ซ่งซีซีมองดูเขา ใบหน้าที่สวยงามของนางเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย "แม่ทัพยี่ฝาง คิดเข้าข้างข้าจริงๆ ยังเหลือสินเดิมได้ครึ่งหนึ่งไว้ให้ข้า""ไม่ นี่ไม่ใช่จดหมายของยี่ฝาง ไม่ใช่นางเขียน" จ้านเป่ยว่างแต่ตัว จดหมายได้ลงนามในตอนท้าย ดังนั้นการแก้ตัวของเขาจึงไร้ประโยชน์ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมอง "งั้นเหรอ? งั้นข้าขอถามแม่ทัพสักคำ การหย่าในวันนี้ จะคืนสินเดิมทั้งหมดให้ข้าเอาไปหรือไม่?"ก่อนที่อ่านจดหมายฉบับนี้ จ้านเป่ยว่างคงตอบอย่างแน่นชัดว่าคืนให้หมด แม้ว่าท่านพ่อและท่านแม่จะคัดค้านก็ตามอย่างไรก็ตาม ในเมื่อยี่ฝางเขียนจดหมายและขอให้เก็บสินเดิมไว้ครึ่งหนึ่ง หากเขาไม่ทำตามที่ยี่ฝางบอก ยี่ฝางคงจะผิดหวังมากซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "ลังเลเหรอ? ดูเหมือนว่าพวกเจ้าก็ไม่ได้มีศักดิ์สิทธิ์อะไรมากนี่!"เสียงของนางแผ่วเบา แต่ทุกคำพูดกลับแทงใจดำนางรอยยิ้มของนางราวกับดอกไม้ที่บานในต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับเย็นชาราวกับน้ำแข็งจ้านเป่ยว่างรู้สึกทั้งละอายใจและรำคาญด้วย แต่พูดไม่ออกสักคำ เขาทำได้เพียงมองดูนางเดินผ่านไปพร้อมกับเยาะเย้ยเมื่อซ่งไท่กงเห็นซ่งซีซี เขาก็ถามทันทีว่า "ซีซี ที่จวนแม่ทัพได้รังแกเจ้าหรือไม่ เจ้าไม
"ห้าส่วน!" จ้านเป่ยว่างที่ยืนอยู่ที่ประตู และชำเลืองมองทุกคนที่อยู่ข้างใน แต่หลับหลบหนีสายตาของซ่งซีซี "สินเดิมของนางจะคืนให้ห้าส่วน หากซ่งไท่กงและท่านลุงซ่งไม่พอใจก็สามารถไปร้องเรียนที่สำนักรัฐ ว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นผิดกฏหรือไม่"ซ่งซื่ออันพูดด้วยความโกรธ "ห้าส่วน เจ้ากล้าพูดมากจริงๆ ตอนที่ซีซีแต่งงานดับเจ้า ขบวนสู่ขอที่ยาวเป็นสิบลี้ นั่นมันเงินเท่าไหร่ บ้านไร่ และร้านค้ามากเท่าไร พวกเจ้าโลภมากจริงๆ"จ้านเป่ยว่างจับจดหมายที่ถูกจับจนไม่เป็นท่าในมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าสามารถไปฟ้องร้องได้ ข้าได้เตรียมจดหมายหย่าแล้ว และจะมอบให้พวกเจ้าอ่านก่อน!"เขาส่งสัญญาณให้พ่อบ้านส่งจดหมายหย่า และซ่งซีซีก็เอื้อมมือไปรับพ่อบ้านถอนหายใจเงียบๆ แล้วก้าวถอยหลังไป ฮูหยิงใจดีขนาดนั้น ทำไมต้องหย่ากับนางด้วยเล่า?ซ่งซีซีอ่านดูจดหมายหย่าสักพัก แล้วพบว่าเป็นเขาที่เขียนเองจริงๆ ปีที่ผ่านมานี้นางได้รับจดหมายจากเขามาบ้าง เลยจำลายมือของเขาได้จดหมายหย่านั้นเรียบง่ายมาก แค่กล่าวถึงความอกตัญญูและความอิจฉาริษยาของนางเพียงสั้นๆ และสุดท้ายก็ขออวยพรให้นางได้พบกับคนที่ใช่อีกครั้ง"หวังว่าต่อไปท
ซ่งไท่กงและซ่งซื่ออันถูกฮูหยินผู้เฒ่าจ้านโต้แย้งจนพูดอะไรไม่ออก เพราะนางพูดถูก ตระกูลซ่งไม่มีคนที่มีความสามารถจริงๆ ส่วนจ้านเป่ยว่างกำลังเป็นที่โปรด ส่วนแม่ทัพหญิงยี่ฝางคนนี้ก็มีอนาคตที่ดีด้วย"ท่านแม่หยุดพูดเถอะ เรื่องนี้จบกันแค่นี้เลย!" จ้านเป่ยว่างไม่อยากพูดรุนแรงเกินไป เขาแค่อยากจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จากนั้นค่อยเตรียมงานแต่งงานที่จะแต่งยี่ฝางเข้าบ้านการยึดสินเดิมครึ่งหนึ่งก็ไม่ใช่ความต้องการเดิมของเขา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกผิดต่อตระกูลซ่งอยู่เสมอคนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไรมาก สมาชิกในตระกูลจ้านต่างก็รู้สึกร้อนตัว และไม่สามารถโต้กลับเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าโดยเฉพาะบ้านรอง พวกเขารู้สึกไม่สบอารมณ์มาก ทำตัวราวกับคางคกขึ้นวอชัดๆ นางเสียใจที่ตัวเองมาที่นี่ด้วย ทำให้นางตกอยู่ในสานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลย"ซ่งซีซี นำรายการสินเดิมออกมาด้วย!" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านพูดอย่างเย็นชา "ข้ารู้ว่าเจ้าเก็บรายการสินเดิมไป ในเมื่อเป่ยว่างตกลงที่จะเหลือห้าส่วนให้เจ้า งั้นก็มาแบ่งตามรายการสินเดิมเลย!"เพื่อป้องกันไม่ให้ซ่งซีซีทำอะไรอย่างลับๆ นางกล่าวว่า "อย่าคิดจะหลอกข้าด้วยรายการสินเดิมปลอ
จ้านเป่ยว่างมองดูที่ซ่งซีซีด้วยความตกใจ ความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ของนางแค่เก่งกว่าเขาเพียงยชนิดหน่อยได้อย่างไร? แม้ว่ามีเขาเป็นสิบคนร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซ่งซีซีได้นางต่อสู้เป็นด้วย ทำไมไม่เคยบอกเรื่องนี้มาเลย?ซ่งซีซีถือรายการสินเดิมแล้วยิ้มให้เขา รอยยิ้มนี้สดใสราวกับดวงอาทิตย์ที่สดใสในช่วงกลางฤดูร้อนแต่แล้วนางก็โยนใบรายการสินเดิมขึ้นในกลางอากาศ และเมื่อมันตกลงอีกครั้ง ใบรายการนั้นก็กลายเป็นเศษกระดาษไปแล้ว ราวกับหิมะสีขาวที่ตกลงมาในฤดูหนาว"อ๊า เจ้าทำรายการสินเดิมเสียหาย" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านใจจะขาดอยู่แล้วเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ และนางก็โกรธมาก "ช่างบังอาจ ออกไปซะ ข้าวของของจวนแม่ทัพเจ้าไม่สามารถเอาออกไปแม้แต่ชิ้นเดียว แม้แต่เสื้อผ้าของเจ้าด้วย"ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "เจ้าคิดว่า ของที่ข้าต้องการเอาออกจากจวนแม่ทัพ มีคนมาห้ามได้เหรอ"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านโกรธเกรี้ยว "เจ้ากล้าดียังไง ถ้าเจ้ากล้าเอาไป ข้าจะไปฟ้องกับสำนักรัฐ เจ้าถูกไล่ออก เจ้าอย่าคิดจะเอาสินเดิมไปแม้แต่เบี้ยเดียว!"นางจูงมือแม่นม แล้วออกคำสั่งอย่างเร่งรีบ "ใครก็ได้ ไล่นางออกไป แม้แต่คนที่นางพามาด้วยอย่าให้ไปไหน
ซ่งซีซีคำนับให้ ค่อยๆ ผ่อนคลายไหล่ของนางออก พระราชโองการนี้มาช้ามาก แต่โชคดีที่มาทันเวลา "ซ่งซีซีขอบพระทัยความเมตตาของพระองค์เพคะ!"จ้านเป่ยว่าง ซีดเซียวและตกตะลึงตอนนั้นที่ซ่งซีซีเข้าวังกลับเพื่อขอให้ฮ่องเต้อนุญาตให้หย่าโดยสันติงั้นเหรอ?ไม่ใช่เพื่อขัดขวางการแต่งงานของเขากับยี่ฝาง?นับตั้งแต่ที่นางรู้เรื่องการพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว นางก็วางแผนจะหย่าโดนสันติเหรอ?เขาเคยคิดว่าวิธีการทั้งหมดที่นางใช้เป็นเพียงต้องการผูกขาดเขา ดังนั้นเขาจึงคิดว่านางเป็นคนขี้อิจฉา ตระหนี่ เห็นแก่ตัว ใจแคบ ใจแคบ ไม่ยอมผู้อื่น และถึงขั้นน่ารังเกียจด้วยซ้ำแต่ปรากฎว่าไม่ใช่...จ้านเป่ยว่างมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกในใจ เมื่อดูซ่งซีซีรับพระราชโองการ รอยยิ้มอันอบอุ่นก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง มันดูสดใสและน่าประทับใจอย่างอธิบายไม่ได้ ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาเห็นนาง เขาถูกดึงดูดความสนใจโดยรูปร่างหน้าตาของนางทันทีทันทีที่เขาเห็นนางครั้งแรก ขนาดทำให้เขาลืมหายใจด้วยซ้ำแต่ต่อมา เขาได้พบกับยี่ฝาง...ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านไม่คาดคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ นางไม่เคยคาดคิดว่า ซ่งซีซีจะเป็นฝ่ายขอหย่าโดยส
“ได้!” ดวงตาของซ่งไท่กงเต็มไปด้วยน้ำตา เขามองเห็นหญิงสาวตรงหน้าไม่ชัดเจน แต่เขารู้สึกได้ว่านางมีออร่าสูงส่ง เขายินดีอย่างยิ่ง “ที่นี่ไม่ควรอยู่ต่อ มีแต่โชคร้าย ข้าขอตัวไปก่อน เจ้าก็ให้ออกไปเร็วๆ ด้วย”"เจ้าค่ะ!" ซ่งซีซีลุกขึ้นและมองส่งเขาและซ่งซื่ออันออกไปด้วยความเคารพหญิงชราจากบ้านรองก็ถือโอกาสจากไปเช่นกัน เดิมทีนางต้องการออกมาพูดสักหน่อย แต่นางไม่ได้พูดอะไรตอนที่ซ่งซีซีโดนรังแกนั้น บัดนี้ก็ไม่มีหน้าจะพูดอะไรอีก ถือซะว่าวันนี้นางไม่ได้มาที่นี่เลยทุกคนในตระกูลจ้านยืนนิ่งอยู่กับที่ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ ซ่งซีซีกลายเป็นบุตรีของฮูหยิงเอกของจวนเสนาบดีกั๋วกง ส่วนสามีสามีของนางสามารถสืบทอดตำแหน่งเสนาบดีกั๋วกงได้ด้วยนี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี่น่ะ? เป็นไปได้อย่างไรที่จะให้คนต่างสกุลมาสืบทอดตำแหน่งนี้?แต่อย่างไรก็ตาม พระราชโองการของพระองค์บอกให้ชัดเจนว่ามันเป็นไปได้ หากเป่ยว่างไม่หย่ากับนาง งั้นเป่ยว่างก็สามารถสืบทอดตำแหน่งได้ความเจริญที่หาได้ยากนั้นพวกเขากลับพลาดไปทั้งอย่างนั้นหลังจากวางแผนมาซะจริงจังขนาดนั้น สุดท้ายกลับไม่ได้
ตกเย็น ยี่ฝางส่งคนไปตามหาจ้านเป่ยว่างออกไปพวกเขาทั้งสองกำลังเดินไปตามทะเลสาบ จ้านเป่ยว่างยังคงเงียบและไม่พูดอะไรตลอดทางยี่ฝางยังไม่รู้สถานการณ์ เดิมทีนางคิดว่าเมื่อนัดเขาออกมา เขาจะริเริ่มบอกสถานการณ์การหย่าร้าง แต่ไม่คิดว่าเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย อีกทั้งใบหน้าของเขาก็ดูเหมือนกับโดนแมวข่วนอย่างไรอย่างนั้นเดินไปได้สักพัก นางก็หยุดลง และอดไม่ได้ที่จะถามว่า "หย่าหรือยัง ยึดสินเดิมไว้ครึ่งหนึ่งหรือเปล่า"ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง สะท้อนใบหน้าที่ค่อนข้างเข้มของยี่ฝาง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงใบหน้าที่สดใสและสวยงามของซ่งซีซี จู่ๆ หัวใจของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมาทันที"เจ้าไม่ได้ยึดไว้เหรอ?" ยี่ฝางเห็นว่าเขาเงียบ และดูเศร้าๆ นางอดไม่ได้ที่จะโกรธเล็กน้อย "ข้าไม่ได้ส่งคนไปส่งจดหมายให้เจ้าเหรอ บอกให้เจ้าต้องยึดสินเดิมไว้ครึ่งหนึ่งไม่ใช่หรือ จวนแม่ทัพ ไม่เหลืออะไรแล้ว หากเราไม่ยึดข้าวของพวกนั้นไว้ต่อไปเราจะใช้ชีวิตยังไง"จ้านเป่ยว่างมองดูนาง "แต่นั่นเป็นสินเดิมของนาง ไม่ใช่ของข้า ข้าไม่ใช่คนหามา ยี่ฝาง เจ้าแต่งงานกับข้าเป็นเพราะกลัวที่จะใช้ชีวิตยากจนลำบากใช่หรือไม่?""ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น" ยี่ฝางห
จ้านเป่ยว่างเงียบ เพราะในการต่อสู้วันนี้ เขาพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งน่าอายมากที่จะพูดถึงมัน“สรุปเป็นเรื่องจริงหรือไม่?” ยี่ฝางถามต่อจ้านเป่ยว่างถอนหายใจ "ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า"ยี่ฝางชกเขาและพูดอย่างอ่อนโยนว่า "รู้อยู่ว่าเจ้าโกหกข้า ช่างมัน ไม่ว่าจะเป็นการหย่าหรือการหย่าโดยสันติ ตราบใดที่เรื่องได้รับการจัดการแล้วก็พอ ในเมื่อนางไม่สนที่จะร่วมสามีเดียวกันกับข้า งั้นข้าก็ไม่ต้องการด้วย เล่ห์เหลี่ยมที่นางใช้ในฝ่ายใน ข้าสู้นางไม่ได้หรอก นั่นแหละเป็นความสามารถที่แท้จริงของนางต่างหาก"นางเอียงศีรษะต่อหน้าเขา "ความสามารถเช่นนั้น ข้าเรียนไม่เป็นด้วยจริงๆ แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าเลียนแบบนางให้พูดอ่อนโยนและหวานๆ ข้าก็ทำได้นะ"นางประสานมือไว้ข้างหน้า ยิ้มเล็กน้อยโดยไม่เผยให้เห็นฟัน และเรียกเบาๆ ว่า "ท่านสามี!"หลังจากที่นางเรียกจบ นางก็แสร้งทำเป็นตัวสั่นไปทั้งตัว “โอ้แม่เจ้า มันน่าขยะแขยงจริงๆ มันเสแสร้งมาก นางจะเสแสร้งขนาดนี้ได้ยังไง?”จ้านเป่ยว่างก็ตัวสั่นเช่นกัน แต่เป็นเพราะการแกล้งทำโดยเจตนาของยี่ฝาง อันที่จริงซ่งซีซีไม่เคยทำท่านี้มาก่อน นางพูดเสียงเบาก็จริง แต่ไม่เสแสร้ง ทัศ
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร