Share

บทที่ 4

Author: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
หว่านเอ๋อร์เป็นสาวใช้ของเสด็จแม่ นับตั้งแต่ที่ตนย้ายเข้ามาอยู่ในตำหนักบูรพา เสด็จแม่ก็ให้หว่านเอ๋อร์มาคอยดูแลตนเอง

ถึงแม้จะเป็นนายบ่าว แต่ก็สนิทสนมกันราวกับพี่น้อง!

บัดนี้กลับมีคนกล้าสังหารนาง แค้นนี้หากไม่ชำระ ข้าหยางเฉินขอสาบานว่าจะไม่ขอเป็นคนอีกต่อไป!

“องค์รัชทายาท เมื่อวานหว่านเอ๋อร์กัดองค์ชายเจ็ดจนบาดเจ็บ ข้าน้อยสงสัยว่าเป็นเขาและองค์ชายรองที่สังหารหว่านเอ๋อร์” แม่ทัพไป๋สะกดกลั้นน้ำตา กล่าวเสียงเย็น

“เจ้าเดรัจฉานสองตัวนั่น กล้าดีอย่างไรมาฆ่าหว่านเอ๋อร์ ข้าจะสับพวกมันให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น!” ดวงตาทั้งคู่ของหยางเฉินแดงก่ำ จิตสังหารพลุ่งพล่านออกมา

“องค์รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี?” แม่ทัพไป๋เอ่ยถามเสียงเย็น

นางคือแม่ทัพหญิงผู้เด็ดขาดในสนามรบ วรยุทธ์ทั่วร่างบรรลุถึงขั้นเก้าแล้ว ขอเพียงหยางเฉินเอ่ยปากคำเดียว ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย

แม้จะต้องไปสังหารองค์ชายทั้งสอง นางก็จะปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

ทว่า ข้างกายองค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดก็มียอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่ หากลงมือขึ้นมา เกรงว่าแม่ทัพไป๋ก็คงจะไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้

นับตั้งแต่ศึกที่เขาซือถัว แม่ทัพใหญ่ข้างกายทั้งสามคนของเขา ก็เหลือเพียงไป๋หานอีคนเดียว ตอนนี้เขาไม่อยากให้นางต้องไปตายเปล่า

“เรื่องแก้แค้นค่อยว่ากันทีหลัง พาข้าไปดูหว่านเอ๋อร์ก่อน” หยางเฉินสะกดกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าว กล่าวเสียงเย็น

“องค์รัชทายาท ท่าน... ท่านอย่าไปดูเลยจะดีกว่า!” ไป๋หานอีนึกถึงสภาพศพอันน่าสยดสยองของหว่านเอ๋อร์ ก็ไม่อยากให้หยางเฉินไปเห็นแล้วเศร้าโศกเสียใจ

หยางเฉินคล้ายจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ความโกรธแค้นและความเศร้าโศกพลันจู่โจมเข้าสู่หัวใจ ตรงหน้าพลันมืดลง ร่างกายโงนเงนแทบจะล้มหมดสติไป

“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท...” แม่ทัพไป๋รีบเข้าไปประคองเขา

“ข้าไม่เป็นไร ข้า... ข้าจะไปดูหว่านเอ๋อร์!” หยางเฉินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

เป็นดั่งที่แม่ทัพไป๋กล่าว ก่อนตายหว่านเอ๋อร์ถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ใบหน้าเละจนจำไม่ได้ และยังถูกล่วงละเมิดก่อนสิ้นใจอีกด้วย

ภายในโถงใหญ่ของจวนองค์รัชทายาท หยางเฉินมองร่างไร้วิญญาณอันเย็นเยียบของหว่านเอ๋อร์ น้ำตารื้นอยู่ในดวงตา ไอสังหารอันเย็นเยียบแผ่กระจายออกมา แม้แต่ไป๋หานอีที่อยู่ข้างกายก็รู้สึกราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง

ตำหนักบูรพาคือที่พำนักขององค์รัชทายาท กลับมีคนกล้าลงมือฆ่าคนในเขตพระราชวัง ยิ่งไปกว่านั้น หว่านเอ๋อร์ยังเป็นนางกำนัลคนสนิทขององค์รัชทายาท นี่มันไม่ต่างอะไรกับการเชือดไก่ให้ลิงดู เป็นการข่มขู่เขา

ในขณะนั้นเอง ผู้บัญชาการใหญ่เซียวแห่งหน่วยทหารรักษาพระองค์ก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่า เมื่อทราบข่าวว่าหว่านเอ๋อร์ถูกสังหาร ก็รีบรุดมาทันที

“ข้าน้อยถวายบังคมองค์รัชทายาท!” เซียวจ้านเทียนประสานมือคารวะ

“ผู้บัญชาการเซียว เช้าวันนี้หว่านเอ๋อร์ถูกสังหาร ข้าคิดว่าท่านคงจะรู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดกระมัง?” หยางเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง

“ข้าน้อยทราบว่าแม่นางหว่านเอ๋อร์ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ก็ได้ส่งคนไปสืบสวนทันที...” ผู้บัญชาการเซียวกล่าวถึงตรงนี้ ก็หยุดไปเล็กน้อย พลางชำเลืองมองคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบกาย

หยางเฉินรู้ว่ามีบางคำพูดที่เขาไม่สะดวกจะพูด จึงโบกมือให้ไป๋หานอี นางเข้าใจในทันที จึงพานางกำนัลและขันทีออกไป

เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ผู้บัญชาการเซียวจึงขยับเข้าไปใกล้หยางเฉิน กระซิบเกลี้ยกล่อมว่า “องค์รัชทายาท ขออภัยที่ข้าน้อยปากมาก แม่นางหว่านเอ๋อร์เป็นเพียงนางกำนัลตัวเล็ก ๆ ตายแล้วก็แล้วไปเถิด ท่านอย่าได้สืบสาวราวเรื่องต่อเลยพ่ะย่ะค่ะ”

อันที่จริงแล้ว ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด และผู้บัญชาการเซียวเองก็นับถือหยางเฉินอย่างยิ่ง จึงได้เอ่ยปากเกลี้ยกล่อม ไม่ต้องการให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต

“หว่านเอ๋อร์กับข้าผูกพันกันดั่งพี่น้อง ไม่ว่าใครจะฆ่านาง ข้าจะทำให้มันต้องชดใช้ด้วยเลือด!” ดวงตาสีแดงก่ำของหยางเฉินจ้องเขม็งไปยังผู้บัญชาการเซียว ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาจนตัวสั่น

ผู้บัญชาการเซียวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตาฉายแววลังเลเล็กน้อย คล้ายกำลังคิดว่าจะบอกหยางเฉินดีหรือไม่

เพราะอย่างไรเสีย หยางเฉินในตอนนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว วรยุทธ์สูญสิ้น ขาข้างหนึ่งก็พิการ บรรดาขุนนางไร้จุดยืนในราชสำนักเหล่านั้น ต่างพากันเอนเอียงไปเข้ากับองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองกันหมดแล้ว

“ผู้บัญชาการเซียว ท่านเพียงแค่บอกข้ามาว่า ใครเป็นคนฆ่าหว่านเอ๋อร์ ส่วนเรื่องอื่นท่านไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวก็ได้” หยางเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ในฐานะผู้บัญชาการใหญ่ของหน่วยทหารรักษาพระองค์ รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของพระราชวัง หากบอกว่าไม่รู้ว่าใครฆ่าหว่านเอ๋อร์ นั่นย่อมเป็นการปัดความรับผิดชอบต่อหยางเฉิน

แต่ถ้าหากเขาบอกหยางเฉินไปว่าใครคือฆาตกร ตัวเขาเองก็ย่อมสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้บัญชาการเซียวขมวดคิ้วแน่น ก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่งแล้วโน้มตัวไปกระซิบข้างหูของหยางเฉิน “องค์รัชทายาท เช้าวันนี้องค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดได้เสด็จเข้าวังมาถวายพระพรกุ้ยเฟย หลังจากนั้นคุณหนูหว่านเอ๋อร์ก็เกิดเรื่องขึ้น...”

เป็นเจ้าคนใจแคบอย่างองค์ชายเจ็ดนั่นจริง ๆ ด้วย!

สีหน้าของหยางเฉินเขียวคล้ำ จิตสังหารพลุ่งพล่าน เขาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วโบกมือให้ผู้บัญชาการเซียว เป็นสัญญาณว่าให้เขาออกไปได้แล้ว

“องค์รัชทายาท ตอนนี้ท่านสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว ต้องอดทนไว้นะพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้บัญชาการเซียวเอ่ยเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ประสานมือคารวะแล้วถอยออกไป

ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือขององค์ชายรองและองค์ชายเจ็ด หยางเฉินก็สาบานว่าจะต้องให้เจ้าสองคนนั่นชดใช้ด้วยเลือด หากไม่ใช่เพราะตอนนี้เขาสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว ป่านนี้คงบุกไปถึงจวนองค์ชายเจ็ดแล้วสังหารมันไปแล้ว

ไป๋หานอีเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “องค์รัชทายาท เป็นฝีมือขององค์ชายเจ็ดใช่หรือไม่?”

“ผู้บัญชาการเซียวบอกข้าว่า เช้าวันนี้องค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดเข้าวังมาถวายพระพรกุ้ยเฟย หลังจากนั้นหว่านเอ๋อร์ก็เกิดเรื่องขึ้น” สีหน้าของหยางเฉินเย็นชาอย่างยิ่ง

“เป็นเจ้าสารเลวสองคนนั่นจริง ๆ ข้าจะไปฆ่าพวกมัน!” ไป๋หานอีแผ่จิตสังหารไปทั่วบริเวณ

นางคือหนึ่งในสามขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดข้างกายหยางเฉิน ทั่วร่างแฝงไปด้วยกลิ่นอายคาวเลือดและจิตสังหารอันเข้มข้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนที่ผ่านสมรภูมินองเลือดมาแล้ว

“แม่ทัพไป๋ เจ้าติดตามข้ามากี่ปีแล้ว?” หยางเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ไป๋หานอีชะงักไปเล็กน้อย ลองนับในใจดูแล้วจึงตอบเสียงดัง “ทูลองค์รัชทายาท สามปีแล้วเพคะ”

“ในเมื่อสามปีแล้ว เหตุใดจึงยังไม่เปลี่ยนนิสัยเลือดร้อนของเจ้าเสียที หว่านเอ๋อร์ถูกฆ่า หัวใจของข้าก็เจ็บปวดเช่นกัน เจ้าวางใจเถิด ข้าจะฆ่าองค์ชายรองและองค์ชายเจ็ด เพื่อแก้แค้นให้หว่านเอ๋อร์อย่างแน่นอน” หยางเฉินกล่าวเสียงเย็น

“องค์รัชทายาท ข้าน้อยทนกล้ำกลืนความแค้นนี้ไม่ได้จริง ๆ ” ไป๋หานอีนึกถึงสภาพอันน่าสยดสยองของหว่านเอ๋อร์ ก็แทบจะระงับโทสะไว้ไม่อยู่

“แม่ทัพลี่และแม่ทัพจีมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?” หยางเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

แม่ทัพลี่หมางและแม่ทัพจีอู๋หยาทั้งสองคือยอดขุนพลใต้บังคับบัญชาของเขา เช่นเดียวกับไป๋หานอีที่ได้พาเขาฝ่าวงล้อมออกมา และเพื่อถ่วงเวลาทหารที่ไล่ตามมา พวกเขาจึงต้องอยู่รั้งท้ายเพื่อสกัดศัตรู

ตอนนี้เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว กลับยังไม่มีข่าวคราวของแม่ทัพทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าเป็นลางร้ายมากกว่าดี แต่หยางเฉินกลับมีความรู้สึกสังหรณ์ใจลึก ๆ ว่า พวกเขาน่าจะยังมีชีวิตอยู่

เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นยอดฝีมือขั้นเก้าแล้ว ในทั่วทั้งทวีปเฉียนอู่นี้ล้วนจัดเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด แน่นอนว่า หากเทียบกับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์และระดับเซียนกระบี่แล้ว ย่อมไม่อาจเทียบได้

แต่ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์และระดับเซียนกระบี่ ไหนเลยจะเข้าร่วมกับกองทัพ พวกเขาสูงส่งอยู่เหนือผู้อื่น มองสรรพชีวิตด้วยสายตาดูแคลน ไม่เคยคิดจะลดตัวลงมาร่วมสงครามเช่นนี้

หากไม่มีการเข้าร่วมของยอดฝีมือระดับปรมาจารย์และระดับเซียนกระบี่ โอกาสที่พวกเขาจะหนีรอดออกมาได้ก็ค่อนข้างสูง

“องค์รัชทายาท ข้าน้อยได้ส่งหน่วยย่อยสิบหน่วยออกไปค้นหาแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของพวกเขา คาดว่าคงจะเป็นลางร้ายมากกว่าดี” ไป๋หานอีกล่าวถึงตรงนี้ อารมณ์ก็พลันหนักอึ้ง

“พวกเขาติดตามข้าทำศึกเหนือใต้ ทุกครั้งล้วนสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ ข้าเชื่อว่าคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง พวกเขาจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”

หยางเฉินหวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไร แต่จะรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่นั้น ก็คงต้องแล้วแต่ลิขิตสวรรค์จริง ๆ

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 100

    เวลานี้ ภายห้องโถงใหญ่ของพระตำหนัก ฮ่องเต้อู่เต๋อกำลังนำฮองเฮาถวายพระพรและถวายของขวัญให้ไทเฮา ไทเฮาที่นั่งอยู่ตรงกลางดีพระทัยจนแย้มสรวลไม่หยุด รีบสั่งให้คนจัดที่นั่งให้ฮ่องเต้และฮองเฮาผู้ที่มาร่วมงานคล้ายวันพระราชสมภพในวันนี้ ถูกฮองเฮาแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มที่เข้ามาอวยพรวันเกิดเป็นกลุ่มแรกย่อมเป็นบรรดาพระญาติพระวงศ์ ที่สำคัญก็คือเหล่าองค์ชายและพระราชนัดดา แม้แต่องค์หญิงใหญ่หยางจิ่นอวี๋ก็มาด้วยแล้วต่อจากฮองเฮาก็คือเหล่าพระสนมวังหลัง ที่ตามมาติดๆ กันคือเซวียกุ้ยเฟย เซียวซูเฟย และยังมีเจาหรง เจาอี๋ ไฉเหริน และกุ้ยเหรินจากตำหนักในด้วยแม้แต่มารดาของหยางเฉิน ‘พระสนมฉิงกุ้ยเฟย - หลีหว่านฉิง’ ก็ยังมาอวยพรวันเกิดไทเฮาด้วยทว่านอกจากฮองเฮาและกุ้ยเฟยอีกไม่กี่นางแล้ว เหล่านางสนมที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นไม่มีแม้แต่ที่นั่ง จึงทำได้เพียงจากไปทางประตูข้างหยางเฉินในฐานะองค์รัชทายาทและผู้นำของทายาทรุ่นที่สาม แม้จะสูญเสียวรยุทธ์ไปจนสิ้นและต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ทว่าฐานะของเขายังคงตั้งอยู่ตรงนั้น ดังนั้นจึงเป็นคนแรกที่เข้าสู่ห้องโถงเช่นกัน“หลานหยางเฉินขออวยพรเสด็จย่า ขอพระองค์ทรง ‘โชควาสนาเปี่

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 99

    ด้วยความสามารถระดับสามัญวชิระของเขาในอดีต ต่อให้เป็นเพียงพลังยุทธ์สามส่วน ก็สามารถต่อกรกับยอดฝีมือขั้นแปดลงไปได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีวิชาลับอันร้ายกาจที่เพิ่มพูนความสามารถได้อีกวันนี้เป็นวันเกิดของเสด็จย่า หยางเฉินเลือกของขวัญที่ดูเข้าเกณฑ์สองชิ้น เตรียมไปอวยพรวันเกิดให้เสด็จย่าเรื่องใหญ่อย่างงานคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา ย่อมมีฮองเฮาประมุขแห่งวังหลังเป็นผู้กำกับดูแล และมีการเชื้อเชิญเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊กับครอบครัว กล่าวได้ว่าครึกครื้นอย่างที่สุดพระตำหนักฉือหนิง เป็นตำหนักที่ประทับของไทเฮา ผู้เป็นพระพันปีหลวงในตอนที่หยางเฉินมาถึงที่นี่ บรรดาเสด็จพี่เสด็จน้องชายทั้งหลายก็ต่างมาถึงกันแล้ว ต่างกำลังเข้าแถวรออยู่นอกตำหนัก เพื่อเข้าไปมอบของขวัญและอวยพรวันเกิดแก่พระพันปี“เสด็จพี่ใหญ่ เสด็จพี่รอง วันนี้พวกท่านไม่ไปเจรจาสันติภาพหรือ?” หยางเฉินแกล้งถามอย่างประหลาดใจ“พอองค์หญิงได้ยินว่าเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา ก็ให้พวกเรามาอวยพรวันเกิดให้เสด็จย่า พรุ่งนี้ค่อยเจรจากันต่อ” องค์ชายใหญ่ตอบด้วยรอยยิ้มองค์ชายรองยิ้มแทรกขึ้นมาว่า “องค์รัชทายาท องค์หญิงผิงหยางผู้นี้คิดได้รอบ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 98

    คนที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงทั้งสองต่างวางแผนเล่นงานอีกฝ่าย เจ้าวางแผนใส่ข้า ข้าก็วางแผนใส่เจ้า!ในขณะที่องค์หญิงผิงหยางกำลังยินดีนั่นเอง สาวใช้ทั้งสองคนของนางก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน คุกเข่าลงกับพื้นทั้งคู่“ทูลองค์หญิง ภารกิจล้มเหลวแล้วเพคะ!”“ว่าอย่างไรนะ? ล้มเหลวแล้ว? หรือถูกเขาค้นพบเข้าแล้ว?” องค์หญิงผิงหยางตกตะลึง“องค์หญิง พวกเราวางกำลังดักซุ่มถึงสองครั้ง แต่ในขณะกำลังจะเข้าสู่หลุมพราง เจ้าหยางเฉินผู้นี้ล้วนวกรถม้ากลับไป ทำให้แผนการของเราล้มเหลวทั้งหมด!” ถัดมา อวิ๋นจือก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียดอีกรอบหนึ่งองค์หญิงผิงหยางฟังคำรายงานของสาวใช้ ในใจพลันกระตุกขึ้นมา โพล่งออกมาว่า “หรือหยางเฉินจะพบว่าพวกเราคิดลอบสังหารเขาจริงๆ ?”“องค์หญิง พวกเรามิได้ถูกเปิดโปงเพคะ เขาน่าจะไม่รู้ว่าพวกเราคิดลอบสังหารเขา!” ชูเซี่ยส่ายหัว คิดว่าหยางเฉินไม่มีทางสังเกตเห็นพวกนาง“หรือเขาคิดได้ระหว่างทางจริงๆ เลยยอมรับข้อเสนอของข้าแล้วย้อนกลับมาบอกข้า?” องค์หญิงผิงหยางคาดเดา“ข้อเสนออะไรหรือเพคะ?” สาวใช้อวิ๋นจือถาม“ข้าคิดขจัดความสงสัยของเขา จึงบอกไปว่าจะแต่งงานกับเขา แล้วช่วยให้ตำแ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 97

    “เป็นไปไม่ได้ หากฮ่องเต้กล้าปลดท่าน ข้าก็จะให้จักรวรรดิตงเซิ่งเริ่มทำสงคราม หรือฮ่องเต้จะไม่กลัวราษฎรต้องทุกข์ร้อนหรือ?” องค์หญิงผิงหยางเต็มไปด้วยความอหังการหยางเฉินขมวดคิ้ว กล่าวหน้ามุ่ยว่า “องค์หญิง ท่านก็อย่างได้จ้องจะจับข้าอีกเลย ไม่งั้น ท่านไปทำร้ายเสด็จพี่ใหญ่ หรือเสด็จพี่รองแทนเถอะ?”“หยางเฉิน…เจ้ามัน…” องค์หญิงผิงหยางรู้สึกว่าโมโหจนแม้แต่ปอดก็จะระเบิดแล้ว“องค์หญิง ขอลาก่อนล่ะ!” หยางเฉินกลัวจนต้องรีบเผ่นองค์หญิงผิงหยางมองเงาหลังที่จากไปของเขา ความโมโหบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป กลายเป็นรอยยิ้มเยาะหยันที่แสนเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกแทน……หลังหยางเฉินขึ้นรถม้าแล้ว ก็มุ่งหน้าไปทางพระราชวัง เตรียมกลับไปที่ตำหนักรัชทายาททว่า หลังจากรถม้าแล่นออกไปได้ไม่ไกล หัวใจของหยางเฉินที่นั่งอยู่ในรถม้าก็สั่นสะท้านขึ้นมา เขารีบเปิดใช้วิชาสดับฟ้าแผ่ขยายออกไปทันที“หยุดรถ!” หยางเฉินออกคำสั่งเสียงดังยอดฝีมือที่สำนักตรวจการส่งมาคุ้มครองเขามีราวยี่สิบคน แต่ฝีมือของคนพวกนี้กลับมิได้สูงมากนัก“องค์รัชทายาท เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” คนผู้หนึ่งเข้ามาใกล้รถม้าแล้วกระซิบถาม“พวกเจ้าไม่สังเกตเห็นว่า

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 96

    ซยงหนูเคลื่อนลงใต้มารุกรานที่ราบภาคกลาง นี่เป็นภัยคุกคามที่มีมานานของจักรวรรดิส่วนการรุกรานในครั้งนี้ของพวกซยงหนู จะเป็นการร่วมมือกับจักรวรรดิตงเซิ่งหรือไม่ หรือจะเป็นเพราะซยงหนูเห็นจักรวรรดิตงเซิ่งปิดล้อมป้อมปราการเกอเอ่อเติง อยากฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ จับปลาในน้ำขุ่น จึงเคลื่อนทัพลงใต้ก็ยากที่จะบอกได้อันที่จริงแล้ว ในสายตาของหยางเฉิน ทุกสิ่งที่กล่าวมาล้วนไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้น ยามนี้พลังยุทธ์ของเขาฟื้นตัวกลับมาได้สามส่วนแล้ว ขอเพียงฟื้นฟูกลับมาได้ห้าส่วน ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเก้าเขาก็ไม่กลัว สามารถนำทัพออกศึกได้แล้วตามการขยายขอบเขตของ ‘วิชาสดับฟ้า’ ตอนนี้เพียงพอที่จะครอบคลุมระยะยี่สิบเมตรแล้ว หากเขาฝึกฝนต่อไป ระยะหลายร้อยหรือกระทั่งหลายพันเมตรก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาขอเพียงมีวิชาลับนี้อยู่ เขาก็จะไม่มีทางตกสู่หลุมพรางของศัตรูอีกเมื่อเผชิญกับท่าทีบีบคั้นผู้คนขององค์หญิงผิงหยาง หยางเฉินก็มิได้ใส่ใจเลย เขากลับหลุดหัวเราะออกมาราวได้ยินเรื่องตลกว่า “องค์หญิง ท่านคิดว่าคำข่มขู่เล็กๆ นี้ของท่าน จะทำให้พวกเรายอมแพ้ได้หรือ?”“ความหมายขององค์รัชทายาทคือ จะรอจนพวกเราตีป้อมปรา

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 95

    การเจรจาสันติภาพของนางกับองค์ชายทั้งสองในวันนี้ ไม่อาจเรียกว่าการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งเลยสักนิด รู้สึกเพียงว่ามีแมลงวันสองตัวกำลังส่งเสียงหึ่งหึ่งอยู่ข้างหูนาง และทุกครั้งที่พูดถึงประเด็นสำคัญ พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงไม่ยอมคุยที่น่าโมโหกว่านั้นก็คือ องค์ชายใหญ่จะเชิญนางไปร่วมรับประทานอาหารค่ำ ส่วนองค์ชายรองก็จะเชิญนางไปร่วมชมจันทร์ทันทีที่นึกถึงองค์ชายทั้งสองผู้ใช้ร่างกายท่อนร่างแทนสมอง องค์หญิงผิงหยางก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย ทว่า เมื่อนางแสร้งส่งสัญญาณเป็นนัยว่าตนสนใจหยางเฉิน ก็สามารถปลุกเพลิงโทสะในตัวองค์ชายทั้งสองขึ้นมาได้สำเร็จหากกระตุ้นพวกเขาต่อไป ไม่แน่อาจทำให้พวกเขากำจัดหยางเฉินทิ้งก็ได้นับแต่โบราณมา ‘อุบายหญิงงาม’ ก็เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ร้อยครั้งสัมฤทธิ์ผลร้อยครา องค์หญิงผิงหยางใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ องค์ชายทั้งสองย่อมติดกับเป็นธรรมดาในความเป็นจริงแล้ว เพื่อต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ องค์ชายทั้งสองก็มีความคิดจะสังหารหยางเฉินมานานแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ส่งคนไปลอบโจมตีเรือนรับรองทิงเฟิงครั้งนี้ องค์หญิงผิงหยางแค่กระตุ้นพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็พลันเกิดจิตสังหารต่อหยางเฉินแล้ว

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status