เมื่อหลี่เฉินเอ่ยถ้อยคำลงท้ายอย่างเฉียบขาด แสดงชัดว่าต้องการใช้อำนาจผลักดันแผนการนี้ด้วยพระองค์เอง เฉียนซื่อยวนก็ถึงกับร้อนรนขึ้นมาทันทีขณะเดียวกัน ขุนนางตงฉินคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นว่าในพระสุรเสียงของหลี่เฉินเริ่มมีแววโกรธ จึงแอบยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อของเฉียนซื่อยวน เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายลดท่าทีลงบ้างท้ายที่สุด ไม่ใช่ทุกคนที่กล้าเอาชีวิตมาเดิมพันเช่นเฉียนซื่อยวนแต่เฉียนซื่อยวนกลับยิ่งเดือดดาล เขาสะบัดมือออกจากอีกฝ่ายทันที พลางตวาดเสียงดังว่า “เจ้าดึงข้าไว้ทำไม? ฝ่าบาทกระทำโดยขาดไตร่ตรอง ไม่รับฟังคำทัดทานอันสุจริต เช่นนี้ไม่ต่างจากเอาราชกิจมาเล่นสนุก พวกข้าขุนนางตงฉิน กินเบี้ยหวัดของแผ่นดิน ย่อมต้องชี้แนะแนวทางคุณธรรมแก่จักรพรรดิ แม้แต่จักรพรรดิก็ยังต้องรับฟังคำเตือนของขุนนางตงฉิน ยิ่งกว่านั้นไฉนจะเป็นแค่รัชทายาทเล่า!?”คำพูดนี้ดังขึ้นทั่วท้องพระโรงใหญ่แห่งพระที่นั่งไท่เหอ จนบังเกิดความเงียบงันอย่างที่สุดทุกคนต่างใช้สายตาของผู้มองวีรบุรุษ จับจ้องไปที่เฉียนซื่อยวนหากเป็นในอดีตก็ว่าไปอย่างแต่ในตอนนี้ แม้แต่คณะรัฐมนตรีก็ยังถูกตำหนักบูรพากดเอาไว้ได้ การกบฏใหญ่โตเมื่อไม่นานนี้ กลับ
การปฏิรูประบบขุนนางพลเรือน เป็นเพียงแค่การทำให้กลไกราชสำนักดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นผลดีต่อการที่หลี่เฉินจะรวบอำนาจไว้ในพระหัตถ์แต่การปฏิรูประบบทหาร กลับเป็นรากฐานแท้จริงของการควบคุมจักรวรรดิทั้งมวลของหลี่เฉินดังนั้นหลี่เฉินจึงไม่มีทางปล่อยผ่านการปฏิรูประบบทหารอย่างแน่นอนสายตาของหลี่เฉินทอดไปยังฝั่งขุนพล แล้วก็เริ่มเอ่ยถึงแผนที่เคยกล่าวไว้กับซูเจิ้นถิงมาก่อนเพียงแต่ครั้งนี้ รายละเอียดที่กล่าวออกมากลับมากกว่าที่ซูเจิ้นถิงเคยได้ฟัง“ยุบสำนักบัญชาการทหารสูงสุด ตั้งใหม่เป็นสำนักบัญชาการ สำนักเสนาธิการ และสำนักเสบียง สามสำนักนี้จะเป็นแกนหลักการทหารทั่วทั้งแผ่นดิน ระบบเว่ยสั่วของแต่ละท้องถิ่นยังคงเดิม แต่ต้องกำหนดให้ชัดว่า หน้าที่ของเว่ยสั่วคือรักษาความสงบในพื้นที่เป็นหลัก ส่วนกองทัพสนาม มีหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง มิควรเคลื่อนกำลังโดยพลการ”“ทั่วแผ่นดินมีหน่วยกองทัพสนามที่มีรหัสประจำตัวแยกเป็นอิสระอยู่สิบกว่าหน่วย กำลังพลรวมกันกว่า 4 แสนนาย ส่วนใหญ่วางกำลังอยู่ตามป้อมปราการชายแดน ทั้งหมดนี้จะต้องขึ้นตรงต่อการบังคับบัญชาของสามจวน”“หากไม่มีคำสั่งจากสามสำนัก กองทัพส
ในฐานะที่สวีฉังชิงทำงานอยู่ในกรมครัวเรือนมาตลอด หน้าที่หลักของเขาก็เกี่ยวข้องกับด้านภาษี เมื่อเห็นแผนนี้ เขาก็จับสังเกตได้ในทันทีอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปยังหลี่เฉิน สวีฉังชิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดเขารู้สึกว่านโยบายข้อนี้มีปัญหา และเป็นปัญหาใหญ่ด้วยแต่ในท้องพระโรง เขาไม่กล้ากล่าวออกมาตรงๆหลี่เฉินยืนอยู่บนบันไดบัลลังก์ มองเห็นปฏิกิริยาของเหล่าขุนนางได้ถนัดชัดเจน สีหน้าของสวีฉังชิงที่เหมือนอยากพูดแต่ไม่กล้าพูด ราวกับจะอึดอัดจนท้องผูก เขาย่อมเห็นได้ชัด“ใต้เท้าสวี หากมีสิ่งใดก็พูดออกมาตรงๆ ได้” หลี่เฉินเป็นฝ่ายเอ่ยก่อนเวลานี้ หลี่เฉินไม่ได้คิดเรื่องการเมือง แต่เป็นการพิจารณาเพื่อแผ่นดินโดยแท้แม้เขาจะมั่นใจว่านโยบายเหล่านี้ที่ถอดแบบมาจากประสบการณ์ในอนาคตจะไม่มีปัญหา แต่สุดท้ายต้าฉินก็มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ทุกนโยบายจะต้องสอดคล้องกับสถานการณ์จริงของบ้านเมือง ดังนั้นในหลักการเช่นนี้ หลี่เฉินจึงยินดีรับฟังความคิดเห็นจากขุนนางที่มุ่งมั่นเพื่อบ้านเมืองสวีฉังชิงประสานมือคำนับก่อนกล่าวขึ้นว่า “ขอพระราชทานอนุญาตฝ่าบาท อำนาจในการจัดเก็บภาษีนั้นเดิมอยู่กับทางการท้องถิ่น เป็นเช่นนี้ม
ขุนนางทุกคนต่างก้มหน้าพิจารณาแผนในมืออย่างละเอียดละออ หวั่นว่าจะพลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียวในขณะนั้นเอง น้ำเสียงของหลี่เฉินก็ค่อยๆ ดังขึ้นด้วยถ้อยคำราบเรียบ“แผนของข้า หกกรมยังคงอำนาจหน้าที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง เบื้องบนตั้งสามกรมใหญ่ ได้แก่ กรมมหาดไทย กรมราชเลขา และกรมตรวจราชการ ทั้งสามกรมล้วนรับพระบัญชาโดยตรงจากองค์จักรพรรดิ”“ในนั้น กรมราชเลขาจะรับผิดชอบเรื่องสำคัญ และประกาศราชโองการ”“กรมตรวจราชการจะรับผิดชอบเรื่องสำคัญร่วมกับกรมราชเลขา ร่วมปรึกษาราชกิจ และตรวจสอบราชโองการ”“กรมมหาดไทยมีอำนาจมากที่สุด บังคับบัญชาหกกรมย่อยยี่สิบสี่ฝ่าย”เพียงแค่เพิ่มตั้งสามกรม ก็ทำให้เหล่าขุนนางมองเห็นความเฉียบคมของแผนการปฏิรูปฉบับนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการรื้อสำนักราชเลขาออก แล้วแบ่งแยกอำนาจของมันออกเป็นสามส่วนเดิมทีสำนักราชเลขามีอำนาจล้นเหลือ ไม่เพียงแทรกแซงการทำงานของหกกรมยี่สิบสี่ฝ่ายได้โดยตรง ยังมีสิทธิในการตรวจสอบและแก้ไขราชโองการและฎีกาอีกด้วยบัดนี้ หลี่เฉินแบ่งอำนาจของสำนักราชเลขาให้กับสามกรม โดยแยกหน้าที่ออกจากกันอย่างชัดเจน ทั้งราชโองการ การตรวจสอบฎีกา และอำนาจทางการบริหาร ต่างไม่รบกวนซ
“นี่...”เฉียนซื่อยวนถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ กว่าครู่จึงกล่าวว่า “ฝ่าบาทเพิ่งทรงเอ่ยถึงการเปลี่ยนแปลงระบบและการปฏิรูปเป็นครั้งแรก กระหม่อมย่อมไม่เคยเห็นเนื้อหาที่ชัดเจน”“ในเมื่อไม่รู้ เช่นนั้นเจ้าตัดสินได้อย่างไรว่าการปฏิรูปของข้าจะสั่นคลอนแผ่นดิน?” หลี่เฉินถามต่อทันทีเฉียนซื่อยวนรู้สึกว่าหลี่เฉินกำลังเล่นตุกติก ในสายตาของเขา เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ย่อมต้องหารือกับเหล่าขุนนางให้ได้ข้อยุติร่วมกันเสียก่อน แล้วค่อยดำเนินการอย่างมั่นคง จะกล่าวเปลี่ยนก็เปลี่ยนเช่นนี้ได้อย่างไรดังนั้นเฉียนซื่อยวนจึงฝืนใจกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงกระทำเร่งรีบเกินไป เกรงว่าจะคล้ายการเล่นสนุกเสียมากกว่า”“ข้ายังยืนยันคำเดิม ในเมื่อเจ้ายังไม่รู้แผนการของข้า เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเร่งรีบหรือเป็นการเล่นสนุก?”บัดนี้หลี่เฉินก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดจักรพรรดิแห่งทุกยุคทุกสมัยจึงไม่โปรดขุนนางตงฉินพวกนี้สำหรับราชสำนักแล้ว ขุนนางตงฉินกลุ่มนี้ในระยะยาวถือว่ามีคุณประโยชน์ท้ายที่สุด ไม่มีแผ่นดินใดที่จักรพรรดิในแต่ละรัชกาลจะเป็นพระราชาผู้เปี่ยมปัญญาทุกพระองค์ได้แน่นอน จักรพรรดิที่โง่งมก็เป็นส่วนน้อย เพราะตำแ
บรรดาขุนนางตงฉินที่มีชื่อเสียงล้วนมีลักษณะหนึ่งเหมือนกัน คือไม่กลัวตายกระทั่งยังแอบหวังให้จักรพรรดิทรงมีพระราชโองการประหารตน เพื่อจะได้จารึกชื่อไว้ชั่วกาล เป็นที่เลื่องลือชั่วนิรันดร์ในสายตาของหลี่เฉิน สมองพวกเขาคงมีปัญหาไม่น้อยมิได้คาดหวังจะได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่โต เพราะระบบขุนนางตงฉินเป็นวงการที่ค่อนข้างปิด ขุนนางตงฉินน้อยคนนักจะได้โยกย้ายไปที่อื่น หน่วยงานอื่นก็ไม่อยากรับ เพราะหน้าที่ของขุนนางตงฉินเอาเข้าจริงก็คือทำให้ผู้อื่นไม่พอใจในเมื่อไม่มีความหวังจะเลื่อนตำแหน่ง บรรดานักปราชญ์ผู้เคร่งคุณธรรมเหล่านี้ก็ย่อมไม่ใส่ใจในทรัพย์สินเงินทองสิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจก็คือชื่อเสียงในสายตาของพวกเขา การถูกจักรพรรดิประหารคือเกียรติสูงสุดพวกเขาเปล่งเสียงแทนราษฎร แนะนำด้านคุณธรรม ถือเป็นแบบอย่างของขุนนางผู้ภักดีแม้หลายสิบปีที่ผ่านมา ราชสำนักวุ่นวาย จ้าวเสวียนจีแทบจะรวบอำนาจไว้คนเดียว ทำให้สำนักตรวจการเสื่อมทรามไม่หยุด ทว่าก็ยังมีคนกระดูกแข็งอยู่บ้าง เฉียนซื่อยวนก็คือหนึ่งในนั้นหลี่เฉินสังหารเจ้าสำนักตรวจการมานักต่อนักแล้ว แม้แต่คลื่นการกวาดล้างในครั้งนี้ก็ยังมิได้กระทบเขา เห็นได้ชัด