Share

บทที่ 3

Author: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
หยางเฉินโอรสผู้เปี่ยมพรสวรรค์องค์นี้ เป็นความภาคภูมิใจของฮ่องเต้อู่เต๋อมาโดยตลอด และพระองค์ก็ทรงเลี้ยงดูเขาในฐานะผู้สืบทอดบัลลังก์มาโดยตลอด

แน่นอนว่า สิ่งนี้ก็ได้บ่มเพาะนิสัยอันยโสโอหัง มองใต้หล้าด้วยสายตาเหยียดหยาม และไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของหยางเฉินขึ้นมา

ดั่งคำกล่าวที่ว่า ไม้ที่สูงเด่นในป่า ย่อมถูกลมโค่นก่อนเสมอ!

ก็เป็นเพราะหยางเฉินเก่งกาจโดดเด่นเกินไป จึงได้นำภัยพิบัติถึงฆาตมาสู่ตน!

เจ้าเด็กนี่ถึงกับกล้าเอ่ยคำพูดที่อกตัญญูทรยศอย่างการก่อกบฏออกมา หากเป็นองค์ชายองค์อื่น ฮ่องเต้อู่เต๋อคงสั่งลากตัวไปตัดหัวนานแล้ว

“เจ้าลูกอกตัญญู หากไม่ใช่เพราะเจ้าบาดเจ็บอยู่ เราคงจะสังหารเจ้าด้วยฝ่ามือเดียวไปแล้ว! เรื่องที่เราพูดกับเจ้า เจ้าจงกลับไปคิดทบทวนให้ดี ๆ ...” ฮ่องเต้อู่เต๋อสะบัดแขนเสื้ออย่างฉุนเฉียวและจากไป

“อั่ก...” หยางเฉินกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ดวงตาฉายแววสังหารอันเย็นเยียบ

เรื่องที่องค์ชายเจ็ดทำร้ายเขา ในเมื่อเสด็จพ่อทรงทราบแล้วแต่กลับไม่ได้ลงโทษเจ้าเจ็ด นั่นก็หมายความว่าสถานะของเขาในใจของเสด็จพ่อได้ตกต่ำลงอย่างฮวบฮาบแล้ว

ในเมื่อเสด็จพ่อไม่เต็มใจจะช่วยเขาแก้แค้น เช่นนั้นก็มีแต่ต้องลงมือด้วยตนเองแล้ว

หยางเฉินมีประสบการณ์มาถึงสองชาติภพ แม้จะไม่มีวรยุทธ์ แต่เขาก็ยังสามารถใช้กลอุบายสังหารศัตรูได้

ในฐานะองค์รัชทายาท ทรัพย์สมบัติของเขานับว่ามากมายมหาศาล ต่อให้ต้องใช้เงินทุ่ม ก็ต้องทุ่มจนทำให้องค์ชายเจ็ดสารเลวนั่นตายให้ได้

ดังนั้น หลังจากฮ่องเต้อู่เต๋อเสด็จจากไป หยางเฉินจึงสั่งให้หว่านเอ๋อร์และแม่ทัพไป๋นำของมีค่าในจวนไปขาย เปลี่ยนเป็นเงินและทองคำแท้ทั้งหมด

ของขวัญที่เหล่าขุนนางมากมายเคยมอบให้ในอดีต รวมถึงรางวัลที่ฮ่องเต้อู่เต๋อพระราชทานให้หลังจากสร้างคุณงามความดี นอกจากทรัพย์สินเงินทองแก้วแหวนอัญมณีแล้ว ก็ยังมีโบราณวัตถุล้ำค่า ภาพวาดอักษร ไข่มุก และหยกอีกจำนวนหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมีที่ดินและทรัพย์สินส่วนตัวอีกบางส่วน หยางเฉินก็เตรียมที่จะขายทั้งหมด เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินและทองคำแท้ที่มีมูลค่ามากกว่า

“องค์รัชทายาท นี่คือเซวี่ยหลิงหลงที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ จะให้ขายด้วยหรือไม่เพคะ?” หว่านเอ๋อร์นำกล่องใบเล็กใบหนึ่งมาให้เขา

หยางเฉินเปิดกล่องออก มองดูหยกสีแดงฉานราวกับโลหิตชิ้นนั้น ก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือสิ่งที่เขาได้รับหลังจากที่เขาได้รับชัยชนะในศึกที่ภูเขาหมาง เสด็จพ่อได้อนุญาตให้เขาเข้าไปเลือกของขวัญในคลังสมบัติหลวงได้ด้วยตนเอง และเขาก็ได้เลือกเซวี่ยหลิงหลงชิ้นนี้

“เฉินเอ๋อร์ นี่คือคลังสมบัติของราชวงศ์ ข้างในมีของล้ำค่ามากมาย เจ้าชอบสิ่งใดก็จงหยิบไป”

“เสด็จพ่อ ท่านพูดแล้วต้องรักษาสัจจะนะพ่ะย่ะค่ะ อย่าให้ถึงตอนที่ลูกเลือกแล้ว ท่านกลับมาเสียดายทีหลังล่ะ”

“เราเป็นฮ่องเต้เชียวนะ วาจาคือประกาศิต หนักแน่นดั่งทองพันชั่ง!”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นลูก... ลูกขอหยกโลหิตชิ้นนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”

“หยกโลหิตหรือ?” ฮ่องเต้อู่เต๋อทอดพระเนตรแล้วทรงพระสรวลพร้อมกับอธิบาย “นั่นมิใช่หยกโลหิตธรรมดา สิ่งนั้นเรียกว่าเซวี่ยหลิงหลง เป็นสมบัติที่บรรพชนทิ้งไว้ ในเมื่อเจ้าชอบ ก็จงรับไปเถิด”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” หยางเฉินดีใจอย่างยิ่ง

หว่านเอ๋อร์เห็นเขาตกอยู่ในภวังค์ความคิด ก็ค่อย ๆ ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ

ในตอนนั้น หยางเฉินขยายดินแดนให้อาณาจักร ยึดครองแผ่นดินมาได้มากมาย เสด็จพ่อก็ทรงโปรดปรานเขาอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่า บัดนี้เสด็จพ่อกลับไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้ ต้องการให้เขาสละตำแหน่งองค์รัชทายาท

ราชวงศ์ไร้ญาติขาดมิตร! ฮ่องเต้ไร้ซึ่งความรู้สึก!

พี่น้องร่วมสายเลือดต้องการจะสังหารเขาให้ตาย เสด็จพ่อก็บีบคั้นให้เขาสละบัลลังก์และแผ่นดิน

นับตั้งแต่ที่รู้ว่าตนเองสูญสิ้นวรยุทธ์ บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ที่ในยามปกติล้วนแต่แสดงความเคารพนบนอบต่อเขา เพียงเขาสั่งคำเดียวก็พร้อมขานรับ ต่างก็พากันตีตัวออกห่าง แม้แต่จะแวะมาเยี่ยมเยียนดูอาการตามมารยาท ก็ไม่มีผู้ใดเต็มใจจะทำ

เมื่อนึกถึงความรุ่งโรจน์ในวันวาน แล้วหันมามองประตูตำหนักที่เงียบเหงาในตอนนี้ จึงได้เข้าใจถึงความอบอุ่นและเย็นชาของใจคน และความผันผวนของโลกมนุษย์

“อั่ก...” หยางเฉินโกรธจนเลือดขึ้นหน้า กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

โลหิตสาดกระเซ็นไปถูกเซวี่ยหลิงหลงเข้าพอดี พลันเห็นหยกโลหิตสาดประกายแสงสีแดงออกมา จากนั้นลำแสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งวาบออกมา กลายเป็นกระแสไฟฟ้าสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในศีรษะของหยางเฉิน

อ๊าก!

หยางเฉินร้องลั่น ข้อมูลนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา พลันรู้สึกปวดศีรษะราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ

“ทายาทตระกูลหยาง ยินดีด้วยที่เจ้าเปิดเซวี่ยหลิงหลงได้ บัดนี้จงผ่อนคลายร่างกาย รับสืบทอดมรดกแห่งตระกูลหยางเสีย...”

“มรดกแห่งตระกูลหยางคือสิ่งที่ข้าผู้เป็นบรรพชนได้ผนึกไว้ในเซวี่ยหลิงหลง มันคือความรู้ทั้งหมดที่ข้าร่ำเรียนมาตลอดชีวิตและเคล็ดวิชาลับต่าง ๆ ที่ข้ารวบรวมไว้ มอบให้แก่ผู้มีวาสนาแห่งตระกูลหยาง...”

“หลังจากผู้สืบทอดแห่งตระกูลหยางได้รับมรดกของบรรพชนแล้ว จงจำไว้ว่าจะต้องปกป้องแผ่นดินของตระกูลหยาง พิทักษ์จักรวรรดิเฉียนอู่ หากจักรวรรดิล่มสลายไปแล้ว ก็จะต้องรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว ทวงคืนแผ่นดินกลับมาให้ได้...”

ข้อความเหล่านี้ดังก้องขึ้นในสมองของหยางเฉิน ทำให้เขาดีใจจนแทบคลั่ง

ฟังจากความหมายของประโยคเหล่านี้แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะได้ใช้โลหิตของตนเองคลายผนึกที่บรรพชนทิ้งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ และในไม่ช้าก็จะได้รับสืบทอดมรดกแห่งตระกูลหยาง

มรดกแห่งตระกูลหยางนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะบรรพชนตระกูลหยางกังวลว่าแผ่นดินของตระกูลหยางจะไม่มั่นคง จึงได้ผนึกความรู้ตลอดชีวิตและเคล็ดวิชาลับต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้ในเซวี่ยหลิงหลง จากนั้นก็ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่นในฐานะสมบัติของราชวงศ์

หากราชวงศ์ล่มสลาย สมบัติชิ้นนี้ก็อาจจะถูกเปิดออกด้วยโลหิตของคนตระกูลหยาง เมื่อได้รับมรดกของบรรพชนตระกูลหยางแล้ว ย่อมสามารถฟื้นฟูตระกูลหยางและสืบต่อราชบัลลังก์ของจักรวรรดิต่อไปได้อย่างแน่นอน

รอบกายของหยางเฉินปรากฏวงแสงสว่างวาบขึ้นทีละวง กระแสพลังอันอ่อนโยนนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง ในขณะเดียวกัน บาดแผลตามที่ต่าง ๆ บนร่างกายของเขาก็กำลังสมานตัวอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า...

ในขณะเดียวกัน ความทรงจำนับไม่ถ้วนก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา ถึงแม้สมองจะแทบระเบิด แต่สติกลับแจ่มชัดอย่างยิ่ง

ปัญหาในตอนนี้คือ เส้นลมปราณของเขาขาดสะบั้นไปหมดแล้ว ต่อให้มีเคล็ดวิชาคัมภีร์ลับมากมายเพียงใด ตอนนี้ก็ไม่สามารถฝึกฝนได้!

“สวรรค์ ท่านกำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือ?” หยางเฉินอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด มรดกทั้งหมดก็ได้ถูกประทับไว้ในสมองของเขาแล้ว ปริมาณความรู้มหาศาลทำให้หยางเฉินยากที่จะซึมซับได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ สุดท้ายตาทั้งสองข้างก็มืดลง จากนั้นสลบไป

...

แสงแรกของรุ่งอรุณ สาดส่องเข้ามาในตรอกซอกซอยของเมืองอู่ตี้

ในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิเฉียนอู่ นี่คือเมืองหลักที่มีประชากรนับสิบล้านคน และยังเป็นเมืองที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในทวีปเฉียนอู่ทั้งหมด

ส่วนที่อยู่ในสุดคือพระราชวัง มีทหารรักษาพระองค์สามพันนายรับผิดชอบดูแลป้องกัน ถัดออกมาคือองครักษ์เสื้อแพร มีจำนวนประมาณสองหมื่นนาย กองกำลังทั้งสองนี้ มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถสั่งการได้

ส่วนกองกำลังป้องกันเมืองที่อยู่ด้านนอก คือกำลังหลักในการป้องกันเมืองหลวง มีจำนวนประมาณหนึ่งแสนนาย สำหรับค่ายทหารกองหนุนของจักรวรรดินั้น ก็คือค่ายใหญ่หลีซานที่อยู่นอกเมืองฝั่งตะวันตก

หยางเฉินลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย ความทรงจำก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น เมื่อนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืน รอยยิ้มแห่งความโล่งใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ในมรดกที่บรรพชนตระกูลหยางทิ้งไว้ กลับมีเคล็ดวิชาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘เคล็ดวิชาชีพจรซ่อนเร้นสวรรค์’ ซึ่งจะค่อย ๆ ซ่อมแซมเส้นลมปราณที่เสียหายได้

เคล็ดวิชานี้แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ฝึกฝนคือชีพจรซ่อนเร้นในร่างกายมนุษย์

ที่แท้คนเราไม่ได้มีเพียงเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นเท่านั้น แต่ยังมีชีพจรซ่อนเร้นอีกสิบสองเส้น แม้ว่าตอนนี้เส้นลมปราณหลักของหยางเฉินจะขาดสะบั้นไปหมดแล้ว แต่ก็สามารถเริ่มฝึกฝนจากชีพจรซ่อนเร้นได้

เมื่อฝึกฝนจนชีพจรซ่อนเร้นทะลวงแล้ว เขาก็จะสามารถเชื่อมต่อเส้นลมปราณหลักและเส้นลมปราณพิเศษที่ขาดสะบั้นไปได้อีกครั้ง และในที่สุดก็จะฟื้นฟูพลังของตนเองกลับคืนมาได้

แน่นอนว่า การจะฝึกฝนชีพจรซ่อนเร้นนั้น ยากยิ่งกว่าการฝึกฝนเส้นลมปราณหลักและเส้นลมปราณพิเศษเสียอีก

ขณะที่หยางเฉินกำลังเตรียมจะเริ่มฝึกฝน แม่ทัพไป๋ก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้ามาในห้องของเขา

“องค์รัชทายาท แย่แล้ว! หว่านเอ๋อร์เกิดเรื่องแล้ว!”

หัวใจของหยางเฉินพลันหนักอึ้ง เขากระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่ทัพไป๋ อย่าเพิ่งร้อนใจ ค่อย ๆ พูด หว่านเอ๋อร์เป็นอะไรไป?”

“แม่นางหว่านเอ๋อร์นาง... นางถูกคนฆ่าตาย แล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่หน้าประตู” แม่ทัพไป๋ยังไม่ทันพูดจบ ก็น้ำตาคลอเบ้า

อะไรนะ? ถูกคนฆ่าตาย?

ในหัวของหยางเฉินพลันตื้อไปหมด ตามด้วยโทสะที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจากในใจ พุ่งปรี๊ดขึ้นสู่สมอง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 83

    ฉึบ!เสิ่นหนานซิงโดนเข้าอีกหนึ่งกระบี่ ครั้งนี้เป็นบริเวณต้นขา เลือดพุ่งออกมาในทันที หากเป็นคนทั่วไปต้องสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้วเป็นแน่ทว่า เจ้าหนุ่มนี่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างแม้แต่น้อย เขาพุ่งเข้าไปต่อสู้กับเผิงหู่อีกครั้งกล่าวตามตรง เผิงหู่ก็ถูกวิธีการต่อสู้แลกชีวิตของเจ้าเด็กนี่ทำเอาตกใจจนมือเท้าติดขัดแล้ว ทันทีที่ไม่ทันระวังก็ถูกฟันเข้าดาบหนึ่งดาบนี้เมื่อตวัดลงไป ก็กรีดแผ่นหลังของเผิงหู่เป็นแผลยาวสายหนึ่ง โลหิตเนืองนองยิ่งกว่า“เสิ่นหนานซิง พวกเราแค่ประลองยุทธ์กัน เหตุใดเจ้าจึงเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้เล่า!” เผิงหู่ร้องตะโกนเสียงดัง“การประลองก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบ แม้แต่พญาราชสีห์ยามสู้กับกระต่ายก็ยังต้องใช้สุดกำลัง หากข้าแม้แต่แลกชีวิตก็ยังไม่กล้า แล้วจะเข้าสู่สนามรบไปเอาชีวิตศัตรูได้อย่างไร?” เสิ่นหนานซิงตอบกลับอย่างเย็นชาก็เห็นเขาพุ่งเข้าหาเผิงหู่อีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำดั่งโลหิตคู่นั้น ฉายไอสังหารที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ทำเอาเผิงหู่หวาดหวั่นจนถอยหลังติดต่อกันเผิงหู่ที่พลังใจตกเป็นรอง สุดท้ายก็ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงเวทีประลอง ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 82

    เมื่อเสิ่นหนานซิงเห็นกระบอกเขี้ยวหมาป่าเพิ่มความเร็วขึ้น คล้ายกับคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วก็ไม่ปาน เขากระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนด้ามยาวของกระบองเขี้ยวหมาป่า หยิบยืมกำลังกระโจนเข้าหาเฟิงปู้ผิงเคร้งเคร้งเคร้ง…เสียงอาวุธกระทบกันดังต่อเนื่องไม่หยุด ทำเอาคนทั้งหลายชมดูไม่ทันจนตาลายท่ามกลางการปะทะกันอย่างแข็งกร้าวนั่นเอง อาวุธหนักอย่างกระบองเขี้ยวหมาป่าก็ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงจากเวทีประลองไปในเท้าเดียวป๊าบป๊าบป๊าบ…เสียงปรบมือดังกระหึ่มอย่างกึกก้องหยางจิ่นอวี๋เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นอย่างไร?”“เห็นว่าเขาอายุยังน้อย เป็นผู้มีพรสวรรค์ให้ส่งเสริมได้ก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ข้าต้องการ” หยางเฉินส่ายหัวอย่างไม่สนใจนัก“เหตุใดกันเล่า? ตอนนี้เขาอายุยังน้อย แค่สิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น โอกาสในการพัฒนาต่อยังมีอีกมาก ขอเพียงเจ้ามอบให้ทรัพยากรให้เขาเล็กน้อย จะฟูมฟักถึงระดับเก้าก็ไม่น่ามีปัญหาอันใด” หยางจิ่นอวี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“เฟิงปู้ผิงประลองมาแล้วหลายสนาม สูญเสียกำลังภายในไปมาก หากเป็นยามปกติ เสิ่นหนานซิงย่อมไม่อ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 81

    เมื่อเฟิงปู้ผิงเห็นว่าดาบคู่ของอีกฝ่ายเป็นอาวุธเบา ก็ฟาดกระบองลงไปอย่างแรงทันที คิดจะกระแทกเขาให้ตกเวทีไปในกระบวนท่าเดียวทว่าเสิ่นหนานซิงคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างมาก เขากลิ้งตัวไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว ดาบคู่ฟันใส่ขาทั้งสองข้างของเฟิงปู้ผิงเฟิงปู้ผิงย่อมไม่ให้เขาได้สมหวัง เขาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรั้งกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือกลับมาฝืนสกัดแนวโจมตีของดาบคู่น่าเสียดายที่ดาบคู่ของเสิ่นหนานซิงได้พุ่งมาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว พร้อมกับการโจมตีราวพายุฝนโหมกระหน่ำเคร้งเคร้งเคร้ง…ดาบคู่สลับฟันเข้ามาจนเฟิงปู้ผิงร่นถอยติดต่อกัน และเป็นเพราะดาบคู่จู่โจมช่วงล่าง ทำให้เฟิงปู้ผิงสูญเสียสมดุลไปอย่างสิ้นเชิง และต้องถอยร่นอย่างเร่งร้อนอยู่หลายครั้งเมื่อหยางเฉินเห็นการจู่โจมของเขา ก็อดเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมาไม่ได้ยาวขึ้นหนึ่งนิ้วก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งขั้น!กระบอกเขี้ยวหมาป่าจัดเป็นอาวุธหนัก ต้องใช้กระบวนท่ารุกถอยอย่างต่อเนื่องโจมตีอย่างลื่นไหล และทุกกระบวนท่าล้วนดุดันทรงพลังแต่ดาบคู่จัดอยู่ในประเภทอาวุธเบา และจำเป็นต้องต่อสู้ในระยะประชิดจึงจะสำแดงพลังของดาบคู่ออกมาได้ ที่เสิ่นหนานซิงเข้าประชิ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 80

    การประลองยุทธ์บนเวทีประลองเช่นนี้ อันแรกต้องมีเจ้าแห่งเวทีประลอง คนที่มาทีหลังจะต้องท้าประลองกับเจ้าแห่งเวทีประลอง จนกว่าจะไม่มีคนขึ้นมาท้าประลองบนเวที ก็จะได้เป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของค่ำคืนนี้โดยทั่วไปแล้ว ทุกสัปดาห์จะจัดการประลองเช่นนี้หนึ่งครั้ง ทันทีที่องค์หญิงใหญ่พอใจ ก็จะแนะนำให้เข้ารับตำแหน่งในกองทัพ หรือแนะนำให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นก็จะได้เดินไปสู่ชีวิตที่รุ่งโรจน์ทันทีที่สาวใช้พูดจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เหาะขึ้นมาบนเวที กล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยอวี๋จื่อเชิงจากอำเภอหลินอู่ ยินดีเป็นเจ้าแห่งเวทีประลอง เพื่อรับการท้าประลองจากวีรบุรุษทุกท่าน”คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ ในมือถือดาบขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเชี่ยวชาญวิชาดาบ“ในเมื่อมีเจ้าแห่งเวทีประลอง ตอนนี้ขอเชิญวีรบุรุษทุกท่านขึ้นเวทีเพื่อท้าประลอง หากสุดท้ายสามารถเป็นเจ้าแห่งเวทีประลองคนสุดท้ายได้ ตามกฎ องค์หญิงใหญ่จะเสนอแนะบุคคลผู้นั้น” สาวใช้กล่าวเสียงดังเมื่อได้ยินว่าผู้ชนะจะได้รับการเสนอแนะจากองค์หญิงใหญ่ หนุ่มน้อยรูปร่างผอมโซคนหนึ่ง ถือหอกยาว ก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีทันที“ข้าน้อยเผิงจื้อหย่ง มาเพื่อท้าประลอง!” หนุ่มน้อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 79

    “เช่นนั้นเซวียกุ้ยเฟยส่งคนมาเป็นแม่สื่อให้แก่องค์ชายรอง เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง?” หยางจิ่นอวี๋ถามพร้อมอมยิ้ม“องค์หญิงใหญ่ ข้าไม่รู้จริง ๆ หรือ? แต่ว่า องค์ชายรองมีพระชายาตั้งนานแล้ว ท่านพ่อตงจะไม่ยอมให้แต่งเข้าไปเป็นอนุหรอกเจ้าค่ะ” ซ่างกวนซืออินพูดจบ แก้มก็เป็นสีแดงก่ำ เขินอายจนไม่กล้าสบตา“เอาล่ะ ข้าเพียงแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น หากเจ้าแต่งงานกับองค์รัชทายาท เช่นนั้นข้าก็จะเป็นท่านน้าของเจ้าอย่างชอบธรรมแล้ว” หยางจิ่นอวี๋หัวเราะอย่างมีเลศนัย“ได้ข่าวว่านับตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทกลับมาจากศึกเขาซือถัว ก็สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้น ทั้งขาข้างหนึ่งยังพิการอีกด้วย ท่านพ่อคงไม่มีทางให้ข้าแต่งเข้าไปเป็นแน่” ซ่างกวนซืออินวิเคราะห์ได้อย่างสมเหตุสมผล“สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นอะไรนี่นา! ก็เหมือนกับเจ้า เจ้าก็ไม่เป็นวรยุทธ์เช่นกันมิใช่หรือ? แต่ บทกวี คำกลอน และบทประพันธ์ของเจ้า มีด้านใดที่ด้อยไปกว่าชายชาตรีบ้างเล่า?” หยางจิ่นอวี๋หยิบยกนางขึ้นมาเปรียบเทียบ“ข้าไม่เหมือนเขา ข้าเป็นสตรีที่อ่อนแอ หากเขาอ่อนแอเกินไปละก็ ต่อไปจะปกครองบ้านเมืองอย่างไรล่ะเจ้าคะ?” ซ่างกวนซืออินไม่ค่อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 78

    ในฐานะที่เป็นน้องสาวของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่มีทรัพยากรมากมายในมือ เพียงแต่นางอายุสามสิบกว่าปีแล้ว จึงไม่คิดที่จะแต่งงานมาโดยตลอด ทำให้ผู้คนยากจะคาดเดาความคิดในใจของนางได้หยางเฉินไม่อยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของท่านน้า ที่เขามาในครั้งนี้ก็เพราะต้องการมาคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนา ร่างงดงามร่างหนึ่งเดินย่างกรายเข้ามาที่ประตูใหญ่ของหอถงเหวิน ดึงดูดสายตาของชายหนุ่มนับไม่ถ้วนทันทีหญิงงามคนหนึ่งในชุดสีเขียวบาง สวมผ้าคลุมหน้า แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่ ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้น กลับส่องประกายใสกระจ่าง ดุจดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้ารูปร่างอันน่าประทับใจ สมส่วน เรือนร่างที่ได้สัดส่วนทองคำ ผมยาวสลวยพอดีเอว ปอยผมหลายเส้นพลิ้วไหวตามการก้าวเดิน“แม่นางซ่างกวนมาแล้ว! แม่นางซ่างกวนมาแล้ว...” ภายในห้องโถงมีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้นเมื่อหยางเฉินได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย หันศีรษะมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “ท่านน้า ท่านนี้คงจะไม่ใช่คุณหนูแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดีใช่หรือไม่?”“ถูกต้อง นางก็คือซ่างกวนซืออิน แล้วก็เป็นแขกประจำของหอถงเหวินของเรา อีก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status