Share

บทที่ 5

Author: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
หยางเฉินทำศึกสงครามมานานหลายปี ทุกครั้งล้วนรอบคอบระมัดระวัง การถูกซุ่มโจมตีที่เขาซือถัวในครั้งนี้ ทำให้เขาสงสัยว่าตนเองถูกหักหลัง

เมื่อพิจารณาจากการเดินทัพและการจัดทัพของเขา เขาได้หารือแผนการรบนี้กับเสด็จพ่อและแม่ทัพใหญ่แห่งกรมกลาโหมหนานกงอู๋ตี๋เพียงสองคนเท่านั้น หรือว่าแผนการรบจะรั่วไหลออกไป?

เสด็จพ่อไม่มีทางหักหลังตนเอง หนานกงอู๋ตี๋ในฐานะแม่ทัพใหญ่ของจักรวรรดิ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะคบคิดกับศัตรูเพื่อทรยศชาติ

หรือว่าเป็นเพราะในกองทัพของตนเองมีไส้ศึกของศัตรูแฝงตัวอยู่ และได้ส่งแผนการเดินทัพของตนออกไป?

ในใจของหยางเฉินเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อย ทำได้เพียงลอบสืบสวนจากแต่ละด้านไปก่อน ดูว่าจะสามารถหาเบาะแสอะไรได้บ้างหรือไม่?

ทว่า สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ย่อมเป็นการฟื้นฟูพลังของตนเอง และสร้างกองกำลังใหม่ของตนขึ้นมา จึงจะสามารถรักษาตำแหน่งองค์รัชทายาทของตนไว้ได้

“แม่ทัพไป๋ เจ้าไปจัดการเรื่องหนึ่ง...” หยางเฉินส่งสัญญาณให้นาง แม่ทัพหญิงจึงขยับเข้าไปใกล้

ไป๋หานอีพยักหน้ารับเล็กน้อย รับคำสั่งแล้วจากไป

หยางเฉินมองร่างของหว่านเอ๋อร์ที่อยู่บนพื้น ในสมองหวนนึกถึงภาพเมื่อวานที่นางพุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อปกป้องตนเอง น้ำตาก็ไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป ไหลรินลงมาเป็นสาย

“หว่านเอ๋อร์ เป็นข้าที่ไร้ความสามารถ ปกป้องเจ้าไว้ไม่ได้ ข้าขอสาบานว่าจะต้องแก้แค้นให้เจ้าให้ได้!” หยางเฉินแอบสาบานในใจ

นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ย่อตัวคารวะแล้วกล่าวว่า “ทูลองค์รัชทายาท ท่านอัครมหาเสนาบดีขอเข้าพบเพคะ!”

“ให้เขาเข้ามา” หยางเฉินตอบรับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

นางกำนัลถอยออกไป ย่อตัวคารวะท่านอัครมหาเสนาบดีที่อยู่ด้านนอกแล้วกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี องค์รัชทายาทอนุญาตให้เข้าพบเพคะ!”

ซ่างกวนหลินในฐานะอัครมหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิเฉียนอู่ ผู้นำของขุนนางทั้งปวง ซึ่งเป็นรองเพียงฮ่องเต้แต่อยู่เหนือคนนับหมื่นอย่างแท้จริง และยังเป็นดั่งเข็มทิศชี้ทิศทางลมของราชสำนักทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ เขาก็ค่อนข้างชื่นชมหยางเฉิน ทว่า ตั้งแต่องค์รัชทายาทสูญสิ้นวรยุทธ์ไป อัครมหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิผู้นี้ ก็ย่อมบังเกิดความคิดที่ไม่ดีขึ้นมา

องค์ชายใหญ่เป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮา ด้วยเหตุนี้ ฮองเฮาจึงต้องการที่จะดึงเขามาเป็นพวก เพื่อช่วยให้องค์ชายใหญ่ชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทมาให้ได้

แน่นอนว่า เซวียกุ้ยเฟยก็ไม่ใช่คนโง่ จึงขอเจรจากับเขาเช่นกัน ต้องการได้รับการสนับสนุนจากเขา และยังเตรียมที่จะให้องค์ชายรองหยางคุนสมรสกับคุณหนูแห่งจวนอัครมหาเสนาบดีตระกูลซ่างกวน

ซ่างกวนหลินผู้เป็นดั่งสุนัขจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ กลับยังคงรักษาท่าทีอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด เพราะเขาต้องการที่จะมีความคิดเห็นสอดคล้องกับองค์ฮ่องเต้ ตราบใดที่ฮ่องเต้อู่เต๋อยังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทองค์ใหม่ เขาก็ย่อมไม่อาจแสดงท่าทีเร็วเกินไปได้

วันนี้ที่เขามาเข้าพบองค์รัชทายาท ก็ย่อมต้องการที่จะมาดูว่าองค์รัชทายาทผู้นี้ หลังจากสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว มีสภาพเป็นเช่นไร?

“กระหม่อมถวายบังคมองค์รัชทายาท!” ซ่างกวนหลินคุกเข่าลงกับพื้น แสดงความเคารพอย่างสูงสุด

หยางเฉินซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ปรือตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้สั่งให้เขาลุกขึ้น เพียงแค่โบกมือให้คนอื่น ๆ เป็นสัญญาณให้นำร่างของหว่านเอ๋อร์ออกไป

เมื่อในโถงใหญ่เหลือเพียงสองคน หยางเฉินจึงเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย “ท่านอัครมหาเสนาบดี ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท! กระหม่อมงานราชการรัดตัว ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนองค์รัชทายาท โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ซ่างกวนหลินกล่าวเสียงดัง

“ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่ามกลางภารกิจมากมายยังมาเยี่ยมข้า จะมีความผิดได้อย่างไร?” น้ำเสียงของหยางเฉินเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง

“องค์รัชทายาท ได้ยินมาว่าท่านสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ซ่างกวนหลินเอ่ยถามหยั่งเชิง

“ย่อมเป็นความจริง” หยางเฉินมองเขา ต้องการที่จะได้รับข้อมูลจากแววตาของเขาให้ได้มากขึ้น

หยางเฉินคาดเดาจุดประสงค์ในการมาของตาเฒ่าผู้นี้ได้ คงจะมาเพื่อยืนยันสภาพของตนเองอีกครั้ง แล้วดูท่าทีของตนว่าจะยอมสละตำแหน่งองค์รัชทายาทไปเองหรือไม่?

“ไม่มีทางฟื้นฟูได้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ? ด้วยวิชาแพทย์ของหมอหลวงเวินจากสำนักแพทย์หลวงแล้ว คิดว่าการฟื้นฟูไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่กระมัง?” ซ่างกวนหลินหลบสายตาของหยางเฉิน

“หมอหลวงเวินมาดูอาการแล้ว เส้นลมปราณขาดสะบั้น กระดูกขาแตกละเอียด ในอนาคตจะลุกขึ้นยืนได้หรือไม่ยังยากจะกล่าว” หยางเฉินกล่าวตามความจริง ไม่ได้ปิดบัง

“สาหัสถึงเพียงนั้นเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?” สีหน้าของซ่างกวนหลินเปลี่ยนไปอย่างมาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูราวกับเป็นห่วงหยางเฉินอย่างยิ่ง

“ใช่แล้ว ในสภาพเช่นนี้ของข้า ท่านอัครมหาเสนาบดีคิดว่าข้าควรทำเช่นไร?” หยางเฉินจงใจโยนคำถามกลับไปให้เขา

“พระประสงค์ของฝ่าบาท คิดว่าองค์รัชทายาทย่อมทราบดีอยู่แล้ว ทว่า กระหม่อมกลับไม่เห็นด้วย กระหม่อมคิดว่าองค์รัชทายาทในฐานะองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิ การมีวรยุทธ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะการปกครองแผ่นดิน สิ่งที่ต้องใช้คือการปกครองด้วยคุณธรรม ไม่ใช่การเอาแต่สู้รบฆ่าฟันกัน!” ซ่างกวนหลินตอบเสียงดัง

“โอ้ ความหมายของท่านคือให้ข้าเป็นองค์รัชทายาทต่อไปหรือ?” หยางเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“กระหม่อมจะสนับสนุนองค์รัชทายาทอย่างสุดกำลังพ่ะย่ะค่ะ” ซ่างกวนหลินตอบเสียงดัง

หยางเฉินคาดไม่ถึงว่าสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ จะยังกล้าที่จะสนับสนุนตนเอง ทว่า ข่าวลือที่ตนได้ยินมานั้น ดูเหมือนว่าท่านอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ เตรียมที่จะเปลี่ยนไปเข้าพวกกับองค์ชายองค์อื่นแล้ว

นับตั้งแต่ที่เขาบาดเจ็บสาหัส ราชสำนักก็สั่นคลอนไม่สงบ ขุนนางทุกคนต่างก็หวังที่จะเปลี่ยนไปรับใช้นายที่ดี ส่วนในวังหลัง ก็เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ทุกย่างก้าวล้วนแต่มีจิตสังหารซ่อนเร้น

หยางเฉินจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ต้องการที่จะดูให้ออกว่าในใจของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?

ทว่า บนใบหน้าของซ่างกวนหลินกลับไม่มีความรู้สึกใด ๆ ปรากฏออกมา แม้แต่เปลือกตาก็ไม่กะพริบ

“ท่านอัครมหาเสนาบดี วันนี้ท่านคงไม่ได้มาเพียงเพื่อแสดงความจงรักภักดีกระมัง?” หยางเฉินเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

“องค์รัชทายาท ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะมีพระประสงค์ที่จะแต่งตั้งองค์รัชทายาทองค์ใหม่ ไม่ทราบว่าก้าวต่อไปท่านมีแผนการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” ซ่างกวนหลินถามอย่างตรงไปตรงมา

“เหอะ ๆ ๆ ... ท่านอัครมหาเสนาบดี แผ่นดินของข้า ข้าเป็นผู้ครอง! ผู้ใดกล้าแตะต้องแผ่นดินของข้า ข้าจะกำจัดมันผู้นั้นเสีย!” หยางเฉินกล่าวพร้อมแค่นเสียงเย็น

ดวงตาของซ่างกวนหลินเป็นประกาย สายตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยแวบหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมาเสียงดังพลางเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาททรงมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก! กระหม่อมนับถืออย่างสุดซึ้ง!”

สายตาของหยางเฉินจับจ้องอยู่ที่เขาตลอดเวลา ก็เพื่อต้องการที่จะดูปฏิกิริยาของเขา แต่สุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้กลับนิ่งเฉยไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา ทำให้ไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของเขาได้เลย

ในอดีตหยางเฉินมีวรยุทธ์สูงส่ง ใต้บังคับบัญชามีขุนพลผู้กล้าแกร่ง ฮ่องเต้อู่เต๋อก็ทรงโปรดปรานอย่างยิ่ง ท่านอัครมหาเสนาบดีย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา

ทว่า หยางเฉินสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่า วันนี้สุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ไม่ได้มาเพื่อแสดงความห่วงใยตนเองอย่างแน่นอน แต่มาเพื่อหยั่งเชิงท่าทีของเขาต่างหาก

ส่วนที่หยางเฉินบอกเขาไปว่า ตนเองยังคงมีความทะเยอทะยานที่จะชิงความเป็นใหญ่ในใต้หล้า ก็เพื่อต้องการให้เขามีความเกรงใจ โดยเฉพาะประโยคที่ว่าจะกำจัดมันผู้นั้น ก็ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนซ่างกวนหลิน

“ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านทำภารกิจที่ฝ่าบาทมอบหมายให้ไม่สำเร็จ ท่านจะกลับไปทูลรายงานอย่างไร?” หยางเฉินเอ่ยถามพลางยิ้มเล็กน้อย

“ไม่ขอปิดบังองค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงให้กระหม่อมมาเกลี้ยกล่อมท่านจริง ๆ แต่ว่า กระหม่อมเป็นเพียงขุนนาง เป็นขุนนางของตระกูลหยาง เรื่องความเหมาะสมนี้ กระหม่อมยังพอรู้พ่ะย่ะค่ะ” ซ่างกวนหลินเลี่ยงหนักเอาเบา ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดปิดบังแม้แต่น้อย

“หากฝ่าบาทต้องการที่จะปลดข้าออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท ข้าย่อมไม่มีทางขัดขืนได้ ไม่ทราบว่าท่านพอจะมีข้อเสนอแนะที่ดี ๆ บ้างหรือไม่?” หยางเฉินหยิบยกปัญหาที่ยากที่สุดขึ้นมา

ไม่ว่าหยางเฉินจะเก่งกาจเพียงใด เขาก็ยังคงเป็นเพียงองค์รัชทายาท หากฮ่องเต้อู่เต๋อทรงตัดสินพระทัยอย่างแน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนองค์รัชทายาทจริง ๆ นอกจากก่อกบฏแล้ว หยางเฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่น

แน่นอนว่า หากสามารถทำให้ฝ่าบาททรงล้มเลิกความคิดนี้ได้ เขาก็จะปลอดภัยไปชั่วคราว

ตราบใดที่ยังเป็นองค์รัชทายาท ก็ยังคงมีอำนาจ และมีความสามารถมากพอที่จะต่อกรกับองค์ชายองค์อื่น ๆ ได้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 83

    ฉึบ!เสิ่นหนานซิงโดนเข้าอีกหนึ่งกระบี่ ครั้งนี้เป็นบริเวณต้นขา เลือดพุ่งออกมาในทันที หากเป็นคนทั่วไปต้องสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้วเป็นแน่ทว่า เจ้าหนุ่มนี่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างแม้แต่น้อย เขาพุ่งเข้าไปต่อสู้กับเผิงหู่อีกครั้งกล่าวตามตรง เผิงหู่ก็ถูกวิธีการต่อสู้แลกชีวิตของเจ้าเด็กนี่ทำเอาตกใจจนมือเท้าติดขัดแล้ว ทันทีที่ไม่ทันระวังก็ถูกฟันเข้าดาบหนึ่งดาบนี้เมื่อตวัดลงไป ก็กรีดแผ่นหลังของเผิงหู่เป็นแผลยาวสายหนึ่ง โลหิตเนืองนองยิ่งกว่า“เสิ่นหนานซิง พวกเราแค่ประลองยุทธ์กัน เหตุใดเจ้าจึงเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้เล่า!” เผิงหู่ร้องตะโกนเสียงดัง“การประลองก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบ แม้แต่พญาราชสีห์ยามสู้กับกระต่ายก็ยังต้องใช้สุดกำลัง หากข้าแม้แต่แลกชีวิตก็ยังไม่กล้า แล้วจะเข้าสู่สนามรบไปเอาชีวิตศัตรูได้อย่างไร?” เสิ่นหนานซิงตอบกลับอย่างเย็นชาก็เห็นเขาพุ่งเข้าหาเผิงหู่อีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำดั่งโลหิตคู่นั้น ฉายไอสังหารที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ทำเอาเผิงหู่หวาดหวั่นจนถอยหลังติดต่อกันเผิงหู่ที่พลังใจตกเป็นรอง สุดท้ายก็ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงเวทีประลอง ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 82

    เมื่อเสิ่นหนานซิงเห็นกระบอกเขี้ยวหมาป่าเพิ่มความเร็วขึ้น คล้ายกับคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วก็ไม่ปาน เขากระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนด้ามยาวของกระบองเขี้ยวหมาป่า หยิบยืมกำลังกระโจนเข้าหาเฟิงปู้ผิงเคร้งเคร้งเคร้ง…เสียงอาวุธกระทบกันดังต่อเนื่องไม่หยุด ทำเอาคนทั้งหลายชมดูไม่ทันจนตาลายท่ามกลางการปะทะกันอย่างแข็งกร้าวนั่นเอง อาวุธหนักอย่างกระบองเขี้ยวหมาป่าก็ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงจากเวทีประลองไปในเท้าเดียวป๊าบป๊าบป๊าบ…เสียงปรบมือดังกระหึ่มอย่างกึกก้องหยางจิ่นอวี๋เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นอย่างไร?”“เห็นว่าเขาอายุยังน้อย เป็นผู้มีพรสวรรค์ให้ส่งเสริมได้ก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ข้าต้องการ” หยางเฉินส่ายหัวอย่างไม่สนใจนัก“เหตุใดกันเล่า? ตอนนี้เขาอายุยังน้อย แค่สิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น โอกาสในการพัฒนาต่อยังมีอีกมาก ขอเพียงเจ้ามอบให้ทรัพยากรให้เขาเล็กน้อย จะฟูมฟักถึงระดับเก้าก็ไม่น่ามีปัญหาอันใด” หยางจิ่นอวี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“เฟิงปู้ผิงประลองมาแล้วหลายสนาม สูญเสียกำลังภายในไปมาก หากเป็นยามปกติ เสิ่นหนานซิงย่อมไม่อ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 81

    เมื่อเฟิงปู้ผิงเห็นว่าดาบคู่ของอีกฝ่ายเป็นอาวุธเบา ก็ฟาดกระบองลงไปอย่างแรงทันที คิดจะกระแทกเขาให้ตกเวทีไปในกระบวนท่าเดียวทว่าเสิ่นหนานซิงคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างมาก เขากลิ้งตัวไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว ดาบคู่ฟันใส่ขาทั้งสองข้างของเฟิงปู้ผิงเฟิงปู้ผิงย่อมไม่ให้เขาได้สมหวัง เขาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรั้งกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือกลับมาฝืนสกัดแนวโจมตีของดาบคู่น่าเสียดายที่ดาบคู่ของเสิ่นหนานซิงได้พุ่งมาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว พร้อมกับการโจมตีราวพายุฝนโหมกระหน่ำเคร้งเคร้งเคร้ง…ดาบคู่สลับฟันเข้ามาจนเฟิงปู้ผิงร่นถอยติดต่อกัน และเป็นเพราะดาบคู่จู่โจมช่วงล่าง ทำให้เฟิงปู้ผิงสูญเสียสมดุลไปอย่างสิ้นเชิง และต้องถอยร่นอย่างเร่งร้อนอยู่หลายครั้งเมื่อหยางเฉินเห็นการจู่โจมของเขา ก็อดเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมาไม่ได้ยาวขึ้นหนึ่งนิ้วก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งขั้น!กระบอกเขี้ยวหมาป่าจัดเป็นอาวุธหนัก ต้องใช้กระบวนท่ารุกถอยอย่างต่อเนื่องโจมตีอย่างลื่นไหล และทุกกระบวนท่าล้วนดุดันทรงพลังแต่ดาบคู่จัดอยู่ในประเภทอาวุธเบา และจำเป็นต้องต่อสู้ในระยะประชิดจึงจะสำแดงพลังของดาบคู่ออกมาได้ ที่เสิ่นหนานซิงเข้าประชิ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 80

    การประลองยุทธ์บนเวทีประลองเช่นนี้ อันแรกต้องมีเจ้าแห่งเวทีประลอง คนที่มาทีหลังจะต้องท้าประลองกับเจ้าแห่งเวทีประลอง จนกว่าจะไม่มีคนขึ้นมาท้าประลองบนเวที ก็จะได้เป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของค่ำคืนนี้โดยทั่วไปแล้ว ทุกสัปดาห์จะจัดการประลองเช่นนี้หนึ่งครั้ง ทันทีที่องค์หญิงใหญ่พอใจ ก็จะแนะนำให้เข้ารับตำแหน่งในกองทัพ หรือแนะนำให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นก็จะได้เดินไปสู่ชีวิตที่รุ่งโรจน์ทันทีที่สาวใช้พูดจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เหาะขึ้นมาบนเวที กล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยอวี๋จื่อเชิงจากอำเภอหลินอู่ ยินดีเป็นเจ้าแห่งเวทีประลอง เพื่อรับการท้าประลองจากวีรบุรุษทุกท่าน”คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ ในมือถือดาบขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเชี่ยวชาญวิชาดาบ“ในเมื่อมีเจ้าแห่งเวทีประลอง ตอนนี้ขอเชิญวีรบุรุษทุกท่านขึ้นเวทีเพื่อท้าประลอง หากสุดท้ายสามารถเป็นเจ้าแห่งเวทีประลองคนสุดท้ายได้ ตามกฎ องค์หญิงใหญ่จะเสนอแนะบุคคลผู้นั้น” สาวใช้กล่าวเสียงดังเมื่อได้ยินว่าผู้ชนะจะได้รับการเสนอแนะจากองค์หญิงใหญ่ หนุ่มน้อยรูปร่างผอมโซคนหนึ่ง ถือหอกยาว ก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีทันที“ข้าน้อยเผิงจื้อหย่ง มาเพื่อท้าประลอง!” หนุ่มน้อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 79

    “เช่นนั้นเซวียกุ้ยเฟยส่งคนมาเป็นแม่สื่อให้แก่องค์ชายรอง เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง?” หยางจิ่นอวี๋ถามพร้อมอมยิ้ม“องค์หญิงใหญ่ ข้าไม่รู้จริง ๆ หรือ? แต่ว่า องค์ชายรองมีพระชายาตั้งนานแล้ว ท่านพ่อตงจะไม่ยอมให้แต่งเข้าไปเป็นอนุหรอกเจ้าค่ะ” ซ่างกวนซืออินพูดจบ แก้มก็เป็นสีแดงก่ำ เขินอายจนไม่กล้าสบตา“เอาล่ะ ข้าเพียงแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น หากเจ้าแต่งงานกับองค์รัชทายาท เช่นนั้นข้าก็จะเป็นท่านน้าของเจ้าอย่างชอบธรรมแล้ว” หยางจิ่นอวี๋หัวเราะอย่างมีเลศนัย“ได้ข่าวว่านับตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทกลับมาจากศึกเขาซือถัว ก็สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้น ทั้งขาข้างหนึ่งยังพิการอีกด้วย ท่านพ่อคงไม่มีทางให้ข้าแต่งเข้าไปเป็นแน่” ซ่างกวนซืออินวิเคราะห์ได้อย่างสมเหตุสมผล“สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นอะไรนี่นา! ก็เหมือนกับเจ้า เจ้าก็ไม่เป็นวรยุทธ์เช่นกันมิใช่หรือ? แต่ บทกวี คำกลอน และบทประพันธ์ของเจ้า มีด้านใดที่ด้อยไปกว่าชายชาตรีบ้างเล่า?” หยางจิ่นอวี๋หยิบยกนางขึ้นมาเปรียบเทียบ“ข้าไม่เหมือนเขา ข้าเป็นสตรีที่อ่อนแอ หากเขาอ่อนแอเกินไปละก็ ต่อไปจะปกครองบ้านเมืองอย่างไรล่ะเจ้าคะ?” ซ่างกวนซืออินไม่ค่อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 78

    ในฐานะที่เป็นน้องสาวของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่มีทรัพยากรมากมายในมือ เพียงแต่นางอายุสามสิบกว่าปีแล้ว จึงไม่คิดที่จะแต่งงานมาโดยตลอด ทำให้ผู้คนยากจะคาดเดาความคิดในใจของนางได้หยางเฉินไม่อยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของท่านน้า ที่เขามาในครั้งนี้ก็เพราะต้องการมาคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนา ร่างงดงามร่างหนึ่งเดินย่างกรายเข้ามาที่ประตูใหญ่ของหอถงเหวิน ดึงดูดสายตาของชายหนุ่มนับไม่ถ้วนทันทีหญิงงามคนหนึ่งในชุดสีเขียวบาง สวมผ้าคลุมหน้า แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่ ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้น กลับส่องประกายใสกระจ่าง ดุจดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้ารูปร่างอันน่าประทับใจ สมส่วน เรือนร่างที่ได้สัดส่วนทองคำ ผมยาวสลวยพอดีเอว ปอยผมหลายเส้นพลิ้วไหวตามการก้าวเดิน“แม่นางซ่างกวนมาแล้ว! แม่นางซ่างกวนมาแล้ว...” ภายในห้องโถงมีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้นเมื่อหยางเฉินได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย หันศีรษะมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “ท่านน้า ท่านนี้คงจะไม่ใช่คุณหนูแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดีใช่หรือไม่?”“ถูกต้อง นางก็คือซ่างกวนซืออิน แล้วก็เป็นแขกประจำของหอถงเหวินของเรา อีก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status