“เจ้านี่ช่างคิดเสียจริง สำนักชิงหยวนกวานนั้นเป็นสำนักเต๋าที่มีประวัติค่อนข้างยาวนาน สอนหลักคำภีร์หลายอย่าง” หลิว อวี้เฟยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจในความรู้ที่มี
หยุนจิงเงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยความสนใจ “สำนักชิงหยวนกวานมีสอนอะไรบ้างหรือเจ้าคะท่านแม่?”
“หลัก ๆ แล้ว สำนักนี้มุ่งเน้นสอนศาสตร์แห่งเต๋า วิถีแห่งความสงบสุขและสมดุลในชีวิต แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะเยว่ฮวา สำนักนี้ยังมีสอนการคำนวณ การแพทย์ ดาราศาสตร์ และดนตรี” หลิวอวี้เฟยยิ้มอ่อนเอ่ยเสียงนุ่มก่อนจะพูดเสริมออกมาอีกเมื่อเห็นว่าลูกน้อยยังคงสนใจฟัง
“ว่ากันว่าในอดีต ฮ่องเต้หลายพระองค์ก็โปรดการศึกษาของสำนักนี้เพราะช่วยพัฒนาความรู้ให้กับราชสำนัก แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเองก็ด้วย”
“แล้วลูกผู้หญิงเข้าเรียนได้ด้วยหรือไม่เจ้าคะ” หยุนจิง ถามอย่างสงสัย พลางนึกถึงโลกเดิมของตนที่การศึกษาสำหรับหญิงชายเท่าเทียมกัน
“ในส่วนของการศึกษาหลัก ไม่ค่อยเปิดกว้างสำหรับสตรีนัก” หลิวอวี้เฟยถอนหายใจเล็กน้อย
“แต่สำนักใหญ่บางแห่ง เช่น ชิงหยวนกวานจะมีสาขาสำหรับสตรีโดยเฉพาะ เช่น การเรียนดนตรี วรรณคดี หรือการเย็บปัก ซึ่งถูกมองว่าเหมาะสมกับสตรีที่พร้อมจะเป็นศรีภรรยาซึ่งจะได้เข้าศึกษา”
“ถ้าเช่นนั้น ผู้หญิงที่อยากเรียนวิชาความรู้เหมือนผู้ชายล่ะเจ้าคะท่านแม่?” หยุนจิงเอียงคอถาม
หลิวอวี้เฟยเผยรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างเอ็นดูบุตรสาว
“อาจจะต้องเรียนที่บ้านโดยว่าจ้างอาจารย์มาสอน และหากว่าสตรีคนใดที่มีความสามารถจริง ๆ บางครั้งก็อาจจะได้รับโอกาส เช่น ได้เป็นอาจารย์สอนในพระราชวัง หรือเป็นที่ปรึกษาแก่ฮ่องเต้ หากพิสูจน์ได้ว่าเก่งกาจจริงนะเจ้า แต่ทว่ามันช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง”
หยุนจิงเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววครุ่นคิด “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ... ดูเหมือนว่าหากข้าต้องการช่วยท่านแม่หรือครอบครัว เราต้องหาหนทางให้ได้รับการศึกษาให้มากที่สุด”
หลิวอวี้เฟยมองบุตรสาวอย่างเอ็นดู “เจ้านี่ช่างคิดการณ์ไกลเกินอายุจริง ๆ แต่แม่ก็หวังว่าเจ้าจะได้พบเส้นทางที่ตนต้องการ”
ท่ามกลางการสนทนา บริเวณรอบตัวแม่ลูกนั้นเต็มไปด้วยความสงบ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วอยู่ไม่ไกล ลมเย็นยามเช้าพัดพากลิ่นหอมจากดอกเหมยมาแตะปลายจมูก
หยุนจิงมองไปยังท้องฟ้าด้านนอกนึกถึงเป้าหมายใหม่ในใจ แม้ยุคนี้จะมีข้อจำกัดมากมายสำหรับสตรีแต่เธอตั้งใจว่าจะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
“ข้าจะต้องหาทางเปลี่ยนแปลงให้ได้” หยุนจิงพึมพำกับตัวเองเสียงเบา แต่หลิวอวี้เฟยก็ยังได้ยินและเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับยกมือลูบศีรษะของบุตรด้วยความรัก
“เจ้าทำได้แน่ เยว่ฮวาของแม่”
เวลาผ่านไปจนกระทั่งเข้าต้นยามซือ[1] ชายรูปร่างกำยำทั้งสี่วางเกี้ยวลงเบา ๆ ตรงหน้าประตูวังใหญ่ที่ประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตา
เสียงสนทนาของบ่าวไพร่และเสียงฝีเท้าที่เดินผ่านไปมาแว่วดังในบรรยากาศ หยุนจิงก้าวลงจากเกี้ยวตามแม่ของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นกอปรกับความอยากรู้อยากเห็น
“หลังจากนี้พวกเราต้องเดินเข้าไปเองนะเจ้าคะ คุณหนูต้องเดินอย่างระมัดระวังนะเจ้าคะ” ไป่ซินพูดพลางจัดเสื้อผ้าของหยุนจิงให้เรียบร้อย ดวงตาของนางมองดูบุตรีเจ้านายอย่างห่วงใย
“เจ้าค่ะ ท่านป้าไป่” เด็กหญิงรับคำเสียงใสก่อนที่เธอจะเดินเคียงข้างไปกับมารดาโดยในมือของเจ้าตัวไม่ลืมที่จะพกเตาอุ่นติดมือมาด้วย
“ท่านแม่ ดูเหมือนวังหลวงแห่งนี้จะกว้างใหญ่มากจริง ๆ” หยุนจิงแกล้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงใสซื่อขณะมองไปรอบ ๆ อย่างสำรวจ
“นี่เพียงแค่บริเวณหน้าประตูเท่านั้น ข้างในยิ่งใหญ่กว่านี้มากนัก แต่เจ้าจงอย่าลืมมารยาทเล่า เจ้าเป็นลูกหญิงภรรยาเอก แม่จะพาเข้าไปในฐานะบุตรีของตระกูลหลี่สายหลักเพื่อให้คนได้รู้จัก ด้านนอกจะได้ไม่มีข่าวลือผิด ๆ ออกมา” หลิวอวี้เฟยกล่าวพลางจับมือบุตรสาวไว้แน่น น้ำเสียงของนางอ่อนโยนแต่แฝงความเข้มงวด
“เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว” เด็กหญิงตอบรับอย่างเชื่อฟังทั้งนี้เป็นเพราะนางเข้าใจดีถึงเจตนาของมารดา
เมื่อสองแม่ลูกกับไป่ซินเดินผ่านประตูชั้นนอกเข้ามาจนกระทั่งถึงด้านใน หยุนจิงรู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ ทั้งทางเดินหินสีเทา เสาสีแดงชาดสูงตระหง่าน และลวดลายมังกรที่ประดับประดาอย่างอลังการ
ดวงตาของนางกวาดมองไปทั่วก่อนจะสะดุดกับกลุ่มนักดนตรีและบ่าวไพร่ที่กำลังเร่งรีบจัดสถานที่ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ผู้คนเริ่มเบาบางลงหยุนจิงพลันพบว่าตัวเองพลัดหลงจากแม่และพี่เลี้ยงเสียแล้วโดยที่เธอไม่รู้ตัว
สองตาของนางกวาดตามองรอบ ๆ ก่อนจะพบว่าตนเองเดินมาถึงเขตพื้นที่ที่ดูแตกต่างออกไป สถานที่แห่งนี้มีเครื่องมือการเกษตรหลากหลายแบบวางอยู่ในอาคารไม้ค่อนข้างเก่า บางชิ้นมีรอยแตกหักและดูเหมือนจะไม่ได้ใช้งานมานาน
“ที่นี่คือที่ไหน” หยุนจิงพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คราดที่วางพิงอยู่กับผนัง
“เครื่องมือพวกนี้ดูโบราณมาก” เธอพูดขึ้นพร้อมกับใช้มือลูบดูเนื้อไม้ของคราดที่แตกร้าว โดยที่เด็กหญิงไม่ได้รู้เลยว่าทุกการกระทำของตัวเองได้ตกอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่งพร้อมกับองครักษ์มาโดยตลอด
“เจ้าคิดว่าเครื่องมือพวกนี้เป็นอย่างไร” จู่ ๆ พลันมีเสียงทุ้มลึกดังขึ้นด้านหลัง หยุนจิงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดผ้าฝ้ายธรรมดา
เขาดูเหมือนชาวบ้านแต่ดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลม อีกอย่างสถานที่แห่งนี้คือที่ไหน จะมีชาวบ้านเข้ามาปะปนได้อย่างไร หยุนจิงมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะสรุปในใจว่าเขาคนนี้คือใคร
“ท่านอา ท่านเป็นใครแล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือเจ้าคะ” หยุนจิงถามกลับพลางแย้มยิ้มน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความนอบน้อม ใบหน้าใส่ซื่อไร้เดียงสา
“ข้ามาดูเครื่องมือพวกนี้ และข้าคิดว่าเป็นข้าที่ควรถามเจ้าถึงจะถูก เมื่อสักครู่หากข้าได้ยินไม่ผิดเจ้าเพิ่งบอกว่าเครื่องมือพวกนี้โบราณมากเกินไปเจ้าหมายความว่าเช่นไรกันเด็กน้อย” ชายผู้นั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หยุนจิงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูสะอาดบริสุทธิ์ไร้เล่ห์มารยา
“เครื่องมือพวกนี้ดูเหมือนจะใช้งานยากและเปลืองแรงมากเจ้าค่ะ ถ้าหากว่ามีวิธีปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาให้ง่ายขึ้น อาจจะทำให้ชาวบ้านใช้แรงงานน้อยลงและสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม”
คำพูดนั้นทำให้ชายตรงหน้าถึงกับเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง องครักษ์ผู้นั้นรีบหยิบแผ่นไม้ที่พกติดตัวขึ้นมาเขียนสิ่งที่เด็กหญิงพูดลงไปทันที
ชายผู้นั้นจ้องมองเครื่องมือที่หยุนจิงเพิ่งอธิบายด้วยความสนใจ ดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“เจ้าคิดว่าควรเปลี่ยนเครื่องมือพวกนี้อย่างไรให้ดีกว่าเดิม”
หยุนจิงพยักหน้าพลางกวาดตามองเครื่องมือที่วางอยู่รอบตัว เธอเดินไปหยิบคราดอันหนึ่งขึ้นมา
“ข้าคิดว่าคราดแบบนี้ถ้าปรับเปลี่ยนให้ฟันคราดมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและทำให้เบากว่านี้น่าจะช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น เจ้าค่ะ”
จากนั้นเธอเดินไปชี้นิ้วลงตัวคันไถที่วางอยู่มุมห้อง “คันไถนี่ก็เช่นกัน ถ้าเราปรับให้ด้ามจับสูงขึ้นเพื่อให้คนที่ใช้งานไม่ต้องก้มมากและเพิ่มส่วนที่เป็นเหล็กตรงปลายใบไถแทนไม้ ซึ่งอาจจะทำให้มันคงทนกว่าเดิมและใช้งานได้นานขึ้น”
หลิวเช่อมองเครื่องมือที่เด็กหญิงบอกด้วยความสนใจ ดวงตาของพระองค์จับจ้องที่ปลายคราดไม้ที่เริ่มมีรอยแตกร้าว พระองค์ทรงใช้ปลายนิ้วสัมผัสอย่างแผ่วเบาก่อนจะหันมามองเด็กหญิงตรงหน้า
“เจ้าบอกว่าควรใช้เหล็กมาแทนส่วนนี้ของไม้…แต่เหล็กเป็นของที่ใช้ทำอาวุธจะเอามาทำเครื่องมือเช่นนี้ได้จริงหรือ?”
หยุนจิงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยิบแท่งไม้ที่เหลือจากเครื่องมือใกล้ ๆ มาประกอบกับคราดอย่างคร่าวๆ เธอใช้ปลายไม้จิ้มพื้นดินแสดงการใช้งานแบบง่ายๆ
“ท่านอาเจ้าคะ เหล็กที่ท่านว่า หากนำมาใช้ในงานเกษตรกรรมก็จะทำให้เครื่องมือเหล่านี้แข็งแรง ทนทาน และไม่ต้องซ่อมแซมบ่อย ๆ เช่นที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ ท่านลองคิดดูสิ หากชาวนาสามารถไถนาได้ไวขึ้น ผลผลิตของพวกเขาก็จะมากขึ้น และท้องพระคลังของแผ่นดินก็จะเต็มไปด้วยธัญพืช”
หลิวเช่อทรงพยักหน้าอย่างช้า ๆ ทรงฟังคำอธิบายของหยุนจิงอย่างตั้งใจ
“แต่เจ้าจะทำเช่นไร? เหล็กนั้นต้องถูกตีจนเป็นแผ่นบิดงอได้ตามรูปทรง ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ”
หยุนจิงยิ้มกว้างขึ้นพร้อมกับเดินไปหาแท่งไม้ไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งมีขนาดเท่ากับดินสอในโลกก่อน
ก่อนที่จะขีดเขียนบางอย่างลงไปตรงพื้นดินด้านนอกห้องเก็บของบริเวณปลายเท้าเล็ก ๆ ของตน เธอวาดเส้นคร่าว ๆ ของคันไถพร้อมอธิบายอย่างตั้งใจ
“หากเราต้องการเปลี่ยนจากการใช้ฟันคันไถที่ทำจากไม้เป็นเหล็ก สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการตีเหล็กให้มีความแข็งแรงและขึ้นรูปให้เหมาะสม”
เธอชี้ไปที่รอยวาดบนกระดาษ
“ก่อนอื่นเราต้องเตรียมเหล็กดิบ โดยการนำเหล็กมาหลอมด้วยความร้อนสูงในเตาหลอมที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างสม่ำเสมอ ระหว่างนั้นควรใส่คาร์บอน เอ่อ...ข้าหมายถึงทั่งเข้าไปผสมในกระบวนการหลอมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้เหล็ก”
ดวงตาของเด็กหญิงเปล่งประกายก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมแม้ว่าเธอชาติที่แล้วจะไม่เคยหลอมเหล็กมาก่อนก็ตามทว่าเรื่องทฤษฎีนั้นเป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้มาไม่น้อย
“จากนั้นนำเหล็กหลอมละลายมาขึ้นรูปเป็นแท่งโดยใช้แม่พิมพ์เบื้องต้นแล้วนำแท่งเหล็กนั้นไปเผาซ้ำอีกครั้ง เมื่อเหล็กเริ่มร้อนจนแดงได้ที่ให้ใช้ค้อนขนาดใหญ่ตีเพื่อขึ้นรูปฟันคันไถให้ได้มุมและความโค้งตามที่เราต้องการ” นิ้วเล็ก ๆ ของเธอเลื่อนนิ้วไปที่ภาพอีกจุดหนึ่ง
“ส่วนปลายฟันคันไถต้องได้รับการตะไบหรือขัดให้คมและเรียบมากพอ เพื่อให้สามารถไถดินได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำให้ดินติดคันไถ นอกจากนี้เราควรเสริมเหล็กกล้าที่ปลายคันไถเพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น”
หยุนจิงหยุดหายใจและมองไปยังฟันคันไถไม้ที่ตั้งอยู่ ใกล้ ๆ “ท้ายที่สุด เมื่อฟันคันไถเสร็จสมบูรณ์ เราก็สามารถติดตั้งมันเข้ากับโครงไม้ของคันไถได้ ซึ่งโครงไม้ควรมีความแข็งแรงเพื่อรองรับแรงกระแทกจากการใช้งานในพื้นที่แข็งหรือหิน”
หลิวเช่อมองภาพที่เด็กหญิงวาดด้วยความสนใจ โดยที่เขาไม่ได้เอ่ยขัดคำพูดต่อมาของคนตัวเล็ก
“กระบวนการทั้งหมดนี้อาจดูซับซ้อน แต่หากทำสำเร็จ ฟันคันไถเหล็กจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำเกษตรดีขึ้นอย่างแน่นอน! ข้ารับประกันเจ้าค่ะ” น้ำเสียงใส ๆ ของเด็กหญิงวัยไม่เกินห้าขวบพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
[1] 09.00-10.59
การเดินทางบนเส้นทางสายไหมในครั้งนั้นของคณะหลิวหยุนจิงใช้เวลาหลายปีในการบุกเบิก สำรวจ และสร้างสัมพันธ์ทางการค้า มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานจากที่หลิวหยุนจิงเคยคาดไว้พวกเขาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากธรรมชาติอันโหดร้าย โจรป่า และความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า แต่ด้วยความรู้ ความสามารถ และความกล้าหาญของทุกคนในคณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของหลิวหยุนจิงพร้อมด้วยกำลังคุ้มกันอันแข็งแกร่งภายใต้การนำของฮั่วหยุนพวกเขาก็สามารถเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ นำสินค้าหายาก ความรู้รวมถึงวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีใครรู้จักกลับสู่ต้าฮั่นได้สำเร็จ อีกทั้งกิจการเมิ่งฮวารวมถึงกิจการร้านรับแลกเงินที่นางกับองค์ฮ่องเต้ทำร่วมกันได้ขยายสาขาไปยังเมืองน้อยใหญ่ไกลถึงเมืองชายแดนยิ่งสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียง เส้นทางที่หลิวหยุนจิงเคยบอกว่าเป็นเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นสิ่งที่นางทำร่วมกันกับสามีและลูกพี่ลูกน้องได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีผ่านไป... จวบจนฮั่วหยุนก้าวเข้าสู่วัยสี่สิบเศษ ใบหน้าคมคายปรากฏ
ในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนขบวนลึกเข้าไปในดินแดนทางตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายแสนเวิ้งว้างและแนวเขาหินสีน้ำตาลแดงมากกว่าเดิมอากาศในตอนกลางวันเองก็ร้อนระอุขึ้นแต่ทว่าในตอนกลางคืนกลับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ พวกเขาต้องเดินทางผ่านเมืองน้อยใหญ่รวมถึงโอเอซิสขนาดเล็กและยังต้องแวะพักเป็นระยะ เพื่อเติมน้ำและอาหารรวมถึงเพื่อพักผ่อนหลบเลี่ยงพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหลิวหยุนจิงมองแผนที่ในมือตามการสำรวจของเหล่าบริวารนกน้อยของอวิ๋นซิง ก็รู้ได้ว่าทางไหนจะไปยังอาณาจักรโหลวหลานอาณาจักรโบราณตามยุคสมัยเดิมของตน ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบลอปนอร์[1] ซึ่งในระหว่างนี้บางครั้งนางก็ยังได้ยินพ่อค้าในกองคาราวานที่สวนทางมาพูดถึง เมืองอวีเทียน[2]นครรัฐที่มั่งคั่งด้วยหยกเนื้อดีทางตอนใต้ของแอ่งทาริมและก็มีบางเวลานางยังได้เห็นกองคาราวานขนาดใหญ่ของพ่อค้าชาวแบกเตรียหรือต้าเซี่ยและซอกเดียหรือคังจวี ขนสินค้าแปลกตาที่นางเคยเห็นแต่ในบันทึกหรือพิพิธภัณฑ์ในโลกเก่าทั้งเครื่องแก้วหลากสีที่มาจากดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ซึ่งอาจจะ
พวกเขาเดินจับมือกันท่ามกลางฝูงชนที่ขวักไขว่ ชื่นชมความงามของโคมไฟหลากรูปแบบ พูดคุยหยอกล้อกันเบา ๆ ถึงเรื่องราวสัพเพเหระความรู้สึกคุ้นเคยที่ยาวนานผสมผสานกับความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่อบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่คล้ายกับว่าโลกของพวกเขามีเพียงกันและกันเดินเล่นกันมาได้ชั่วครู่ใหญ่ฮั่วหยุนก็จูงมือนางมาหยุดอยู่ที่สะพานไม้โค้งแห่งหนึ่งซึ่งทอดข้ามคูน้ำในย่านที่ไม่พลุกพล่านนัก บนราวสะพานมีโคมไฟรูปดอกบัวสีสดแขวนประดับไว้เป็นระยะแสงไฟนวลสะท้อนลงบนผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นบางและเกล็ดหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านดูงดงามราวกับภาพวาดจากฝีมือของจิตรกรเอกทั้งสองหยุดยืนพิงราวสะพานมองดูแสงไฟและเงาสะท้อนในน้ำเงียบ ๆ มือยังคงกุมกันไว้แน่นโดยมีบ่าวรับใช้และองครักษ์ยืนอยู่ห่างออกไปพอสมควร"มองจากตรงนี้ยิ่งสวยไปอีกแบบนะ" ฮั่วหยุนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบแต่สายตากลับไม่ได้มองทิวทัศน์ทว่าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของหลิวหยุนจิง"ทั้งโคมไฟทั้งหิม
ห้าปีผ่านไปไวราวสายลมพัด... ฤดูใบไม้ผลิอีกคราได้เวียนมาเยือน ทุ่งหญ้าชายแดนเริ่มผลิดอกออกใบขับไล่ความแห้งแล้งของฤดูหนาวให้จางหายไปขบวนเดินทางขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ประกอบด้วยทหารคุ้มกันหลายสิบนายและรถม้าขนสัมภาระกำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองนอกด่านของเมืองเตี้ยนหวงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเส้นทางเบื้องหน้าคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่และเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่หลิวหยุนจิง เรียกว่าเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตบนหลังม้าศึกที่ควบตีคู่กันมา หลิวซูเหยาหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยุนจิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องหันมามองสหายร่วมทางด้วยแววตากังวล"เยว่ฮวา! พวกเราทิ้งเจ้าตัวเล็กพวกนั้นไว้กับซูอันที่ค่ายจะดีจริงหรือ? ข้ายังอดห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าลูกลิงของข้าเขาช่างแสบทรวงนัก" นางหมายถึงบุตรชายวัยสี่ขวบของตนและฝาแฝดชายหญิงวัยสามขวบของหลิวหยุนจิงกับฮั่วหยุนหลิวหยุนจิงหัวเราะในลำคอหันไปมองญาติผู้พี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน"ถังเจี่ยเจ้าคะ ท่านอย่ากังวลไปเลยน่า ซูอันตอนนี้นะโตแล้วฝากผีฝากไข้ได้ อีกอย่างที่ค่ายก็ยังมีท่านพี่เจิ้นฟง ท่านแม่ไหนจะท่านพ่
หลายเดือนพ้นผ่านราวกับความฝัน ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนวนเวียนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งหลิวหยุนจิงมีอายุครบสิบแปดปีเต็ม นครฉางอันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากที่หลิวหยุนจิงได้ทำการเสนอให้องค์จักรพรรดิเปิดสอนหลักสูตรแพทย์ตามที่นางรับปากกับท่านเทพเอาไว้แม้ว่าย้อนกลับไปในตอนนั้นจะมีทั้งผู้คัดค้านและเห็นด้วยทว่าหลิวหยุนจิงกับท่านหมอจางก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วว่าการแพทย์ของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามกลับมายังปัจจุบันและในวันนี้บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง เสียงดนตรีมงคลดังกระหึ่ม ขบวนผู้คนในชุดใหม่สีสันสดใสเดินขวักไขว่ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้คือวันมงคลสมรสระหว่างท่านหัวหน้าองครักษ์หนุ่มรูปงามแห่งกองทัพต้าฮั่น ฮั่วหยุนและคุณหนูหลิวหยุนจิง เสียนจูผู้พ่วงตำแหน่งธิดาเทพ สตรีผู้มีความสามารถล้ำเลิศและเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักณ บริเวณหน้าจวนสกุลหลิวซึ่งก็คือจวนของท่านใต้เท้าหลิวห่าวเทียนผู้เป็นท่านตา ถูกประดับประดาไปด้วยผ้าแพรสีแดงสดและอักษรมงคลคู่ โคมแดงถูกแขวนเรียงราย
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคฮั่นตะวันตกจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ครองราชย์ 141 - 87 ปีก่อนคริสตกาลเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน (54 ปี)ความสำคัญ: รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองของราชวงศ์ฮั่น มีการขยายอาณาเขตครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการทำสงครามกับชนเผ่าซยงหนูทางตอนเหนืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งนำโดยแม่ทัพคนสำคัญอย่างเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้ง พระองค์เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนการเปิดเส้นทางสายไหมอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจกับดินแดนตะวันตกอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังทรงส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นแนวคิดหลักของรัฐ และรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มแข็งลักษณะ: เป็นผู้นำที่ทะเยอทะยาน เด็ดขาด มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ในขณะเดียวกันการทำสงครามและการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ก็ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินไปอย่างมหาศาลเช่นกัน ในช่วงปลายรัชกาลเกิดปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักครั้งใหญ่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท (ภัยพิบัติจากม