สาวหุ่นแซ่บอย่างเธอต้องมาตายและย้อนกลับไปในยุคอยุธยา ซวยซ้ำตื่นขึ้นมาในร่างหญิงอ้วนที่กำลังช่วยตัวเองเพราะฤทธิ์ยา แถมดันไปรู้ว่าคู่หมั้นคู่หมายก็เป็นเกย์ยุคอยุธยาและเขาก็เป็นคนเห็นเธอช่วยตัวเอง!!!
View More“ท่านว่ากระไร ข้าให้พวกท่านพูดใหม่” ชายหนุ่มร่างกายกำยำสูงโปร่งใบหน้าคมหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นเมื่อการมาเจรจาว่าความกันเรื่องแผนการที่ได้รับมอบหมายมาจากเจ้าเมือง
ในสมัยอยุธยาตอนกลางที่มีกษัตริย์อยุธยาองค์ที่ 8ทรงปกครองโดยรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อให้เหมาะกับการปกครองดินแดนอยุธยาที่ขณะนั้นมีความรุ่งเรืองถึงที่สุด การปกครองที่แบ่งเขตชัดเจนและหน้าที่ของพลเรือนและพลทหารแยกกันยามศึกสงบ แต่เมื่อใดที่มีการศึกจะต้องร่วมรบทั้งทหารและพลเรือน
เพราะการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลปกป้องประชาชน จัดการเหตุร้ายจับโจรจึงเป็นหน้าที่ของเหล่ากรมนครบาลอย่างพวกเขาที่จะต้องจัดการตามท้องที่ที่ได้รับมอบหมาย (กษัตริย์อยุธยาองที่ 8ได้ทรงปรับปรุงจตุสดมภ์จาก กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา และเปลี่ยนชื่อเป็น กรมนครบาล กรมธรรมาธิกรณ์ กรมโกษาธิบดี กรมเกษตราธิการ หลังจากรวมดินแดนสุโขทัย *อ้างอิงมาจาก วิกิพีเดีย พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนนา ทหาร หัวเมือง)
“ท่านฟังมิผิดดอก ผู้ที่ดูเข้าท่ากับการนี้มีเพียงท่านออกพระขอรับ จริงรือไม่ท่านขุนจรูญ” ชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำล่ำสันไว้หนวดการำแพนผิวเข้มหน้าคมดุเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มกระหยิ่มกระหย่องกับชายวัยเดียวกันอีกผู้ ที่นั่งข้างๆ แต่ก็รีบหุบรอยยิ้มนั้นไปเมื่อสายตาดุของชายหนุ่มที่มียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่กว่ามองปราดมา
“ขุนวิชัย จักลากข้าเข้าไปร่วมเห็นใยเล่า” ขุนวิชัยพูดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มที่พวกเขาเรียกว่าออกพระ
“บ๊ะ! ใยจะมิได้ ในเมื่อรวมหัวกันว่าความเห็นจริงดังนั้นแล้ว” ขุนจรูญพูดขึ้นและยังมิวายหัวร่อกับสิ่งที่ตนเสนอไป
“ข้าก็มิเห็นว่ามันจักเป็นอันใด ซ้ำออกพระมิเสียการใหญ่ได้ผลงานไปมิดีดอกรึ?”
“ข้าเห็นดังหมื่นสุนทรว่าอีกคน” จหมื่นพันแสงพูดขึ้นและยิ้มกริ่ม
จหมื่นทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทของออกพระหนุ่มรูปงามผู้นี้ แม้จะยศถาบรรดาศักดิ์ต่างกันแต่ออกพระผู้นี้กลับไม่ได้ถือยศถืออย่าง การที่ออกพระหนุ่มได้ยศตำแหน่งส่วนหนึ่งก็เพราะบารมีผู้เป็นพ่อที่เป็นถึงออกญาเลื่องชื่ออย่างออกญาพระศรีสุริยะราชาที่ใกล้ชิดสมเด็จเจ้าพระยา
“มันมิได้เสียการ แต่มันเสียหน้าข้า...แม่หญิงใดรู้เข้าข้าจักเป็นอย่างไร” ออกพระราม หรือ ออกพระศรีรามเรืองเดชพูดขึ้นด้วยสีหน้าทะมึงทึง ไม่เห็นด้วยกับการนี้นัก
“จักเสียได้อย่างไรกันขอรับ ท่านออกพระมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วมิใช่รือ? จักห่วงไปใยเล่า” ออกขุนวิชัยเอ่ย
“คู่หมั้นคู่หมายที่ข้ามิเคยพบหน้า เห็นเพียงแค่ครั้นยังเด็กจักรู้ได้อย่างไรว่านางรับได้”
“เอาเถิดหนา อย่างไรท่านก็มิได้เสียหน้าผู้เดียวเสียหน่อย ยังมีข้ากับหมื่นสุนทรเคียงข้าง” จหมื่นจรูญเอ่ยขึ้นพลางกลั้นขำ
“ข้าเองก็เริ่มกังวลเสียแล้วล่ะหมื่นพันแสง ข้าหาได้มีคู่หมั้นคู่หมายดังออกพระไม่ แต่จักต้องมาแสร้งเป็นชาย*บันเฑาะก์นอกรีต ก็หนักใจอยู่...ซ้ำยังต้องควงคู่ชายเหนือชายกับออกพระรามด้วยแล้วยิ่งเหนื่อยหนักใจ” (*บันเดาะ เอาไว้เรียกชายที่รักกับชายด้วยกันในสมัยนั้น)
จหมื่นสุนทรหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดลอบมองออกพระรามเป็นระยะอย่างเหนื่อยหนัก ออกพระรามเองก็ยิ่งฉุนเฉียวเมื่อเห็นสายตาเช่นนั้น
“มันเป็นกระไรรึหมื่นสุนทร? ข้าอัปลักษณ์ขนาดที่ท่านเหนื่อยหนักใจมากขะนานนั้นเทียวรือ?”
“มิเป็นเช่นนั้นขอรับ เพียงแต่...มันจักดูผิดแผกไปขอรับ”
ออกพระรามไม่ได้กล่าวอันใดต่อ มันผิดแผกตั้งแต่ที่รับงานล่อลวงชายนอกรีตที่เข้ามาค้าขายยาปลุกกำหนัดในอยุธยาแล้ว ซ้ำยังล่อลวงชายเพศเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาวชาวบ้านชาวเมืองไปทำบัดสีเพื่อนสนองตัณหาของตนอีก ซึ่งมันเป็นภัยต่อบ้านเมืองถึงได้เป็นเรื่องราวใหญ่โตจนเขาต้องมาจัดการ เพื่อปกป้องประชาชนและเหล่าทหารที่ไม่ได้มีใจไปทางนั้นนี่สิ...เสียชื่อออกพระหนุ่มรูปงามเสียจริง
.
“อยุธยางามกว่าที่ข้าคิดเสียอีกว่าไหมอีแจ่ม อีจัน อีสาลี่”
หญิงสาวร่างอวบท้วมพูดขึ้นหลังจากล่องเรือตามแม่น้ำจากเมืองละโว้จนถึงอยุธยา ด้วยคำสั่งของออกพระนครพราหมณ์ผู้เป็นพ่อและออกญาพระศรีสุริยะราชาที่ตกลงกันไว้ เพราะใกล้จะถึงเวลาอายุครบที่เธอจะสามารถออกเรือนได้แล้วอีกไม่กี่เดือน (การที่เจ้าสาวไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวก่อนแต่งนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในเขตเมืองหรือที่ตกลงกันของผู้ใหญ่)
“เป็นจริงดังว่าเจ้าค่ะแม่หญิง” แจ่มพูดขึ้นตอบรับผู้เป็นนายก่อนพร้อมกับชะเง้อคอมองรอบๆเรือกับเพื่อนนางทาสของตน
“กูอยากรู้นัก ว่าท่านออกพระจะรูปงามเพียงใด” พูดขึ้นด้วยสายตาแวววับเป็นประกาย ทำเอาเหล่าบรรดาบ่าวไพร่ที่ติดตามมาถึงกับยิ้มหน้าเจื่อน
แม่หญิงที่ไม่สมกับเป็นแม่หญิงของพวกหล่อนนั้นไม่มีใครล่วงรู้ เธอค่อนข้างที่จะบ้าผู้ชาย เจ้าชู้ยิ่งกว่าชายไม่สมเป็นหญิงไม่ค่อยสงวนท่าทีหรือสำรวมเท่าไหร่นัก เพราะเหตุนี้ออกพระนครพราหมณ์ถึงรีบเร่งให้นางตบแต่งออกเรือนไปเสีย เผื่อจะได้กำราบนิสัยส่วนนี้ของนางได้ก่อนที่จะเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้
เหตุที่นางมีนิสัยเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะรูปร่างที่อวบท้วมไม่อรชรอ้อนแอ้นเหมือนแม่หญิงลูกขุนนางคนอื่นๆ และตลอดมามักจะพบกับสายตาของชายหนุ่มเหยียดหยามราวกับว่าเธอเป็นหญิงที่ผ่านการมีบุตรมาแล้ว ทั้งที่เธอยังไม่เคยต้องมือชายเลยสักครั้ง ความเจ้าชู้ของเธอนั้นค่อนข้างถึงเนื้อถึงตัวยั่วยวนให้อยากแล้วจากไปจากความคับแค้นใจจนติดเป็นนิสัย
“แม่หญิงเจ้าคะ? ถ้าท่านออกพระรูปงามแม่หญิงจัก...เอ่อ...” สาลี่พูดชะงักลอบมองอย่างหวาดหวั่นเมื่อแม่หญิงของตนหันไปมองตาขวาง
“จักกระไรอีสาลี่”
“เอ่อ...จักหยุดทำตัวเจ้าชู้ประตูดินไม่สมเป็นหญิง...”
“มึงเป็นบ่าวกล้ามาว่า มายั้งกูรึ?”
“โธ่...แม่หญิง พวกบ่าวห่วงใยแม่หญิงนะเจ้าคะ กลัวว่าท่านออกญา คุณหญิง ท่านออกพระจักไม่พึงใจในตัวแม่หญิงนะเจ้าคะ” จันเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับมือผู้เป็นนายลูบไล้ไปมามองแม่หญิงด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย
“กูมิสน ตราบใดที่กูได้ท่านออกพระมาเป็นผัว...”
“อุ๊ย! แม่หญิงเจ้าคะ อย่าพูดเช่นนั้นมันไม่งาม” แจ่มพูดขึ้นขัดทันทีพร้อมมองซ้ายมองขวากลัวคนอื่นจะได้ยินทั้งที่บนเรือก็มีกันเพียงสี่คนและนายพายกับพันท้ายสองคนเท่านั้น
“เอ๊ะ! อีนี่! กูพูดความจริง ถึงเรือนท่านออกญาเมื่อใดข้าจักยั่วยวนออกพระให้ตกได้เสียเป็นผัวกูเสียคืนนั้น!”
“ว๊าย! แม่หญิง!” บ่าวทั้งสามพูดขึ้นพร้อมกันและรีบกระโจนเข้าไปจับตัวแม่หญิงของตนจนเรือโคลงเคลง แต่แม่หญิงอวบท้วมกลับปัดมือบ่าวทั้งสามพร้อมทำหน้าดุจ้องมองเหล่าบ่าวไพร่ของตนตาเขม็งจึงไม่มีใครกล้าที่จะเงยหน้ามองเธอ
“ตอนนี้ กูหิวแล้ว!! แวะตลาดท่าน้ำใกล้ๆนี่เสีย”
“ตะ...แต่หากแวะจะไปถึงเรือนท่านออกญาก็มืดค่ำแล้วนะเจ้าคะ” สาลี่เอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆที่จะขัด แม่หญิงกลับไม่ได้สนใจคำพูดของสาลี่ซ้ำยังทำหน้าดุกว่าเดิมจนต้องไปบอกนายพายให้แวะตามที่ใจเธอปรารถนา
“พวกมึงคอยท่าอยู่นี่! โทษฐานที่บังอาจมายับยั้งกูถึงสองครั้งสองครา!”
“แต่แม่หญิงเจ้าคะ...แม่หญิง!”
ไม่รอฟังคำใดจากบ่าวไพร่ที่ติดตามมา เธอรีบเดินสะบัดชายสไบหายเข้าไปในตลาดทันที คนเป็นบ่าวไม่อาจจะขัดคำสั่งของนายตัวเองได้ไม่อย่างนั้นคงได้หลังลายจนจับไข้ จึงทำได้เพียงแต่ยืนมองหน้ากันไปมาอย่างเป็นกังวล
แม่หญิงจากเมืองละโว้ที่มีรูปร่างอวบท้วมเดินตลาดอย่างสบายใจ เมื่อเห็นอาหารคาวหวานมากมายเรียงรายกัน หยิบนู่น จ่ายนี่ ล้วนแต่เป็นอาหารคาวหวานทั้งสิ้น แม้จะไม่รู้ว่าที่นี่คือตลาดที่ใดมีคนหลายเชื้อชาติมาเร่ขายของและอาหารเต็มไปหมด แต่เธอกลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย สายตาดวงสวยที่ถูกบดบังด้วยเนื้อแก้มไปสะดุดกับน้ำสีเข้ม
“พ่อค้า นี้เรียกว่าอันใดรือ?”
“ขอรับแม่หญิง นี่เรียกว่า...”
พ่อค้าหน้าตาเด่นชัดไปทางชาวยุโรปเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า คำตอบที่ต้องการจะตอบกลืนหายลงไป แม่หญิงสาวเองก็มองใบหน้านั้นนิ่งค้าง...
...จักว่ารูปงามก็รูปงามอยู่หรอก แค่ไม่ใคร่ใช่เหมือนชาวเมืองเรา...
“น้ำหมักฝาหรั่งขอรับ...แต่ข้ามิใคร่แน่ใจว่าจักถูกปากแม่หญิง..”
“ข้าอยากลอง”
“หากแม่หญิงว่าเช่นนั้นข้าก็จักเอาน้ำหมักอย่างดีมาให้ขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแม่หญิงก็พยักหน้ารัวๆอย่างดีใจ ใครมันจะไม่อยากได้ของดีกันล่ะ หนุ่มพ่อค้ายกยิ้มก่อนจะหันกลับไปหยิบน้ำหมักขวดหนึ่งที่แยกไว้มาเทใส่กระบอกไม้ไผ่ให้เธอ
“เท่าใดรึ?”
“สำหรับแม่หญิงแล้วข้ามิเอาเงินดอกขอรับ”
“จักดีรึ? เช่นนั้นข้าก็ขอบน้ำใจ”
ไม่ทันรอฟังคำตอบรีบคว้ากระบอกไม้ไผ่ที่ตัดแต่งมาเหมือนแก้วและเดินออกไปทันที ตามจริงแล้วนางแค่ถามตามมารยาทเท่านั้น ของที่ได้มาฟรีๆใครไม่อยากได้ล่ะ หนุ่มพ่อค้ามองตามหลังแม่หญิงคนเมื่อครู่พร้อมยกยิ้มแล้วหันไปพยักหน้าให้พวกพ้องที่รออยู่ไม่ไกลนัก ก่อนที่พวกพ้องของเขาจะเดินตามแม่หญิงไปอย่างไม่ให้ใครสงสัย
ปากเคี้ยวอาหารไปตามทางจิบน้ำหมักที่ได้มาโดยไม่เสียเงินไปพลาง เตรียมพร้อมที่จะกลับเรือแต่ใครจะไปคิดว่าน้ำหมักที่มีรสชาติหวานกินง่ายนี้จะทำให้ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา โลกรอบตัวเริ่มหมุนร่างกายเริ่มร้อนผ่าวจนมือไม้ถืออาหารไว้ไม่อยู่ตกลงพื้นเสียหมด
“ข้าเป็น...กระไรกัน...”
“แม่หญิงเป็นกระไรหรือขอรับ”
“ให้พวกข้าพาแม่หญิงดีกว่าขอรับ”
ชายฉกรรจ์สองคนเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับจับแขนของเธอไว้แน่น หญิงสาวพยายามสะบัดมือหนาเหล่านั้นออกแต่เรี่ยวแรงกลับไม่มีเหลือเลยแม้แต่น้อย ภายในหัวมึนงงไปเสียหมดรู้ตัวแต่เพียงว่าชายเหล่านั้นยกอุ้มร่างเธอไปที่ไหนสักที่เสียแล้ว
...หัวใจเต้นรัวเร็วดังกลองมหรสพ มองดูรอบกายมิรู้เลยว่าไปที่ใด...เจ้าหล่อนดันสุภาพไม่แข็งแรงเสียด้วย โรคหัวใจที่เป็นมาตั้งแต่เด็กนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าขัดใจ...แต่ในตอนนี้ที่สติเลือนราง ร่างกายกลับถูกพามาที่ที่เขาเรียกว่าโรงน้ำชา...ความรู้สึกเดียวที่มีคือ...เธอกำลังหายใจไม่ทัน...
“นางผู้นี้เป็นกระไรไปรึ?! ทำไมถึงมีท่าทีเช่นนี้!” เสียงที่คุ้นเคยราวกับพ่อค้าหนุ่มคนนั้นเอ่ยขึ้น
“มิทราบขอรับ ท่าทางนางเหมือนคน...ใกล้ตาย...”
“บัดซบ!! ข้าคิดว่าข้าดูมิผิดแน่ นางอวบอ้วนปานนี้ร่างกายมิแข็งแรงไปได้อย่างไร!”
...อะ...อ้ายพวกไพร่!!...กล่าวว่ากูอ้วนงั้นรึ!!...
ความคิดสุดท้ายก่อนจะหายใจเฮือกใหญ่และหยุดหายใจไปในที่สุด...ทำเอาชายเหล่านั้นถึงกับผงะ...
พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง
“แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง
อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก
“ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้
พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม
“เอ่อ...ก็...” พอรู้ตัวก็หลบเลี่ยงสายตาของจหมื่นพันแสงเล็กน้อย ลอบสายตาขึ้นมองออกพระรามที่นิ่งเงียบจ้องมองเธออย่างรอคำตอบที่เธอจะตอบรับจหมื่นพันแสงเช่นกัน“คุณหมื่นยังไม่ได้ตอบคำถามข้าที่ถามก่อนเลยนะเจ้าคะ” หลีกเลี่ยงคำตอบแล้วหันไปถามจหมื่นพันแสงกลับ เมื่อได้ยินอย่างนั้นจหมื่นพันแสงก็ยิ้มหวานออกมารู้ได้ว่าเธอกำลังหลีกเลี่ยงแต่เขาก็เลือกที่จะตอบคำถามของเธอ“ออ...ที่มิบอกกันกงๆ เพราะแม่หญิงผู้นั้นมิอาจเอื้อมถึง หาใช่แม่หญิงที่ควรนึกถึงได้ไม่...ในเมื่อหักใจตัดเสียมิได้...ก็จักเลือกแสดงความรู้สึกผ่านดอกไม้ดอกนั้น หากแม่หญิงผู้นั้นคิดเช่นเดียวกันกับชายผู้ให้ ก็จักเก็บดอกไม้นั้นไว้กับตัว”“อ๋อ รักต้องห้ามสินะ” พริกแกงพยักเข้าใจในทันทีอย่างลืมตัว เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับคำตอบนั้นไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายสมัยก่อนนี้มีความโรแมนติกอยู่ไม่น้อย“แล้วแม่เล่า...จักเก็บดอกปีบนั้นไว้รือจักทิ้งมันไปเสีย?” หันไปถามเธอกลับ พริกแกงมองจหมื่นพันแสงก่อนจะหันไปมองออกพระรามที่มองเธอด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บป
เสร็จงานกฐินหลังจากที่ยกต้นกฐินเข้าโบสถ์ฟังเทศฟังธรรมกันอยู่นั้น พริกแกงที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่นานถึงกับอยู่ไม่สุข ความปวดเมื่อยคลืบคลานเข้ามาจนทำให้เอนตัวไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อยนั้น แม้ว่ามือเล็กทั้งสองข้างจะยกขึ้นพนมไหว้รับพรอยู่ก็ตามทีออกพระรามปรายสายตาหันไปทางเธอที่นั่งอยู่ด้านข้างห่างจากเขาเพียงทางเดินกั้น พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็โน้มตัวเข้าไปทางเขาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงกระซิบ“คุณเจ๊ ข้าขอออกไปด้านนอกก่อนได้ไหมเจ้าคะ? พอดีมันเมื่อยจนขาชาไปหมดแล้ว” ออกพระรามได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้ากลับไปมองที่พระสงฆ์องค์เจ้ากำลังสวดให้พรอยู่“อืม” ตอบออกไปเพียงสั้นๆ แม้ในใจไม่อยากให้เธอหายไปจากสายตาของเขาเสียเท่าไหร่นักถึงอย่างไรเธอก็ไปอยู่ดีหากเขาห้ามก็คงไม่ฟังเมื่อได้รับคำอนุญาตพริกแกงก็ค่อยๆ ลุกคลานถอยหลังออกไปตามทางอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินขากระเพกออกจากโบสถ์ไป เรียกสายตาให้เพื่อนๆ ของออกพระรามหันไปมองแล้วอมยิ้มกลั้นขำไปตามๆ กันออกพระรามทอดถอนหายใจก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาฟังพระสวดต่อ ปรายสายตาเหลือบไปเห็นจหมื่
“คนรัก? ของข้ารือ?” จหมื่นสุนทรทำหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองไปมีคนรักตอนไหน พริกแกงพยักเพยิดหน้าไปทางโบสถ์ก่อนจะเห็นออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินยิ้มหวานกันออกมา“โน่นไงเจ้าคะ มาโน่นแล้ว” จหมื่นสุนทรหันไปตามดวงหน้าที่พยักไป ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาอย่างเข้าใจว่าพริกแกงนั้นยังเข้าใจเขากับออกพระรามผิดไปอยู่ แต่จหมื่นสุนทรก็แปลกใจไม่น้อยที่ออกพระรามพาแม่เดือนแรมน้องสาวของจหมื่นพันแสงเข้าไปกราบพระแทนที่จะเป็นพริกแกงคู่หมั้น“มากันแล้วรือ” ออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินมาถึงกลุ่มก้อนเพื่อนของตน ออกพระรามก็เอ่ยทักขึ้นโดยมีแม่เดือนแรมยืนเคียงข้างไม่ห่างกาย ส่วนพริกแกงนั้นยืนอยู่ระหว่างจหมื่นพันแสงและจหมื่นสุนทรเช่นกัน ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็ดูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก“ขอรับออกพระท่าน” ทั้งสามเอ่ยตอบรับ ออกพระรามพยักหน้ายังคงหันไปขมวดคิ้วให้พริกแกงพร้อมถลึงถลนตาเป็นเชิงตักเตือนว่าไม่ควรที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่พริกแกงกลับไม่รู้เพราะไม่เข้าใจที่เข้าต้องการจะสื่อเท่าไหร่“ที่ที่ควรยืนอยู่กลับมิยืน” พูดแล้วหั
Comments