เจ้ามีคนรู้จักอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้ก็เยี่ยมเลย
อวิ๋นซิงกระพือปีกขึ้นลงอย่างตื่นเต้นก็ไม่นับว่ารู้จัก แต่อย่างน้อยเขาก็นับได้ว่าเป็นคนดีคนหนึ่งอีกทั้งยังน่าสงสารมากด้วย
อวิ๋นซิงขยับหัวก่อนจะโน้มเข้ามาใกล้ใบหูของหยุนจิงพูดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ข้าคิดว่าหากเขาเป็นคนดีมีหรือจะปฏิเสธความช่วยเหลือได้ลงคอ โดยเฉพาะกับเด็กตัวเล็ก ๆ ว่าแต่ที่เจ้าบอกว่าน่าสงสารนั้นหมายความว่าเช่นไร
ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำตัวเป็นนกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น หยุนจิงอดไม่ได้ที่จะสัพยอกเจ้าตัวจิ๋ว
มันก็ต้องมีบ้างไหมเพื่อเพิ่มสีสันให้ชีวิต เจ้ารีบพูดมาเถอะ หากข้าไม่ได้รู้วันนี้เห็นทีคงจะนอนไม่หลับ คำพูดของนกชิงเหนียวทำให้หยุนจิงส่งเสียงหัวเราะออกมา
เอาไว้สักวันข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง แต่ยามนี้คงไม่ได้แล้ว เจ้าเห็นหรือไม่ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางเวหาแล้วข้าเองก็ง่วงเต็มที
หยุนจิงผ่อนลมหายใจยาวพลางโน้มตัวลงบนฟูกนุ่มบนเตียงของตน นัยน์ตาคู่น้อยปิดลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะลืมขึ้นมองเจ้านกตัวจิ๋วที่ยังคงกระพือปีกเบา ๆ อยู่ไม่ไกล
อวิ๋นซิง หยุนจิงเอ่ยเรียกเสียงเบา วันพรุ่งนี้เราค่อยสานต่อแผนที่วางไว้เถิดนะ วันนี้ข้าขอพักให้สมองโล่งหน่อย
นกชิงเหนียวส่งเสียงตอบรับอย่างเข้าใจก่อนที่เจ้าตัวจะบินไปหาที่ยึดเกาะ
หยุนจิงขยับผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวรู้สึกอุ่นสบายจนเผลอจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ฝันดี
อืม…เจ้าเองก็ฝันดี เยว่ฮวา
เมื่อเสียงลมกลางดึกพัดผ่านบานหน้าต่างร่างของเด็กหญิงวัยห้าปีก็จมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบ เธอได้ฝันถึงเรื่องราวในชีวิตก่อนหน้าของตนก่อนที่จะหลอมรวมเข้ากับโลกใหม่ที่ต้องเผชิญ
สามวันต่อมา...
“ข้ายังง่วงอยู่เลย...” หยุนจิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้พลางหลับตาพริ้ม ขณะที่ไป่ซินกำลังประคองร่างเล็กให้นั่งบนเก้าอี้เตี้ยหน้ากระจกสำริดทรงกลม
“อดทนหน่อยนะเจ้าคะคุณหนู นี่ใกล้จะเข้าต้นยามเฉิน[1]แล้วหากว่าคุณหนูยังแต่งตัวไม่เสร็จจะถูกนายท่านตำหนิเอาได้” เสียงของไป่ซินฟังดูนุ่มนวลแต่การลงมือของนางกลับเฉียบขาดอย่างพี่เลี้ยงมากประสบการณ์
มือของนางสางผมให้คนร่างเล็กอย่างเบามือก่อนที่จะจับผมของนางมัดเป็นทรงซาลาเปาคู่พร้อมกับนำผ้าผูกผมและติดเครื่องประดับเล็ก ๆ แต่ดูหรูหราอย่างระมัดระวัง
หยุนจิงนั่งมองตัวเองในกระจก ดวงตาใสจ้องมองแววตาสะท้อนร่างเด็กหญิงวัยห้าขวบที่สวมชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนเนื้อดี ปักลายดอกเหมยเล็ก ๆ รอบชายแขน
เสื้อด้านในเป็นผ้าซับนุ่มสีขาวเพื่อกันความหนาวในช่วงต้นวสันต์ ตอนนี้อากาศยังเย็นยามเช้าแต่ก็มีแสงอ่อน ๆ ส่องผ่านม่านไม้ไผ่ตรงหน้าต่าง
(เห้อ...ถ้าเป็นโลกเก่าของฉัน คงเลือกหยิบเสื้อยืด กางเกงสบาย ๆ ซักตัวแค่นั้นก็พอแล้ว)
เด็กหญิงอดคิดเปรียบเทียบในใจไม่ได้ แต่ก็ทำได้แค่เผยอปากถอนหายใจเบา ๆ เพราะโลกใบนี้ไม่มีทางเหมือนยุคปัจจุบันที่เคยจากมา
“คุณหนูช่างงดงามน่ารักมากเลยนะเจ้าคะ” เถาจูอดที่จะชมเจ้านายตัวน้อยมิได้ พูดด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ขอบใจเจ้า”
หยุนจิงยกมือแตะเครื่องประดับบนผม ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบาง “ที่ข้าดูดีเช่นนี้ได้ ต้องขอบคุณป้าไป่ ว่าแต่ท่านแม่ล่ะ นางเตรียมตัวเสร็จหรือยัง” ไป่ซินยิ้มรับก่อนจะตอบคำถาม
“ฮูหยินและพวกบ่าวอีกหลายคนรออยู่ที่ลานหน้าจวนแล้วเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเราควรจะไปกันดีกว่า”
ลมหนาวยามเช้าพัดเอื่อยเฉื่อยในลานหน้าจวน ตรงนั้นมีเกี้ยวผ้าไหมสีอ่อนตั้งรออยู่ หลิวอวี้เฟยยืนอยู่กับสาวใช้สองสามคน เมื่อนางเห็นลูกสาวตัวน้อยเดินผ่านประตูเรือนชั้นในออกมา ก็กวักมือเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“มาแล้วหรือ เยว่ฮวา” นางเอ่ยพลางยิ้มอ่อน
หยุนจิงในร่างเด็กห้าขวบรีบสาวเท้าเข้าหาแม่ ใบหน้าที่ขับเน้นด้วยแก้มสีระเรื่อจากอากาศหนาวดูน่ารัก
“ท่านแม่ วันนี้ท่านงามมากจริง ๆ เจ้าค่ะ”
หลิวอวี้เฟยยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ๆ ของลูกสาวแล้วยิ้มเอ็นดู “ปากของเจ้านับวันยิ่งหวานเสียเหลือเกิน... ลูกรักเจ้าหนาวหรือไม่? เถาจู เจ้ารีบไปยกเตาอุ่นมือมาให้คุณหนูของเจ้าเถิด”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” เถาจูขานรับเสียงใสก่อนจะวิ่งไปหยิบเตาอุ่นมือที่เตรียมไว้มาส่งให้หยุนจิง
เด็กหญิงรับเตาอุ่นมือมาถือกอดมันไว้แนบอก “ขอบใจเจ้า” พร้อมกับเอ่ยออกมาเสียงนุ่ม
“ท่านแม่เจ้าคะ พวกเราจะเข้าวังกันเยี่ยงไร” สายตาของหลิวอวี้เฟยมองลูกสาวตัวน้อยด้วยแววตาขบขัน
“เจ้าเห็นเกี้ยวตรงหน้าหรือไม่ พวกเราจะนั่งสิ่งนี้เข้าวัง”หลิวอวี้เฟยตอบด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคำพูดของมารดาทำให้หยุนจิงชะงักไปเล็กน้อย
โดยที่นางลืมไปว่ายุคสมัยราชวงศ์ฮั่นค่อนข้างเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้รถม้า อีกทั้งรถม้าส่วนใหญ่จะเป็นแบบสองล้อแม้ในทางโบราณคดีจะพบว่ามีรถสี่ล้อเช่นเกวียนขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ใช่พาหนะส่วนบุคคลอันแพร่หลาย
หยุนจิงครุ่นคิด (หากข้าสามารถเสนอรถม้าสี่ล้อที่มีความสะดวกต่อการเดินทางออกมาจะได้ไหมนะ)
ในระหว่างที่เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ “คุณหนู เชิญขอรับ” บ่าวชายผู้ทำหน้าที่หามเกี้ยวเผยรอยยิ้มให้เด็กหญิงอย่างนอบน้อมพลางเปิดม่านให้เธอขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวที่ตกแต่งสมกับฐานะคุณหนูตระกูลใหญ่
ในเวลาเดียวกันขณะที่สาวใช้คนอื่น ๆ ต่างก้มศีรษะคำนับหลิวอวี้เฟยในฐานะฮูหยินเอกผู้สูงศักดิ์
หยุนจิงหันไปสบตากับแม่อีกครั้งเกิดความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด “ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่จะขึ้นไปก่อนหรือไม่”
หลิวอวี้เฟยส่ายหน้าเล็กน้อย “เจ้าเป็นเด็กก้าวขึ้นยากกว่า แม่จะช่วยประคองเจ้าก่อน” ว่าแล้วนางก็เอื้อมมือไปช่วยพยุงลูกสาวขึ้นเกี้ยว
เถาจูมาคอยช่วยจับชายเสื้อของหยุนจิงไม่ให้ร่นหรือยับ เมื่อเด็กหญิงนั่งลงเรียบร้อยหลิวอวี้เฟยจึงได้ก้าวเท้าขึ้นมานั่งเคียงกันกับลูกสาว
“เจ้าอาจหลับพักตาระหว่างทางได้ เพราะคงใช้เวลาเดินทางสักพักหนึ่ง”
“ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่” เด็กหญิงตอบรับอย่างร่าเริง มือยังคงอิงเตาอุ่นไว้ไม่ห่าง
บ่าวชายสี่คนที่อยู่ด้านนอกเกี้ยวประจำตำแหน่งพร้อม ยามเช้าตรู่นี้ท้องฟ้ายังเป็นสีเทาเรื่อ ๆ พวกเขารับคำสั่งให้เคลื่อนเกี้ยวออกจากลานจวนไปอย่างเนิบช้า
เมื่อคนหามเกี้ยวสัมผัสพื้นที่ขรุขระเล็กน้อย หยุนจิงก็อิงกายเข้ากับแม่ทันที อากาศหนาวทำให้เธออดไม่ได้ที่จะดึงผ้าคลุมขนสัตว์ห่มเพิ่ม แม้ในใจลึก ๆ จะรู้สึกตื่นเต้นกับการได้นั่งเกี้ยว ครั้งแรกในชีวิตใหม่นี้
“ค่อย ๆ ไป อย่าเร่งเร็วเกินไป เจ้าอย่าลืมว่ามีคุณหนูกับฮูหยินอยู่ด้านใน” สาวใช้ที่เดินตามอยู่ด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยบอกคนหามเกี้ยว ซึ่งภายในเกี้ยวหลังงามหลิวอวี้เฟยหันมาสบตาลูกสาว
“หนาวมากหรือไม่?” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย
หยุนจิงส่ายหน้าดวงตาเปล่งประกาย “ไม่เลยเจ้าค่ะ ท่านแม่เตรียมทุกอย่างให้ข้าดีจนแทบไม่ต้องกังวลอะไร”
กล่าวจบนางก็กระชับผ้าห่มผืนบางอีกชั้นโดยมีเตาอุ่นมือกอดไว้แนบอก เกี้ยวสีอ่อนเคลื่อนผ่านประตูจวนออกสู่ถนนกว้าง เป้าหมายคือพระราชวังหลวงสำหรับงานที่จักรพรรดิจะเสด็จเป็นประธานในพิธี
“จะว่าไป... ท่านพ่อยังไม่มาหรือเจ้าคะ” เด็กหญิงเอ่ยขึ้นในที่สุดเมื่อสังเกตว่าไม่มีเสียงของหลี่เจี้ยนเฉิง
หลิวอวี้เฟยแค่เม้มปาก ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เขาบอกว่าจะตามไปที่วังเอง”
ทันทีที่แม่พูดจบหยุนจิงก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นสบายที่พัดเข้ามาทางม่านด้านหนึ่ง นางมองลอดออกไปเห็นสองข้างทางมีผู้คนบางตาที่เพิ่งตื่นเริ่มจัดร้านรวงยามเช้าในเมืองหลวง
อวิ๋นซิง นี่คือวันแรกที่ข้าได้ออกจากจวนไปสู่นอกจวนอย่างเต็มรูปแบบ กระทั่งมีเกี้ยวคนหาม หยุนจิงอดที่จะสื่อสารกับนกเพื่อนยากไม่ได้
เจ้าดูเหมือนจะตื่นเต้น นกชิงเหนียวที่อาศัยซ่อนตัวอยู่ในอกเสื้อของนางพูดอย่างขบขัน
มันก็ต้องมีกันบ้าง ในยุคสมัยของข้านั้นแทบไม่มีโอกาสได้นั่งอะไรแบบนี้หรอก เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็นเครื่องยนต์หรือไม่ก็ไฟฟ้ากันหมดแล้ว การเดินทางก็เต็มไปด้วยความรวดเร็วทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
ในขณะที่เด็กหญิงกำลังสื่อสารให้สหายตัวจิ๋วฟังอย่างออกรสหูของนางพลันได้ยินเสียงสวดมนตร์เบา ๆ ดังมาจากอารามด้านข้างถนน
“ท่านแม่ที่นี่มีวัดด้วยหรือเจ้าคะ” หยุนจิงถามขึ้นอย่างใคร่รู้
“วัด? คือสถานที่แห่งใดหรือเจ้า” ใบหน้าของหลิวอวี้เฟยเต็มไปด้วยความฉงน
“เอ่อ ข้าหมายถึง” ชิงหยวนกวาน เสียงของอวิ๋นซิงดังขึ้นในหัว หลี่หยุนจิงจึงได้นึกออกว่าควรจะพูดว่าอย่างไร “ท่านแม่ลูกหมายถึงสำนักเต๋าชิงหยวนเจ้าค่ะ”
[1] 07.00-08.59
การเดินทางบนเส้นทางสายไหมในครั้งนั้นของคณะหลิวหยุนจิงใช้เวลาหลายปีในการบุกเบิก สำรวจ และสร้างสัมพันธ์ทางการค้า มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานจากที่หลิวหยุนจิงเคยคาดไว้พวกเขาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากธรรมชาติอันโหดร้าย โจรป่า และความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า แต่ด้วยความรู้ ความสามารถ และความกล้าหาญของทุกคนในคณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของหลิวหยุนจิงพร้อมด้วยกำลังคุ้มกันอันแข็งแกร่งภายใต้การนำของฮั่วหยุนพวกเขาก็สามารถเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ นำสินค้าหายาก ความรู้รวมถึงวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีใครรู้จักกลับสู่ต้าฮั่นได้สำเร็จ อีกทั้งกิจการเมิ่งฮวารวมถึงกิจการร้านรับแลกเงินที่นางกับองค์ฮ่องเต้ทำร่วมกันได้ขยายสาขาไปยังเมืองน้อยใหญ่ไกลถึงเมืองชายแดนยิ่งสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียง เส้นทางที่หลิวหยุนจิงเคยบอกว่าเป็นเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นสิ่งที่นางทำร่วมกันกับสามีและลูกพี่ลูกน้องได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีผ่านไป... จวบจนฮั่วหยุนก้าวเข้าสู่วัยสี่สิบเศษ ใบหน้าคมคายปรากฏ
ในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนขบวนลึกเข้าไปในดินแดนทางตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายแสนเวิ้งว้างและแนวเขาหินสีน้ำตาลแดงมากกว่าเดิมอากาศในตอนกลางวันเองก็ร้อนระอุขึ้นแต่ทว่าในตอนกลางคืนกลับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ พวกเขาต้องเดินทางผ่านเมืองน้อยใหญ่รวมถึงโอเอซิสขนาดเล็กและยังต้องแวะพักเป็นระยะ เพื่อเติมน้ำและอาหารรวมถึงเพื่อพักผ่อนหลบเลี่ยงพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหลิวหยุนจิงมองแผนที่ในมือตามการสำรวจของเหล่าบริวารนกน้อยของอวิ๋นซิง ก็รู้ได้ว่าทางไหนจะไปยังอาณาจักรโหลวหลานอาณาจักรโบราณตามยุคสมัยเดิมของตน ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบลอปนอร์[1] ซึ่งในระหว่างนี้บางครั้งนางก็ยังได้ยินพ่อค้าในกองคาราวานที่สวนทางมาพูดถึง เมืองอวีเทียน[2]นครรัฐที่มั่งคั่งด้วยหยกเนื้อดีทางตอนใต้ของแอ่งทาริมและก็มีบางเวลานางยังได้เห็นกองคาราวานขนาดใหญ่ของพ่อค้าชาวแบกเตรียหรือต้าเซี่ยและซอกเดียหรือคังจวี ขนสินค้าแปลกตาที่นางเคยเห็นแต่ในบันทึกหรือพิพิธภัณฑ์ในโลกเก่าทั้งเครื่องแก้วหลากสีที่มาจากดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ซึ่งอาจจะ
พวกเขาเดินจับมือกันท่ามกลางฝูงชนที่ขวักไขว่ ชื่นชมความงามของโคมไฟหลากรูปแบบ พูดคุยหยอกล้อกันเบา ๆ ถึงเรื่องราวสัพเพเหระความรู้สึกคุ้นเคยที่ยาวนานผสมผสานกับความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่อบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่คล้ายกับว่าโลกของพวกเขามีเพียงกันและกันเดินเล่นกันมาได้ชั่วครู่ใหญ่ฮั่วหยุนก็จูงมือนางมาหยุดอยู่ที่สะพานไม้โค้งแห่งหนึ่งซึ่งทอดข้ามคูน้ำในย่านที่ไม่พลุกพล่านนัก บนราวสะพานมีโคมไฟรูปดอกบัวสีสดแขวนประดับไว้เป็นระยะแสงไฟนวลสะท้อนลงบนผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นบางและเกล็ดหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านดูงดงามราวกับภาพวาดจากฝีมือของจิตรกรเอกทั้งสองหยุดยืนพิงราวสะพานมองดูแสงไฟและเงาสะท้อนในน้ำเงียบ ๆ มือยังคงกุมกันไว้แน่นโดยมีบ่าวรับใช้และองครักษ์ยืนอยู่ห่างออกไปพอสมควร"มองจากตรงนี้ยิ่งสวยไปอีกแบบนะ" ฮั่วหยุนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบแต่สายตากลับไม่ได้มองทิวทัศน์ทว่าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของหลิวหยุนจิง"ทั้งโคมไฟทั้งหิม
ห้าปีผ่านไปไวราวสายลมพัด... ฤดูใบไม้ผลิอีกคราได้เวียนมาเยือน ทุ่งหญ้าชายแดนเริ่มผลิดอกออกใบขับไล่ความแห้งแล้งของฤดูหนาวให้จางหายไปขบวนเดินทางขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ประกอบด้วยทหารคุ้มกันหลายสิบนายและรถม้าขนสัมภาระกำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองนอกด่านของเมืองเตี้ยนหวงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเส้นทางเบื้องหน้าคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่และเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่หลิวหยุนจิง เรียกว่าเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตบนหลังม้าศึกที่ควบตีคู่กันมา หลิวซูเหยาหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยุนจิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องหันมามองสหายร่วมทางด้วยแววตากังวล"เยว่ฮวา! พวกเราทิ้งเจ้าตัวเล็กพวกนั้นไว้กับซูอันที่ค่ายจะดีจริงหรือ? ข้ายังอดห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าลูกลิงของข้าเขาช่างแสบทรวงนัก" นางหมายถึงบุตรชายวัยสี่ขวบของตนและฝาแฝดชายหญิงวัยสามขวบของหลิวหยุนจิงกับฮั่วหยุนหลิวหยุนจิงหัวเราะในลำคอหันไปมองญาติผู้พี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน"ถังเจี่ยเจ้าคะ ท่านอย่ากังวลไปเลยน่า ซูอันตอนนี้นะโตแล้วฝากผีฝากไข้ได้ อีกอย่างที่ค่ายก็ยังมีท่านพี่เจิ้นฟง ท่านแม่ไหนจะท่านพ่
หลายเดือนพ้นผ่านราวกับความฝัน ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนวนเวียนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งหลิวหยุนจิงมีอายุครบสิบแปดปีเต็ม นครฉางอันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากที่หลิวหยุนจิงได้ทำการเสนอให้องค์จักรพรรดิเปิดสอนหลักสูตรแพทย์ตามที่นางรับปากกับท่านเทพเอาไว้แม้ว่าย้อนกลับไปในตอนนั้นจะมีทั้งผู้คัดค้านและเห็นด้วยทว่าหลิวหยุนจิงกับท่านหมอจางก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วว่าการแพทย์ของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามกลับมายังปัจจุบันและในวันนี้บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง เสียงดนตรีมงคลดังกระหึ่ม ขบวนผู้คนในชุดใหม่สีสันสดใสเดินขวักไขว่ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้คือวันมงคลสมรสระหว่างท่านหัวหน้าองครักษ์หนุ่มรูปงามแห่งกองทัพต้าฮั่น ฮั่วหยุนและคุณหนูหลิวหยุนจิง เสียนจูผู้พ่วงตำแหน่งธิดาเทพ สตรีผู้มีความสามารถล้ำเลิศและเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักณ บริเวณหน้าจวนสกุลหลิวซึ่งก็คือจวนของท่านใต้เท้าหลิวห่าวเทียนผู้เป็นท่านตา ถูกประดับประดาไปด้วยผ้าแพรสีแดงสดและอักษรมงคลคู่ โคมแดงถูกแขวนเรียงราย
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคฮั่นตะวันตกจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ครองราชย์ 141 - 87 ปีก่อนคริสตกาลเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน (54 ปี)ความสำคัญ: รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองของราชวงศ์ฮั่น มีการขยายอาณาเขตครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการทำสงครามกับชนเผ่าซยงหนูทางตอนเหนืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งนำโดยแม่ทัพคนสำคัญอย่างเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้ง พระองค์เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนการเปิดเส้นทางสายไหมอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจกับดินแดนตะวันตกอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังทรงส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นแนวคิดหลักของรัฐ และรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มแข็งลักษณะ: เป็นผู้นำที่ทะเยอทะยาน เด็ดขาด มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ในขณะเดียวกันการทำสงครามและการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ก็ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินไปอย่างมหาศาลเช่นกัน ในช่วงปลายรัชกาลเกิดปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักครั้งใหญ่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท (ภัยพิบัติจากม