ท่านหญิงอย่าง จ้าวกุ้ยอิน นอกจากสถานะสูงส่งกับรูปโฉมงดงามปานเทพธิดาแล้ว ยังมีสิ่งใดให้ยินดีบ้าง... เริ่มจากวัยเยาว์ นางเปิดโปงธิดาท่านโหวที่มีกลิ่นกายล่อลวงบุรุษดุจนางปีศาจ จึงถูก ฉินอ๋อง ผู้เป็นคู่หมายรังเกียจว่าเป็นสตรีใจคับแคบ แม้ต่อมานางจะใช้ร่างกายต่างโล่กันธนูปกป้องเขา ก็ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นแผนทุกข์กาย เพื่อจะได้แต่งเข้าจวนอ๋อง นอกจากเขาจะไม่สนใจไยดีสตรีที่บาดเจ็บสาหัส ยังแต่ง เยี่ยนเยว่ฉี บุตรีแม่ทัพใหญ่เป็นหวางเฟยหน้าตาเฉย อาจเป็นเพราะฉินอ๋องไม่ต้องการรับผิดชอบหญิงผู้มีแผลเป็นจากคมธนู จึงเป็นตัวตั้งตัวตีให้ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ เยี่ยนหยางจง พี่ชายของสตรีที่แย่งชิงทุกสิ่งจากนางไป โดยตนเองมีค่าเป็นเพียงรางวัลในงานล่าสัตว์เท่านั้น เมื่อต้องแต่งงานกับบุรุษที่ไม่ได้รัก จึงตั้งใจว่าต่อให้ต้องตายก็จะไม่มีวันร่วมหอกับเขาเป็นอันขาด ทว่าคืนแต่งงานนางกลับถูกวางยาปลุกกำหนัด ครั้นนางตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่เรื่องยังคงประดังประเด เมื่อนางกำนัลคนสนิทต้องถูกโบยจนตาย ซ้ำร้ายน้องสามี หรือจิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้นอย่าง เยี่ยนจิ้นหลิง กล่าวกับแม่สามีว่านางไม่อาจตั้งครรภ์ นอกจากจะทำให้ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ยังบังคับกลายๆ ให้นางรับอนุ สวรรค์! ข้ายังต้องเจอเรื่องยุ่งยากอะไรอีก...
View Moreเมืองหลวง แคว้นหาน
โรงละครเป่าชางนับว่าเป็นสถานเริงรมย์อันใหญ่โตโอ่อ่าที่สุดในแคว้นหาน ทุก ๆ ปี ตระกูลจ้าวซึ่งมีฐานะเป็นพระญาติใกล้ชิดที่สุดของราชวงศ์จะจัดแสดงงิ้วเรื่องพิเศษขึ้น มีเพียงเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และคหบดีผู้มีชื่อเสียงเท่านั้นจึงจะได้รับเชิญ แต่ในปีนี้ฮ่องเต้รับสั่งให้ฉินอ๋องผู้เป็นพระอนุชาทำหน้าที่ประธานแทนพระองค์
ฉินอ๋องในชุดคลุมชินอ๋องสีดำปักลายพยัคฆ์ยืนเป็นสง่าอยู่ที่กลางโถงใหญ่
แม้ใบหน้าราวหยกนั้นจะราบเรียบและเย็นชา ทว่ากลับมีเสน่ห์ดึงดูดสตรีให้ไม่อาจละสายตา รัศมีรอบกายที่แผ่กำจายออกมาเจือไอเย็นบาง ๆ จนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้
แต่แล้วน้ำแข็งที่ฉาบในดวงตาพลันละลาย ริมฝีปากที่มักเม้มเป็นเส้นตรงกลับค่อย ๆ หยักโค้งเป็นรอยยิ้ม กลิ่นอายที่รายล้อมแปรเปลี่ยนจากเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บเป็นแสงแรกจากตะวันของวสันต์ ทำให้สตรีทั้งหลายต่างเหม่อมองเขาราวกับถูกกระชากวิญญาณออกไป
อีกมุมหนึ่ง จ้าวกุ้ยอินผู้เป็นธิดาจ้าวอ๋องกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ พอเห็นรอยยิ้มนั้นใบหน้างามสะคราญพลันแดงระเรื่อ นัยน์ตาฉาบด้วยน้ำผึ้งหวานหยด น้อยครั้งนักที่นางจะได้เห็นรอยยิ้มของบุรุษที่สิงในหทัย ทว่าเมื่อเหลือบแลตามสายตาของเขาไป ก็มีอันต้องเก็บความรู้สึกของตนเองกลับมา เพราะรอยยิ้มราวแสงตะวันอันอบอุ่นอ่อนโยนนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อนาง แต่มีไว้ให้เยี่ยนเยว่ฉีบุตรีไคกั๋วกง
สตรีในชุดสีชมพูปักลายดอกโบตั๋นที่กำลังเยื้องกรายเข้าไปใกล้ฉินอ๋องด้วยท่วงท่าราวนางหงส์ แล้วยอบกายคารวะคู่หมั้นอย่างอ่อนช้อย ก่อนปรายสายตาหวานเชื่อมไปยังบุรุษตรงหน้าปราดหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย ทุกอากัปกิริยาเหมาะสม ทำให้ทุกคนที่มองอยู่ล้วนชื่นชม และเห็นพ้องว่าทั้งสองสมกันราวกิ่งทองใบหยก
แต่สำหรับเจ้ากุ้ยอินแล้วภาพที่เห็นตรงหน้าเปรียบประดุจคมดาบที่เชือดเฉือนหัวใจอย่างทารุณ
เดิมจ้าวกุ้ยอินถูกผู้ใหญ่วางตัวไว้เป็นชายาเอกขององค์ชายเก้ามู่เลี่ยงหรง นางกับจ้าวเฟิงเหลยผู้เป็นพี่ชายเข้าวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง เพื่อไปเป็นเพื่อนเล่นกับองค์ชายร่วมกับสองพี่น้องจากจวนโหว จนกระทั่งพระอนุชาได้รับแต่งตั้งเป็นฉินอ๋อง
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจ้าวกุ้ยอินในเวลานั้นรู้สึกน้อยอกน้อยใจที่ท่านอ๋องน้อยเอ็นดูถางซือเซียนมากกว่าตนเอง จึงเผลอทำร้ายและด่าทอธิดาจวนโหวผู้มีกลิ่นกายล่อลวงจิตใจคนได้ว่า “เด็กปีศาจ”
เมื่อมู่เลี่ยงหรงเห็นถางซือเซียนที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าถูกจ้าวกุ้ยอินทำร้าย เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและไม่เคยให้อภัยนางอีกเลย แต่ถึงกระนั้นไทเฮาก็ยังคงรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าข้อตกลงกับตระกูลจ้าวล้วนไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ไม่นานพระโอรสคงจะหายโกรธเคืองท่านหญิงน้อยไปเอง ให้จ้าวอ๋องวางใจ
ในเวลานั้นจ้าวกุ้ยอินถูกผู้ใหญ่ตำหนิและอบรมเป็นการใหญ่
เพื่อขยายฐานอำนาจราชวงศ์วันข้างหน้าฉินอ๋องย่อมต้องรับชายารอง และอนุมากมาย นางเกิดในตระกูลสูงต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ความรู้สึกให้ดี มิเช่นนั้นจะปกครองเรือนหลังได้อย่างไร
เมื่อกระจ่างใจในเหตุผล ท่านหญิงน้อยจึงเรียนรู้การเก็บงำความรู้สึกตั้งแต่บัดนั้น
วันเวลาผ่านไป ท่านหญิงกุ้ยอินเติบโตกลายเป็นยอดพธู บุรุษทุกผู้ในแคว้นไม่อาจปฏิเสธความสามารถกับความงดงามสูงค่านี้ได้
แต่สำหรับนางแล้วไม่ว่าผู้ใดก็หาอยู่ในสายตา ตลอดมาในใจมีเพียงฉินอ๋อง สิ่งใดที่เขาโปรดปรานนางล้วนแตกฉานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการฝีมือ ร่ายโคลงกลอน วาดภาพ เขียนอักษร หรือแม้แต่การร่ายรำซึ่งเป็นสิ่งที่สตรีสูงศักดิ์ไม่นิยมร่ำเรียน นางก็ขอร้องบิดาให้ส่งเสริม เพียงเพื่อจะแสดงให้บุรุษในดวงใจได้เห็นตนเองขณะกรีดกรายอยู่บนลานแสดงหน้าพระพักตร์ในงานเลี้ยงทุก ๆ ปี
ที่จ้าวกุ้ยอินทำลงไปทั้งหมดนี้ เพียงปรารถนาว่ามู่เลี่ยงหรงจะส่งสายตาชื่นชมมาให้สักครั้งหนึ่ง
แต่ก็มีเพียงประกายเย็นชาจากนัยน์ตาสีนิลไร้ก้นบึ้งตอบกลับมาเท่านั้น...
เหมือนสวรรค์ยังโหดร้ายกับนางไม่พอ เมื่องานชมดอกเหมยไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสระหว่างฉินอ๋องกับเยี่ยนเยว่ฉี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้ใดจะได้เป็นฉินหวางเฟย...
แล้วข้าเล่า?
เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมา จ้าวกุ้ยอินก็รู้สึกอึดอัดขับข้องใจ นางพากเพียรเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเป็นชายาเอกฉินอ๋อง แต่สุดท้ายตำแหน่งนี้กลายเป็นของสตรีที่มาจากชายแดนผู้นั้น
การรอคอยและทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำเพื่อเขานั้น...ไร้ค่ากระนั้นหรือ?
หลังจากงานชมดอกเหมย จ้าวกุ้ยอินต้องทนกับข่าวลือ เสียงซุบซิบนินทา และสายตาของผู้คนมากมาย พวกเขามองมาราวกับเวทนา ทำไมนางจะไม่รู้ว่าภายใต้หน้ากากที่แสดงความเห็นอกเห็นใจเหล่านั้น มีแววเยาะหยันบาง ๆ เคลือบแฝงอยู่ด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาประกายหยาดน้ำพลันไหววูบ สองมือภายใต้ชายแขนเสื้อที่พลิ้วไหวกำผ้าเช็ดหน้าแน่นอารมณ์หลากหลายสลับสับสนอยู่ในดวงใจ ทั้งเจ็บปวดระคนอิจฉาริษยา ที่ตนไม่ใช่สตรีที่ได้ยืนเคียงข้างบุรุษในชุดสีดำปักลายพยัคฆ์ผู้นั้น
แต่นางมิใช่เด็กน้อยในวันวานอีกต่อไปแล้ว
หากไม่ระมัดระวังกิริยา ก็มีแต่จะถูกเหล่าธิดาและบุตรสาวขุนนางทั้งหลายซ้ำเติมเสียเปล่า ๆ
จ้าวกุ้ยอินเพียงยืนมองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ จนกระทั่งบุรุษรูปงามอีกสองคนเดินเข้าไปสมทบกับมู่เลี่ยงหรงและเยี่ยนเยว่ฉีที่ยืนสบตากันอยู่
หนึ่งคือเยี่ยนหยางจง ชื่อจื่อไคกั๋วกง[1] เขายังรั้งตำแหน่งรองแม่ทัพตระกูลเยี่ยนอีกด้วย สองคือเยี่ยนจิ้นหลิงบุตรชายคนรอง เขาเป็นกุนซือหนุ่มผมสีเงินที่บรรดาสตรีทั้งแคว้นหานยกให้เป็นชายรูปงามเหนือฉินอ๋อง
เมื่อสามบุรุษผู้มีรูปโฉมและความสามารถโดดเด่นที่สุดแห่งแคว้นยืนอยู่เคียงกัน ยิ่งทำให้คุณหนูทั้งหลายตาพร่ามัว
ฉินอ๋องมีกลิ่นอายสูงส่ง ถึงปกติจะดูเคร่งขรึมและเย็นชา แต่นัยน์ตาเข้มลึกดุจท้องฟ้ายามราตรีกลับดึงดูดหัวใจสตรีอย่างประหลาด เยี่ยนหยางจงให้ความรู้สึกดั่งดวงอาทิตย์ที่สาดส่อง ซ่อนความร้อนแรงไว้ภายในดวงตาเหยี่ยวคมปลาบ รูปร่างสูงใหญ่ กำยำแข็งแกร่ง องอาจผึ่งผายสมเป็นชายชาตินักรบ ส่วนเยี่ยนจิ้นหลิงนั้นไม่ต่างกับเทพยดาจำแลง รูปลักษณ์ราวภาพฝันนี้คล้ายล่อหลอกมวลมนุษย์ทั้งหญิงชายให้หลงใหล และศิโรราบได้เพียงแค่เขาปรายสายตา
จ้าวกุ้ยอินเอะใจเล็กน้อยที่วันนี้กุนซือผมสีเงินที่มักสวมอาภรณ์สีขาวตลอดร่างกลับสวมชุดสีดำสนิท ทำให้ยามนี้เขาดูลึกลับขึ้นหลายส่วน ผิดกับพี่ชายคนโตที่สวมอาภรณ์แขนกว้างสีน้ำเงิน ซึ่งให้ความรู้สึกสุขุมคัมภีรภาพมากกว่า
ก็แน่ล่ะ ยามนี้เยี่ยนหยางจงเป็นถึงซื่อจื่อไคกั๋วกง ย่อมต้องทิ้งคราบชายกักขฬะยามอยู่ชายแดนแล้ววางตัวให้ดูดี แม้หน้าตาของเขาจะไม่เลว แต่ยังดูธรรมดาจนเกินไปเมื่อเทียบกับน้องชายและน้องสาวที่ดูโดดเด่นเหนือคนสามัญ
ถึงกระนั้นจ้าวกุ้ยอินก็อดสงสัยมิได้ว่า เหตุใดชายผู้ที่มีนัยน์ตาเฉียบคมถึงต้องเก็บงำประกายอันโชติช่วงราวดวงอาทิตย์เอาไว้อย่างสุดความสามารถ หากไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็นความทระนงและเฉลียวฉลาดที่ฉายออกมาราวระลอกคลื่นเล็ก ๆ แต่เพียงวูบเดียวก็เจือจางนั้นได้
หรือว่า...เขาพยายามจะไม่เป็นจุดสนใจ?
[1] ชื่อจื่อ หมายถึง รัฐทายาท ผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง หรือขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์ชั้นสูง
ก่อนจะถึงวันครบรอบแต่งงาน เยี่ยนหยางจงก็หว่านล้อมจ้าวกุ้ยอินให้ออกมามาล่องเรือเล่นกับเขาได้สำเร็จทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของเมืองหลวง รอบ ๆ เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานา ทำให้ทัศนียภาพแปลเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูเนื่องจากยามนี้เป็นปลายฤดูร้อนแล้ว อากาศจึงเย็นสบายกำลังดีจ้าวกุ้ยอินนั่งหันหน้าไปทางหัวเรือ สองสายตามองตรงไปยังท้องน้ำที่เปล่งประกายยามต้องแสงอาทิตย์ แม้จะฉากหลังจะงดงามราวภาพวาด ทว่าดวงหน้างามปานล่มเมืองกลับหม่นเศร้า แววตาที่เคยเด็ดเดี่ยวดังนางม้าป่าดูซึมเซาจนเยี่ยนหยางจงสะท้อนใจโดยปกติ สำหรับผู้สูงศักดิ์ บ่าวไพร่มีค่าไม่ต่างจากมดปลวก เขาไม่คิดว่าการที่ตนเองพรากชิวสุยไปจากจ้าวกุ้ยอิน จะสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจให้นางขนาดนี้ตั้งแต่ออกจากจวนจนถึงตอนนี้ จ้าวกุ้ยอินพูดกับเขานับคำได้ หากตนเองยังไม่ทำอะไรสักอย่าง เกรงว่าหยางจงน้อยคงจะไม่ได้เกิดเป็นแน่ครั้นแล้วเยี่ยนหยางจงก็ออกแรงพายเรือให้เร็วขึ้นอีก จนกระทั่งพวกเขาออกมาไกลจากเรือลำอื่น ๆจ้าวกุ้ยอินเหม่อมองเบื้องหน้าอย่างคิดไม่ตก นางเองก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้ แต่ส่วนลึกไม่อาจให้อภัยตนเองได้ เพราะถ้าชิวสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น เยี่ยนจิ้นหลิงก็ไปบอกกับมารดาว่าจ้าวกุ้ยอินสุขภาพสมบูรณ์ดีแล้ว ขอเพียงเยี่ยนหยางจงขยันหว่านเมล็ดพันธุ์ นางจะต้องตั้งครรภ์อย่างแน่นอน ไป๋หลันได้ยินดังนั้นก็ยินดีอย่างยิ่ง ถึงกับยกเลิกการคารวะยามเช้า และส่งของบำรุงทั้งหลายแหล่มาให้ ยามนี้จ้าวกุ้ยอินจึงดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลยิ่งกว่าที่เคยเนื่องจากสถานการณ์สงบแล้ว จ้าวกุ้ยอินจึงมีใจอยากออกไปพบปะผู้คนบ้าง เยี่ยนหยางจงมิได้มีปัญหา แต่ยังรู้สึกไม่วางใจ จึงสั่งให้ฟางหรู หนิงเหอ จิวซิน และอวิ้นเซียนติดตามไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงของจวนใด ภาพที่ผู้อื่นคุ้นชินคือขบวนของฮูหยินซื่อจื่อไคกั๋วกง ยิ่งเห็นจ้าวกุ้ยอินปฏิบัติกับเหล่าอนุอย่างดี อีกทั้งสายตาของพวกนางก็เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบยิ่ง ทำให้ชื่อเสียงเรื่องความใจกว้างของจ้าวกุ้ยอินระบือไกล โดยหารู้ไม่ว่าสตรีทั้งสี่เป็นเพียงอนุแค่ในนาม แท้จริงแล้วพวกนางสี่คนคือองครักษ์หญิงที่เยี่ยนหยางจงกับจ้าวอ๋องจัดหามาให้ และทุกครั้งที่เขาไปหาพวกนาง ก็เป็นเพียงฉากบังหน้า แต่แท้ที่จริงลอบออกไปทำภารกิจลับยามราตรีต่างหากสตรีผู้เดียวที่เยี่ยนหยางจงร่วมเรียงเคียงหมอนก็คือจ้า
“นั่นเพราะสวรรค์สร้างให้พี่ชายข้าเกิดมาเป็นคนพิเศษอย่างไรเล่า” เยี่ยนหยางจงเคยได้รับบาดเจ็บบริเวณใกล้เคียงจุดนี้มาก่อน ทำให้รู้ว่าหัวใจของพี่ชายอยู่ทางอกด้านขวา ดังนั้นยามเห็นปิ่นปักอยู่ทางอกซ้ายจึงยังใจเย็นอยู่ได้“หากเจ้ารู้อาการดีก็ควรรีบบอก แกล้งอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแต่กุ้ยอินที่ใจเสีย พวกข้าเองก็ไม่ต่างกัน” จ้าวเฟิงเหล่ยถอนใจเบา ๆ“จวิ้นอ๋อง อย่าทำหน้าแบบนั้น นางสิผิดที่ไม่ฟังอะไรเลย จู่ ๆ ก็มาตีโพยตีพายใส่พวกเราโดยไม่นึกถึงความผิดตัวเองสักนิด อย่างไรก็ปล่อยให้ข้าได้ล้างแค้นเสียหน่อยเถิด” เยี่ยนจิ้นหลิงหาเหตุผลให้การกระทำของตนเองได้สำเร็จภายในห้อง“อาจง อาจง” จ้าวกุ้ยอิงนั่งอยู่ข้างเตียงที่มีเยี่ยนหยางจงนอนเหยียดยาวอยู่ ชายหนุ่มเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผ่นอกกำยำที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ นางพึมพำเสียงเครือขณะที่ลูบใบหน้าคร้ามคมที่ดูเผือดเซียวเล็กน้อย “ท่านเจ็บมากหรือไม่ ขอโทษนะที่ข้า...”“อินเอ๋อร์... พอเถิด ร้องไห้จนตาแดงช้ำไปหมดแล้ว” เยี่ยนหยางจงว่าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้ “แต่ก็ เพราะเสียงด่าเสียงร้องไห้ของเจ้า ทำให้ยมทูตต่างยอมล่าถอย ไม่ยอมมารับดวงวิญญาณของข้าไป
เยี่ยนจิ้นหลิงสูดลมหายใจลึก รู้ว่าประโยคต่อจากนี้ไม่ต่างจากเอาน้ำเกลือราดรดลงบนแผล แต่ก็ตัดสินใจพูดไป “ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าเป็นเพราะท่านที่รนหาที่ พี่ใหญ่จึงต้องบาดเจ็บเช่นนี้”จ้าวกุ้ยอินเมื่อได้ยินเช่นนั้นประหนึ่งถูกน้ำเย็นราดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างกายเอนซวนซบเข้ากับเสาอย่างหาที่พึ่งพิง “รนหาที่หรือ? ข้าเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าภาพของอู๋หมิงกงจื่อที่นำมาประมูล เป็นภาพเดียวกันกับที่ข้าพบในห้องหนังสือของเขาหรือไม่เท่านั้น... เพียงเท่านั้น”“อู๋หมิงกงจื่อ... อู๋หมิงกงจื่อ ถ้าท่านพอใจในผลงาน ไฉนจึงไม่ขอกับพี่ใหญ่เล่า เขาใช้เวลาไม่นานก็วาดให้ท่านได้ จะเอากี่สิบกี่ร้อยภาพก็ตามแต่ใจท่าน... สวรรค์... ท่านกลับทำให้เขาต้องมาเจ็บตัวเพราะความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เองหรือนี่ ไม่น่าเชื่อเลย” เยี่ยนจิ้นหลิงได้ยินเช่นนั้นพลันส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขาเดินมาใกล้กับจ้าวกุ้ยอิน มองใบหน้างดงามที่เผือดซีดราวกระดาษวาดภาพ“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” จ้าวกุ้ยอินเงยหน้าขึ้นมาสบตากับน้องเขยของตน ดวงตากลมโตวาววับดังเนื้อทรายนั้นระคนด้วยความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง “พี่สะใภ้ ดูท่าพี่ใหญ่คงไม
“อะไรนะ จ้าวกุ้ยอิน เจ้า... เจ้ากล้าหลอกเปิ่นหวาง” เส้นเลือดตรงขมับของมู่เฟยหรงเต้นตุบ ๆ ยามนี้เขารู้สึกเหมือนมีคำว่าโง่ บรมโง่ ติดอยู่กลางหน้าผาก ถ้าไม่เพราะกลัวหนอนกู่จะกัดกินร่าง เขาคงหลบหนีได้ทัน“นี่พวกเจ้าจะยืนเฉยอีกนานไหม ถ้ายังมัวชักช้า อาจง... อาจงอาจจะตายก็ได้นะ” จ้าวกุ้ยอินไม่สนใจท่าทางกระฟัดกระเฟียดของมู่เฟยหรง แต่หันไปมองมู่เลี่ยงหรงกับเยี่ยนจิ้นหลิงแทน“ขออภัย เปิ่นหวางนึกว่าเขาตายแล้ว” ตอนมู่เลี่ยงหรงเข้ามา เห็นปิ่นเงินปักอยู่ตรงอกด้านซ้ายของเยี่ยนหยางจง ก็คิดว่าเขาไม่น่าจะรอดแล้ว จึงละเลยพี่ภรรยาไป แต่พอรู้ว่าเขายังไม่ตาย ก็บังเกิดความละอายใจเล็กน้อยบรรพบุรุษเจ้าสิตาย! จ้าวกุ้ยอินมองมู่เลี่ยงหรงด้วยดวงตาแดงก่ำ สาปแช่งบรรพบุรุษตระกูลมู่ในใจไม่หยุด “เขายังไม่ตายสักหน่อย”“เด็ก ๆ พาแม่ทัพไป๋หู่กลับจวนไคกั๋วกง” สิ้นคำสั่งของฉินอ๋อง เหล่าองครักษ์ก็จัดการนำร่างของเยี่ยนหยางจงออกไปจากที่นั่น โดยมีจ้าวกุ้ยอินร้องไห้วิ่งตามไปบทส่งท้าย ชั่วยามนี้ จวนไคกั๋วกงเต็มไปด้วยความร้อนรนอลหม่าน หลังจากซื่อจื่อของจวนกลับมาพร้อมกับฮูหยินน้อยที่หายตัวไปในสภาพที่มีแผลฉกรรจ์ตรงหน้าอก อาการเ
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” มู่เฟยหรงไม่เข้าใจว่าเยี่ยนจิ้นหลิงตามมาถูกได้อย่างไร ความจริงพวกเขาควรจะตามไปจัดการกับเอี้ยนอ๋องที่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงสิ ทำไมถึงมาที่นี่ หรือว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลว“เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่สะใภ้ จิ้นหลิงเพิ่งรู้ว่าเครื่องประดับมากมายเหล่านั้นก็มีประโยชน์อย่างอื่นด้วย” ระหว่างตามรอยเยี่ยนหยางจง เยี่ยนจิ้นหลิงพบจิงจิงวิ่งอยู่บนพื้นหิมะ จึงได้รับสารขอความช่วยเหลือ“เจ้าพบจิงจิงสินะ” จ้าวกุ้ยอินเข้าใจในทันที“พี่สะใภ้เข้าใจเล่นคำ ‘ตามจิงจิง(อัญมณีแวววาว)มา’ หากเป็นผู้อื่นคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้กระรอกนำทาง แต่บังเอิญเป็นจิ้นหลิงที่ได้รับสารจึงเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่” ภาพอัญมณีสะท้อนแสงคบไฟในความมืดเป็นระยะผุดขึ้นในความทรงจำ ยามนี้เขายอมรับแล้วว่าพี่สะใภ้มิใช่ที่มีดีแค่ความเป็นหญิงงาม สติปัญญาของนางยังอยู่ในระดับใช้ได้อีกด้วย“ไว้ชมกันทีหลัง รีบพาอาจงไปรักษาเร็วเข้า” จ้าวกุ้ยอินเร่งเร้า“ย่อมได้” เยี่ยนจิ้นหลิงรับคำ แล้วหันไปหามู่เฟยหรง กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง “หานอ๋อง ท่านหนีไม่รอดแล้วล่ะ ยอมกลับวังหลวงดี ๆ เถิด จะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บอีก จิ
Comments