส่งสรรพนามใหม่ไปให้อีกคำ“อะไรกันเมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อตายังเรียกข้า ‘ท่านพี่’ อยู่แท้ ๆ”“คนน่ารังเกียจ!”“อินเอ๋อร์...จำได้ว่าเราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว สามีให้โอกาสเจ้าเรียกใหม่”“เจ้าจะทำไม ข้าพอใจจะเรียกแบบนี้ คนชั่ว คนสารเลว คนถ่อย คนบ้าอำนาจ...” จ้าวกุ้ยอินไม่ยอมแพ้ ยังคงเอ่ยสรรพนามไม่น่าฟังใส่เขาอย่างต่อเนื่อง“สามีเตือนเจ้าแล้ว”“หึ! คิดว่าผู้อื่นต้องกลัวเจ้าหมดงั้นสิ” จ้าวกุ้ยอินเชิดหน้าใส่อย่
ทันใดนั้นหลิวหยงคนสนิทของเยี่ยนหยางจงก็เดินนำคนสองสามคนเข้ามา ทว่าทุกสายตากลับไปตกอยู่ที่อาชาซึ่งถูกจูงมาทางด้านหลัง ยิ่งเข้ามาใกล้ ทุกคนในที่นั้นก็แทบลืมหายใจขนสีทองที่ปกคลุมตลอดทั้งตัวเปล่งประกายยามต้องแสงอรุณ ทั้งแข็งแรง องอาจปราดเปรียว งามสง่ายากจะหาใดเปรียบปาน“อะ...อะ...อาชาสวรรค์” จ้าวอ๋องอุทานออกมาแทบไม่เป็นคำ นับประสาอะไรกับจ้าวเฟิงเหลยที่ยืนตะลึงอ้าปากตาค้างไปแล้ว“ท่านพ่อตากล่าวได้ถูกต้อง แม้แคว้นหานจะมิได้ขาดแคลนอาชาเหงื่อโลหิต แต่รับรองว่าไม่มีผู้ใดมี ‘อาชาสวรรค์’ ไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน”“จะ...เจ้าให้ข้า”“ไม่ผิด และหวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะทำให้ท่านพ่อตากระจ่างในเจตนาของหยางจง” เยี่ยนหยางค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทั้งมั่นคงและหนักแน่น แววตาคมกล้าเผยความจริงใจใช้อาชาสวรรค์ตอบแทนที่เขายกสตรีแสนวิเศษให้! นี่เยี่ยนหยางจงกำลังจะบอกว่าธิดาของเขามีความสำคัญมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้เชียวจ้าวอ๋องหันไปมองจ้าวกุ้ยอินปราดหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนกลับมาที่เยี่ยนหยางจง แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ในเมื่อบุตรเขยพยายามแสดงความจริงใจถึงขนาดนี้ ตนเองจะยอมเชื่อใจดูสักครั้ง“เปิ่นหวาง
หลังรับสำรับกลางวันเสร็จ จ้าวอ๋องกำลังอารมณ์ดี จึงชวนบุตรเขยกับบุตรชายไปสนทนาและร่ำสุราต่อในสวน ส่วนจ้าวกุ้ยอินกับอวี้หรูเหรินขอตัวไปเดินเล่น พูดคุยกันตามประสาสตรีขณะที่เหล่าบุรุษกำลังสนทนากันอย่างออกรส บ่าวชายผู้หนึ่งก็เข้ามารายงาน“เรียนท่านอ๋อง มีพ่อค้าจากต่างแดนกลุ่มหนึ่งอ้างว่านำของมาส่งท่านแม่ทัพ บ่าวเห็นว่าไม่มีคำสั่ง จึงให้พวกเขาไปรอที่ประตูหลัง แต่ยังไม่ให้เข้ามาขอรับ”“หากเป็นของเจ้า เหตุใดจึงให้ส่งมาที่นี่เล่า” จ้าวอ๋องหันไปถามบุตรเขย“เรียนท่านพ่อตา สิ่งที่ส่งมาคือของขวัญวันเยี่ยมบ้านภรรยาของข้า” เยี่ยนหยางจงตอบพลางอมยิ้มน้อย ๆ“ไม่ใช่ว่าส่งเข้ามาหมดแล้วหรอกหรือ” จ้าวอ๋องนึกถึงของมีค่าที่ธิดายกเข้ามาให้ก่อนหน้านี้“เพื่อตอบแทนที่ท่านพ่อตายกสตรีที่แสนวิเศษเช่นท่านหญิงให้กับข้า แน่นอนว่าของขวัญชิ้นนี้ย่อมพิเศษกว่า”คำพูดของบุตรเขยเอ่ยเป็นนัย เขาต้องการแสดงออกถึงความจริงใจที่มีต่อจ้าวกุ้ยอิน จ้าวอ๋องจึงรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา พลันหันไปสั่งบ่าวชายที่ยืนรออยู่ “เร็วเข้า รีบให้พวกเขาเข้ามาส่งของ หลังจากรับไว้แล้วก็เอามาให้ข้าดูที่นี่”“ช้าก่อน ท่านพ่อตา พวกเราคงต้องไปชมที่คอกม้าจึ
“ช้าก่อน” เสียงตะโกนแหบห้าวดังกังวานมาจากหัวมุมถนน ยับยั้งคำสั่งเคลื่อนขบวนรถม้าไว้ทันท่วงทีจ้าวกุ้ยอินอยู่ภายในรถทำให้ไม่เห็นสภาพภายนอก ชิวอิงจึงออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นร่างสูงสง่าบนหลังอาชาสีนิลกำลังออกคำสั่งให้องค์รักษ์ตั้งขบวนอารักขา พลันเลิกม่านกลับเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี “ซื่อจื่อกลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังจัดกำลังอารักขาขบวนอยู่เจ้าค่ะ”“จัดกำลัง?” จ้าวกุ้ยอินขมวดคิ้ว ยังรู้สึกรับมือไม่ทัน“ท่านหญิงได้ยินไม่ผิดเจ้าค่ะ” พูดจบชิวอิงก็ขยับเข้ามา เลิกม่านหน้าต่างขึ้นเล็กน้อยจ้าวกุ้ยอินทอดสายตาออกไปภายนอก เห็นทหารองค์รักษ์ประมาณสิบกว่าคนกำลังตั้งขบวนอยู่ด้านหลัง จึงเข้าใจสถานการณ์อย่างแจ่มแจ้ง ความจริงแล้วบุรุษที่หายหน้าไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ได้คิดจะสร้างความอัปยศให้นางโดยการให้กลับไปเยี่ยมบ้านผู้เดียวสินะรอยยิ้มสายหนึ่งปรากฏบนดวงหน้างามลออโดยไม่รู้ตัวแต่พอเห็นว่าเยี่ยนหยางจงทำท่าเหมือนจะหันมาทางนี้ นางก็รีบเก็บสายตากลับ แล้วพึมพำเสียงเบา “นับว่าเจ้าหมียักษ์ยังรู้ดีชั่ว”เยี่ยนหยางจงมองม่านหน้าต่างที่พะเยิบพะยาบด้วยแววตาล้ำลึก ก่อนบังคับอาชาไปยังหน้าขบวนรถม้าพร้อมกับห
ครั้นตื่นลืมตา จ้าวกุ้ยอินพบว่าที่ตนเองตระหนกอยู่ครึ่งค่อนคืนนั้นเสียเปล่าแล้วเยี่ยนหยางจงไม่ได้กลับมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้อง แม่นมจางเดินนำชิวอิงกับชิวเยวี่ยเข้ามาปรนนิบัติยามเช้าทันที เพราะวันนี้คู่แต่งงานใหม่ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียมจ้าวกุ้ยอินลุกขึ้นจากเตียงแล้วทำธุระเช้าโดยไม่อิดออด เพราะจะได้กลับจวนไปพบหน้าบิดากับพี่ชายใหญ่ ไหนจะอวี้หรูเหรินอีก เมื่อในหัวใจเกิดความยินดี ยามนี้จึงรู้สึกสดชื่นอย่างยิ่งหลังจากพลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ท่านหญิงเรียบร้อยแล้ว แม่นมจางก็พาชิวเยวี่ยออกไปจากห้อง เหลือเพียงชิวอิงที่กำลังง่วนกับการแต่งหน้าทำผมให้เจ้านายภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียง “กรุ๊งกริ๊ง” ยามชิวอิงหยิบปิ่นทองประดับทับทิมปักลงบนศีรษะ จ้าวกุ้ยอินเหลือบมองเครื่องประดับชุดนั้นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนยกมือขึ้นเป็นเชิงรั้ง “ข้าไม่เอาเครื่องประดับชุดนี้”“ทำไมเล่าเจ้าคะ? บ่าวว่าเครื่องประดับปิ่นชุดนี้งดงามอย่างยิ่ง เหมาะกับท่านหญิงเป็นที่สุด” ชิวอิงเลิกคิ้วถาม“ถ้าจำไม่ผิด ปิ่นชุดนี้คือของหมั้นที่เยี่ยนหยางจงส่งมาให้ข้า”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ่าวยังนึกแปลกใจไม่หาย ว่าท่
หลังจากได้ชื่ออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว จิงจิงก็ก้มหน้าลงแทะเปลือกเหอเถาต่อ โดยมีจ้าวกุ้ยอินนั่งเท้าคางมองมันด้วยความเอ็นดูอยู่เงียบ ๆดวงหน้างามพิสุทธิ์อาบย้อมด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาหงส์ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำฤดูสารท สีหน้าเปี่ยมสุขราวบุปผาบานสะพรั่ง ดูงดงามเปล่งประกายจนผู้มองตาพร่ามัวภาพสตรีสะคราญโฉมเริงรื่นดุจความฝัน ทำให้เรือนเจาหยางมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดลยามแสงทองบนท้องนภาถูกแทนที่ด้วยม่านราตรีสีดำ ทั่วทั้งจวนก็เริ่มจุดโคมไฟ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนเจาหยาง แสงสีนวลจากโคมเหนือประตูสว่างไสวเสมือนดวงดาวนำทางให้ใครสักคน หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่นไปทั้งกาย ชิวอิงกับชิวเยวี่ยก็ช่วยกันสวมชุดนอนให้นายหญิง ทั้งบรรจงสางผมจนเรียบลื่น กระทั่งเส้นไหมสีดำมันวาวแผ่สยายเต็มแผ่นหลังเอี้ยมสีชมพูปักลายดอกโบ๋ตั๋นถูกสวมทับด้วยอาภรณ์แพรโปร่งบางสีเดียวกัน ขับเน้นผิวขาวราวหิมะให้กระจ่างสดใส อวดเรือนร่างอรชรภายใต้แสงเทียน ดูเย้ายวนใจอย่างยิ่งจ้าวกุ้ยอินอดขมวดคิ้วมิได้ เมื่อเห็นคนสนิททั้งสองกระตือรือร้นในการแต่งกายให้นางเป็นพิเศษ ราวกับจะเตรียมส่งพระสนมไปยังห้องบรรทมของจักรพรรดิ“พวกเจ้าแน่ใจนะว่ากำลัง
“ขอบคุณฮูหยินชื่อจื่อมากขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” ชิงอวี้รับถุงแพรมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วกล่าวคำอำลา หลังจากได้รับอนุญาตเขาก็รีบจากไปทันทีจ้าวกุ้ยอินมองไปยังตะกร้าที่เจ้ากระรอกน้อยนอนอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แท้ท่าทางจะเป็นจะตายของมันเมื่อครู่เกิดจากความตะกละ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกยินดีที่เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลนี้จะไม่เป็นอะไร เพราะถ้ามันตายขึ้นมา คงเพิ่มความหดหู่ให้ชีวิตนางมากขึ้นไปอีก“ถ้าเป็นตามที่ท่านหมอบอก อีกไม่นานเจ้านี่คงจะถ่ายออกมา บ่าวว่าเอามันออกไปดูแลที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ชิวอิงยังคงจดจำกลิ่นราวกับมีอะไรตายเมื่อครู่ได้ดี จึงไม่คิดเสี่ยงให้มันถ่ายของเสียออกมาในห้องอีกแต่ว่าสายเกินไป...ปู๊ด! ปรื๊ด...ปรี๊ด! จ้าวกุ้ยอินเอามือปิดจมูก ลุกขึ้นในฉับพลัน แล้วสาวเท้าถี่ ๆ ออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่ร่างอรชรจะพ้นประตู ยังไม่วายหันมากำชับนางกำนับคนสนิท “ชิวอิง เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน พอทำความสะอาดเรียบร้อยค่อยไปตามข้า”ชิวอิงรับคำสั่งแล้วร้องไห้อยู่ในใจ พลางมองตะกร้าใบเล็กอย่างผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมฮือ...ท่านหญิง ทำไมเป็นข้าที่ต้องเช็ดอึกระรอกด้วยเล่า?เมื่
“ลำบากท่านหมอแล้ว แต่ ‘คน’ ที่เป็นอะไรนั้นไม่ใช่ข้า” จ้าวกุ้ยอินยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดในจวนเจ็บไข้ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้น้อยทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าจะให้ตรวจนางกำนัล หรือสาวใช้คนใดของท่านขอรับ”“รบกวนท่านหมอแล้ว” กล่าวจบ จ้าวกุ้ยอินก็ผายมือไปด้านข้างซึ่งไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น“...” ชงอวี้นิ่งอึ้ง“ในตะกร้า” พอเห็นสีหน้างุนงงของผู้เป็นหมอ จ้าวกุ้ยอินจึงเปิดปากอีกประโยคชงอวี้สาวเท้าไปยังโต๊ะข้างตั่งที่มีตะกร้าวางอยู่ใบหนึ่ง พอถึงที่หมายก็ชำเลืองมองลงไป เมื่อเห็นกระรอกน้อยนอนตัวสั่นอยู่ในนั้น พลันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบความอดทนแม้อยากจะตะโกนใส่หน้าสวย ๆ ของฮูหยินซื่อจื่อว่า ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่? แต่ก็พยายามตั้งสติ รวมไปถึงทำความเข้าใจสตรีงดงามที่กำลังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วมองมาทางนี้อย่างมีความหวัง จึงยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้หากสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บป่วย ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงส่งคนเชิญตนเองมารักษามันกระมังแต่ว่าเขาเป็นหมอรักษาคน!“ท่านหมอรออะไรอยู่หรือ ยังไม่รีบตรวจอีก” จ้าวกุ้ยอินที่รอฟังอาการของกระรอกน้อยเจ้าปัญหาอยู่เอ่ยเ
Comments