เพื่อนและแฟนที่รักจงใจปั่นหัวดั่งเธอโง่งม ท่ามกลางไฟสลัวกลับมีมือคู่หนึ่งยื่นบางอย่างมาให้ พร้อมแสงสุดท้ายในโลกใบเดิม ทว่าเธอกลับได้เกิดใหม่ในร่างสตรีตัวร้าย ซ้ำยังถูกตราหน้าว่าอัปลักษณ์ทั้งกายและใจ
View Moreถนนทอดยาวในเมืองหลวงตอนนี้ล้วนประดับไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวโพลนซึ่งปกคลุมทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งบริเวณ แสงสะท้อนจากเสาไฟสองข้างทางบ่งบอกว่าราตรีกาลมาเยือนแล้ว หญิงสาวร่างเพรียวบางสวมเครื่องแต่งกายล้ำสมัย กำลังก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา มีเพียงลาดไหล่แคบที่กระเพื่อมไหวสั่นระริก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะสวยเปื้อนเขรอะคราบน้ำตาจนดูไม่จืด ขาเรียวเยื้องย่างไร้เรี่ยวแรงท่ามกลางความหนาวเหน็บ
วันนี้คือเทศกาลแห่งความรัก มองไปทางไหนก็พบแต่คนเคียงคู่ นี่ควรเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตของเธอไม่ใช่เหรอ ในขณะที่เธอตั้งใจเลือกของขวัญชิ้นพิเศษเพื่อมอบแด่ชายอันเป็นที่รัก เหตุใดจึงต้องเผชิญกับภาพบาดตาบาดใจแทน
ใบหน้าแย้มยิ้มของเพื่อนสาวและชายซึ่งเธอรักสุดหัวใจ โผกอดกันท่ามกลางหิมะโปรยปราย มันกำลังปรากฏฉายชัดดั่งภาพสามมิติวนซ้ำไปมา ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดคล้ายถูกปลายมีดอันแหลมคมเสียบลึกตรงอกซ้าย เธอไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขามาโดยตลอด เหตุใดจึงกล้าแทงเธอจากข้างหลังอย่างเลือดเย็น
เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน...
หญิงสาวง้างมือขึ้น จากนั้นปากล่องของขวัญทิ้งอย่างไม่ไยดี ร่างระหงยอบกายลงพลางกอดเข่าซบหน้าสะอื้นไห้ เธอไม่กลัวความหนาวเย็นเลยสักนิด ยิ่งหนาวยิ่งดี ยิ่งกัดลึกกร่อนกระดูกให้เธอตายไปซะจะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดก็ยิ่งดี
หากเธอเลือกได้ ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหน ๆ ขออย่าได้พานพบผู้ชายมักมากหลายใจอีก ปล่อยให้เธอไร้หัวใจ ครองตัวเป็นโสดไปเลยยิ่งดี!!
"แม่หนู มานั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้ ไม่หนาวเหรอจ๊ะ" น้ำเสียงแปร่งดังขึ้นเหนือหัว
เจ้าของใบหน้างามแหงนขึ้นแช่มช้า เปลือกตาบางหรี่ลงเล็กน้อย เธอพยายามกะพริบเปลือกตาถี่เพื่อขับไล่ม่านน้ำสีใส หนำซ้ำเบื้องหลังยังมีแสงจากดวงไฟสาดสะท้อนเข้ามา ส่งผลให้เธอมองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเท่าที่ควร ฟังจากน้ำเสียงและสังเกตลักษณะโดยประมาณ จึงพอคาดเดาได้ว่าผู้มาเยือนเป็นหญิงสูงวัย
เธอส่ายศีรษะเป็นการตอบกลับ เสียงใสเอ่ยถามด้วยความสั่นเครือพลางสูดน้ำมูกเสียงดังพรืด "ละ...แล้วคุณยายล่ะคะ ไม่หนาวเหรอ ดึกมากแล้วนะคะ"
เธอได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะแผ่วดังลอดจากลำคอ มือเหี่ยวย่นยื่นลงมาเบื้องล่างเพราะต้องการช่วยพยุงเธอยืนขึ้น หญิงสาวส่ายหน้าอีกหน "ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย หนูอยากอยู่ตรงนี้อีกสักพัก"
แม้มองไม่ชัดแต่เธอรับรู้ได้ว่าหญิงชราผู้นี้กำลังผลิยิ้มอันอบอุ่นส่งมาให้ "ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ มีพบก็ต้องมีจาก มีรักก็ต้องมีสิ้นรัก ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตายก็ล้วนเจ็บปวดด้วยกันทั้งสิ้น"
หญิงสาวนิ่วหน้า เธอตัดสินใจหยัดกายยืนขึ้น "คุณยายหมายถึงอะไรคะ"
มือเรียวซึ่งห่อหุ้มด้วยถุงมือหนังราคาแพงยกขึ้นปาดน้ำตาที่ยังหลงเหลือทิ้ง
"นี่ของหนูใช่หรือไม่" หญิงชรายื่นบางสิ่งไปเบื้องหน้า
เธอหลุบเปลือกตาพิจารณาของในมือหญิงชราด้วยความฉงน ยังไม่ทันตอบตกลงหรือปฏิเสธใด มือเล็กก็ถูกอีกฝ่ายคว้าไว้โดยไม่ทันตั้งตัว หญิงชราวางบางสิ่งลงบนฝ่ามือเธอ หญิงสาวยกขึ้นพลิกซ้ายขวาตรวจสอบอย่างถ้วนถี่ สร้อยลูกปัดอันนี้ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอน
"คุณยายคะ นี่ไม่ใช่..." เธอแหงนหน้าขึ้น "อะ...อ้าว...หายไปไหนแล้วนะ"
นัยน์ตากลมโตกวาดมองโดยรอบก็ยังไม่พบกระทั่งร่องรอย เธอสำรวจสร้อยลูกปัดสีแดงสะท้อนแสงอีกครั้ง คิ้วสวยขมวดมุ่นแทบผูกเป็นปม
"ดูไปแล้วเหมือนของล้ำค่าจากยุคโบราณเลย คุณยายคงไม่ใช่หัวขโมย แล้วต้องการโบ้ยความผิดให้เราใช่ไหม" เธอจะทิ้งก็ไม่ได้ จะเก็บไว้ก็ลังเล ท้ายที่สุดเธอจึงเลือกเก็บเอาไว้อย่างนึกปลดปลง
"ไว้ค่อยตามหาแล้วกัน คุณยายน่าจะเป็นคนพื้นที่นี้" หญิงสาวมองสร้อยลูกปัดในมือ จากนั้นถอนหายใจแผ่ว
ขาเรียวยาวสวมรองเท้าหนังหุ้มสูงถึงหัวเข่าก้าวเดินต่อไปเบื้องหน้า อยู่ ๆ เธอก็สัมผัสถึงความผิดปกติของร่างกายตน
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจรัวกระหน่ำ ใบหน้างามเหยเก มือที่ยังถือสร้อยปริศนายกขึ้นขย้ำบริเวณอกซ้ายเพื่อคลายความเจ็บปวด เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าออกเนิบช้า กระทั่งร่างบอบบางเอนเอียงไม่มั่นคงจวบจนล้มลงท่ามกลางหิมะเย็นเยียบ
...หายใจไม่ออก นี่เราเสียใจจนใกล้ช็อกตายจริง ๆ น่ะเหรอ
เสียงหอบหายใจเข้าออกเป็นจังหวะดังสะท้อนในโสตประสาท ก่อนดวงตาดับแสงลง กลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เขาประคองร่างบอบบางไว้บนอ้อมแขน พลางร้องเรียกชื่อของเธอด้วยความร้อนรน
"จือหลิน จือหลิน ฟื้นสิ เป็นอะไร"
เขาเขย่าตัวเธออย่างบ้าคลั่งด้วยอาการตื่นตระหนก เมื่อลองเพ่งสายตามองผ่านลาดไหล่กว้างไป เธอจึงประสานกับแววตาเย็นชาของเพื่อนสนิทซึ่งยืนไม่ห่างมากนัก นัยน์ตานั่นบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่าอีกฝ่ายกำลังสาปส่งเธอ
สมควรตายไปซะ!
เปลือกตาบางปิดปรือแช่มช้า ลมหายใจหญิงสาวแผ่วโหยโรยแรงลงเรื่อย ๆ
พวกหน้าไม่อาย คนทรยศ!!
แค่ก แค่ก
"...ฮูหยิน ฮูหยินท่านได้สติแล้ว!" เสียงแหลมเล็กดีใจราวลิงโลด
หา...ฮูหยินเหรอ ฮูหยินอะไร
เปลือกตาบางขยับไหวท่ามกลางความมืดมน จากนั้นจึงเปิดปรือขึ้นแช่มช้า เมื่อเริ่มขยับตัวกลับรู้สึกร้าวระบมไปเสียหมด เสียงที่เปล่งก็ช่างแปร่งพร่าแห้งขอด "นะ...น้ำ"
"เจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวเอามาให้นะเจ้าคะ" สตรีร่างเล็กลุกพรวดพราดด้วยความเร่งร้อน ส่วนอีกคนมองผู้ป่วยซึ่งนอนซมด้วยดวงตาแดงก่ำ
เอ๋...เกิดอะไรขึ้น นี่มันที่ไหนกัน แล้วสองคนนี้ แต่งตัวก็คล้ายในซีรีส์ย้อนยุคเลย
หญิงสาวมองผู้เป็นนายกำลังสอดส่ายสายตาด้วยสีหน้างุนงง น้ำสีใสก็พานจะไหลอยู่รอมร่อ "ฮูหยิน เป็นอะไรไปเจ้าคะ"
"ฮูหยิน น้ำมาแล้วเจ้าค่ะ"
ยังไม่ทันไขข้อข้องใจ อีกคนก็วนกลับมาพร้อมถ้วยชาในมือ ตอนนี้โซนสมองกำลังตบตีกันจ้าล่ะหวั่น หญิงสาวทั้งสองดูไปแล้วอายุคงราวสิบห้าสิบหก ทั้งสองช่วยประคองกายผู้ป่วยเอนหลังพิงหัวเตียงได้สะดวก
ช่างเถอะ กินน้ำก่อน คอแห้งจะตายอยู่แล้ว
มือเรียวเอื้อมรับถ้วยชากระเบื้องเคลือบพลางกระดกดื่มจนหมด
"เอาอีก"
"เจ้าค่ะ"
น้ำชาถูกส่งเข้าปากอึกแล้วอึกเล่า อีกคนดื่มอีกคนหันไปเติมอยู่เช่นนั้นจนวุ่นไปหมด
"ฮูหยิน ท่านกระหายน้ำมากหรือเจ้าคะ ค่อย ๆ ดื่มเจ้าค่ะ"
"ไม่มีแก้วเหรอคะ นี่มันดื่มไม่อิ่มเลย"
"หา...แก้ว แก้วใดเจ้าคะ" สตรีสองนางมองหน้ากันหลุกหลิก
"โอ๊ย!...ปวดหัว"
อยู่ ๆ ภาพบางอย่างพลันปรากฏขึ้นชั่วพริบตา ทุกการกระทำและคำพูดของสตรีนางนี้กำลังฉายชัดในโสตสมองเฉกเช่นกำลังชมละครย้อนยุคเรื่องหนึ่ง ที่น่าตื่นตะลึงไปกว่านั้น ตอนนี้เธอดุจดั่งเกิดใหม่ ทว่าไม่ใช่โลกใบเดิมของตน หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วขณะ ริมฝีปากบางอ้าเผยอด้วยอาการตระหนก
คนละยุคงั้นเหรอ!?
ที่แห่งนี้คือยุคโบราณ เจ้าของร่างเดิมมีนามว่า หลิวจือหลิน นี่มันชื่อของเธอในโลกอีกด้านชัด ๆ เกิดใหม่ไม่เท่าไหร่ เรื่องโชคร้ายสูงสุดในชีวิตก็ปรากฏ หลิวจือหลินในยุคนี้คือหญิงสาวที่มีนิสัยเกรี้ยวกราด ขี้อิจฉาริษยา ซ้ำยังเป็นที่เกลียดชังของบรรดาผู้คน ล่าสุดนางลอบวางเพลิงเผาจวนโหวจนเกือบวอดเพราะสามีที่ตนรักกำลังรับอนุเข้าจวน
"นี่ข้า! ข้าคือ หลิวจือหลิน"
นิ้วเรียวชี้เข้าหาตนด้วยอาการตื่นตะลึง เมื่อถูกปลุกความทรงจำของโลกใบนี้กระทั่งวาจาที่เปล่งออกมาก็ไม่ต้องปรับเปลี่ยนสักนิด หญิงสาวในยุคสองพันได้หวนมาเกิดใหม่ในยุคโบราณ กระนั้นกลับหอบความทรงจำต่าง ๆ มาด้วย มีความทรงจำของโลกอีกด้าน และยังหลงเหลือความทรงจำในมิติแห่งนี้อีก
"ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ ทะ...ท่านความจำเสื่อมงั้นหรือ"
นัยน์ตากลมโตกลอกไปมาซ้ายขวา "เจ้าคือ เจียวเจียว ส่วนเจ้า ปี้อี๋"
พวกนางเอ่ยตอบโดยพร้อมเพรียง "ใช่แล้วเจ้าค่ะ" จากนั้นเหลียวมองหน้ากันอย่างงุนงง
นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมความทรงจำเหล่านี้ โอ้แม่เจ้า เราย้อนเวลามาเกิดใหม่ที่ยุคโบราณหรือเนี่ย อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะ...
หลิวจือหลินควานหาบางอย่างสะเปะสะปะ ใจของนางเต้นระรัวแทบกระโจนออกนอกอก เรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร นางคงไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่
"ฮูหยิน กำลังหาสิ่งใดอยู่เจ้าคะ" เจียวเจียวเอ่ยถาม
"สร้อยลูกปัดสีแดง ที่นี่มีหรือไม่"
ปี้อี๋ค่อย ๆ ชี้ปลายนิ้วไปยังลำคอขาวผ่อง "ถ้าหมายถึงสร้อยเส้นนั้น ฮูหยินก็สวมติดกายอยู่ตลอดอย่างไรเจ้าคะ"
ท่าทีกระวีกระวาดสงบลง หลิวจือหลินลดสายตามองสร้อยซึ่งคล้องอยู่บนลำคอแช่มช้า "นี่มัน....สร้อยที่คุณยายให้มาจริงด้วย!"
เจียวเจียวกล่าวด้วยท่าทีประหม่า "เอ่อ...ฮูหยิน คุณยายใดเจ้าคะ นั่นสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงที่บิดาของท่านมอบให้ในวันแต่งงานมิใช่หรือ"
หลิวจือหลินแหงนหน้ามองสาวใช้ทั้งสอง พวกนางพลางหลุบตามองต่ำเดี๋ยวนั้น หลิวจือหลินถอนหายใจแผ่ว ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นดุจสายฟ้าฟาด แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่า ไฉนจึงกลายมาเป็นหญิงสาวที่แต่งงานมีสามีด้วยเล่า หนำซ้ำยังเป็นผู้ชายมักมากอีกด้วย
สวรรค์รังแกกันสนุกเหลือเกิน!
หลังได้รับตำแหน่ง หลิวจือหลินจึงมาเยือนเรือนของตนเป็นครั้งแรก นางพบปะบิดาล่าสุดก็ตอนฟื้นจากเพลิงไหม้หนนั้นเพียงคราเดียว"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ" ใต้เท้าหลิวโผกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้าเขาทั้งปลื้มใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ผู้ใดจะทันคาดคิดนอกจากบุตรสาวนั้นใจกล้าฝ่าคมดาบดงอัคนี นางยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง ชายแก่ผมขาวที่ฮูหยินตายจากไปนานโขเลี้ยงลูกสาวไม่เป็นก็ได้แต่ตามใจนางจนเสียคน ในที่สุดลูกสาวของเขาก็เป็นผู้เป็นคนเสียที"ท่านพ่อ เป็นถึงเสนาบดี ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็ก ๆ" หลิวจือหลินเอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่แม้นางคือจิตวิญญาณจากโลกอีกด้าน แต่หลิวตงนับเป็นบุรุษอีกคนที่รักและห่วงใยนางที่สุด หลิวจือหลินรักเขาเฉกเช่นพ่อแท้ ๆ กระทั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบิดาของเขาจึงพาหลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินไปกราบป้ายวิญญาณของมารดาทว่าหางตาของหลิวจือหลินเหลือบเห็นภาพวาดหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งแขวนติดผนังเอาไว้"ท่านพ่อ คุณยายท่านนี้คือใครเจ้าคะ" นางรู้สึกคุ้นตาพิกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเคยเห็นที่ใด&nbs
เจียงซื่อจวินได้รับตำแหน่งโหวติดตัวนับตั้งแต่บิดาของเขาลาโลกเมื่อตนเยาว์วัย ยามนี้ฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาแท้ ๆ ของเขา แม้บิดาผู้ให้กำเนิดเจียงโหวเป็นสหายร่วมสาบานของฝ่าบาทแต่เขาก็มิใช่ขุนนางยศหนาศักดิ์ใหญ่ใด ซ้ำฮองเฮาและไท่จื่อก็คอยดูแลประคบประหงมเขาอย่างไม่รังเกียจ เช่นนั้นเมื่อภัยมาสู่ราชวงศ์ บัลลังก์มังกรนี้เจียงซื่อจวินย่อมยินดีช่วยกอบกู้ด้วยความเต็มใจเมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอย ราชวังกลับสู่ความผาสุกอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มีราชโองการเรียกเจียงโหวและฮูหยินเข้าเฝ้า รถม้าจากจวนโหวแล่นมาจอดเทียบเบื้องหน้าธรณีทางเข้าราชวังหลวงแล้ว เจียงซื่อจวินลงมาก่อน จากนั้นยื่นมือให้ฮูหยินอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มร่างระหงเยื้องย่างตามลงมา ภาพจำครั้งก่อนที่นางเมินเขายังติดตามิลืมเลือน หนนี้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม กระทั่งลงยืนเคียงกันเบื้องล่างก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนมาหยุดต่อท้ายเข้าพอดี"คุณชายฟ่าน" หลิวจือหลินโบกไม้โบกมือเพื่อทักทายสหายเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าผลิยิ้มตอบกลับ "ฮูหยิน และท่านโหวก็ถูก
หลิวจือหลินตะลึงงันเมื่อทราบว่าเจียงซื่อจวินได้ปลดหม่าลี่เจี่ยจากการเป็นอนุไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าวิธีการที่มากกว่าการปลด และเรื่องตามเอาคืนสตรีทั้งสองที่บังอาจแส่มาหาเรื่องนางเขามิได้เอ่ยถึง เกรงว่าหลิวจือหลินอาจตกใจ และหวาดกลัวบุรุษเหี้ยมโหดเช่นเขาไปเลยตลอดกาล ต่อให้เขาจะโหดร้ายเพียงใด บุรุษเช่นเขาทำไปเพราะมีเหตุผล สิ่งที่กระทำล้วนได้รับการตรึกตรองอย่างดียิ่ง และไม่มีทางทำร้ายสตรีที่ตนรักเป็นอันขาด"ท่านโหว ท่านไม่เสียดายหรือ เดิมการเป็นบุรุษในยุคนี้สามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว" หลิวจือหลินอยากลองเชิงเขาเสียหน่อยนัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "เจ้าอยากให้ข้ามีอนุอีกงั้นหรือ""หากท่านอยากมีอนุคนใหม่ข้าหรือจะห้ามได้ อีกอย่างองค์หญิงเจ็ดก็พึงใจท่านมิใช่หรือ"เจียงซื่อจวินแค่นหัวเราะในลำคอ นางจะทราบหรือไม่ว่าองค์หญิงเจ็ดถูกเขาจัดการเช่นไร "องค์หญิงเจ็ด ร่วมกบฏกับพี่ชาย ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว หรือต่อให้นางไม่ถูกลงทัณฑ์ ชาตินี้ข้าก็จะไม่มีใครอีกนอกจากเจ้า"จู่ ๆ จมูกโด่งเป็นสันก็จรดลงบนปรางแก้มเนียนนุ่ม หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อ "...ทำอะไรของท่าน""จ
ค่ำคืนหนึ่งก่อนเกิดจลาจลก่อกบฏในวังหลวงเจียงซื่อจวินมิได้กลับจวน เขาต้องการสะสางทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาได้ล่วงรู้ว่าจิตวิญญาณของหลิวจือหลินผู้นี้เป็นสตรีจิตใจงดงามมิใช่หลิวจือหลินคนก่อน นางปล่อยวางและสามารถอภัยได้ทุกสิ่ง กระนั้นคนเช่นเขา เจียงซื่อจวิน มิอาจละเว้นคนผิดให้อยู่ลอยหน้าได้อีกต่อไป ผู้ใดดีกับเขา เขาย่อมดีตอบ แต่ทว่าผู้ใดที่คิดอาฆาตมาดร้ายต่อคนที่เขารัก เขาจะสนองกลับมันไปร้อยเท่าพันทวีเสียงฝีเท้าดังแผ่วใกล้เข้ามาทุกขณะ สตรีร่างบอบบางหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทมพลันลืมตาตื่นท่ามกลางความสลัวแห่งราตรีกาล"ท่านพี่ซื่อจวิน มาได้อย่างไรเจ้าคะ""องค์หญิงหลับสบายหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างเย็นยะเยือกถานจาวหรงนึกดีใจที่อยู่ ๆ เขาก็มาหานาง แต่ทว่าพบเขาเวลานี้นับเป็นเรื่องผิดวิสัย โดยปกติเจียงซื่อจวินไม่เคยคิดเข้าหาสตรียามค่ำคืน เขาเป็นสุภาพบุรุษและคำนึงถึงความต่างระหว่างหญิงชายเสมอ"เหตุใดท่านจึงมายามวิกาลได้เจ้าคะ ทหารเวรยามก็ให้ท่านเข้ามาได้หรือ""แน่นอน ข้าคิดถึงองค์หญิงจึงหมายมาเยือนเสียหน่อย"ถานจาวหรงแย้มยิ้มลิงโลด ใ
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั
Comments