หลายวันมานี่ศรีฟ้าหลับๆ ตื่น ไม่ค่อยได้สติเต็มที่นัก ทุกครั้งจะรู้ว่าแพรดาวอยู่ใกล้เสมอ และรู้ว่าตัวเองทำให้ลูกต้องลำบากและพอรู้ว่าอยู่โรงพยาบาลเอกชนก็ยิ่งกังวลมากยิ่งขึ้น “น่าจะย้ายแม่ไปโรงพยาบาลรัฐนะลูก” “ที่นี่ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าไปโรงพยาบาลรัฐ แม่ต้องรอคิวรักษานาน” “แต่ค่ารักษา...” “แม่จ๋าไม่ต้องห่วงนะ เจ้านายของหนูแพรจะช่วยออกให้ก่อนแล้วหนูแพรจะทำงานใช้หนี้เอง เอาล่ะๆ แม่จ๋าห้ามดื้อต้องหายเร็วๆ จะได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆนะคะ” ศรีฟ้าไม่อยากทำให้ลูกต้องลำบากใจอีกจึงยอมทำตามที่ลูกสาวสั่ง เมื่อครู่ลูกออกไปซื้อของกิน นางก็เลยได้นอนเพียงลำพัง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นภาระของลูกขนาดนี้ เสียงประตูเลื่อนเปิดออกเบาๆ แต่เพราะในห้องที่ค่อนข้างเงียบทำให้คนที่นอนอยู่ได้ยินและนึกว่าเป็นลูกสาวกลับมาแล้ว ทว่าเมื่อหันหน้ามามองก็เห็นภาพชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ นางเบิกตากว้าง คนตัวสูงเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนป่วย เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยแล้วพูดน้ำเสียงหนักแน่น “พี่จ๋า...ผมยังเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม”
“เนื้องอกที่สมอง” แพรดาวทวนคำที่ได้ยิน ถ้อยคำที่หมออธิบายอาการป่วยของแม่ทั้งหมดเธอจับใจความได้แค่นี้ “ต้องทำการเจาะชิ้นเนื้อ (biopsy) วิเคราะห์ว่าเป็นเนื้อดีหรือมะเร็ง รู้เร็วรักษาเร็วโอกาสกลับมาเป็นปกติก็จะยิ่งเร็วขึ้น” “ครับ คุณหมอรักษาได้เลยครับ” หัสดินเป็นฝ่ายตอบแทนหญิงสาวที่ยืนนิ่งไปแล้ว เขาบีบมือเธอเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายได้สติแล้วพยักหน้ารับตามที่เขาพูด หลังจากคุณหมอกับพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว แพรดาวก็แทบไม่มีแรงยืนโชดดีที่หัสดินประคองไว้ได้ทันและพาเธอไปนั่งที่โซฟา “แพร...แพรน่าจะสังเกตอาการแม่ได้เร็วกว่านี้” “อย่าโทษตัวเองเลยนะ คนเจ็บคนป่วยเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้า” “หมอบอกว่า ถ้าไม่รักษา แม่อาจจะชักและ...” แพรดาวรู้สึกมีก้อนแข็งๆจุกที่คอ “ไม่ต้องกังวลไป หมอที่นี่เก่ง เชื่อใจหมอเถอะ” เขาลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบโยน “เรื่องค่ารักษาก็ไม่ต้องกังวล พี่ช่วยเอง” ได้ยินคำว่า ‘ค่ารักษา’ แพรดาวก็เพิ่งนึกได้ ใครคนหนึ่งก็พูดไว้แบบนี้ “เป็นอะไรไป ไม่ต้องเกรงใจพี่นะ พี
หลังจากเดินออกจากห้องคนไข้พิเศษได้ไม่กี่ก้าว คทาภัทรก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหามารดาทันที และเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นแม่ เขาก็ยิงคำถามโดยไม่รั้งรอ “คุณแม่ครับ แม่จำพี่เลี้ยงที่คุณแม่เคยจ้างเมื่อยี่สิบปีก่อนได้ไหม” “จำได้สิลูก มีอะไรเหรอ” “พี่เลี้ยงคนนั้นชื่ออะไรนะครับ” “ชื่อเหรอ...ชื่อจันทร์กระจ่าง” คุณนิตยาแทบไม่ต้องคิดนานเลย เพราะพี่เลี้ยงคนนั้นจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายแต่ทำงานได้ดีจึงให้อยู่ด้วยกันจนกระทั่งลูกคนที่สองเกิด “คุณแม่ได้ข่าวเธอไหมครับ” “ตอนนั้น ยัยจ๋าลาออกไปแต่งงาน แม่ก็ยังบ่นเสียดายอยู่เลย ติดต่อกันอยู่ครึ่งปีก็หายไป แม่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีกเพราะคิดว่าคงจะมีครอบครัวแล้วคงไม่อยากให้เราไปวุ่นวายกับเขา” “จ๋า...ชื่อเล่นชื่อจ๋าใช่ไหมครับ” “ใช่จ๊ะ ตอนเด็กๆ ลูกติดพี่เลี้ยงมากเลยนะ” คุณนิตยาพูดแล้วก็ถอนหายใจ “ถ้าลูกดาวยังอยู่ก็คงดีสินะ” “ครับแม่” “แล้วลูกมีอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ ถามเรื่องนี้” “ไม่มีอะไรครับ จู่ๆ
หัสดินยืนที่หน้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ ในมือถือถุงอาหารกล่องที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล ยืนคิดอยู่ว่าจะซื้อกาแฟร้อนดีไหมเพราะอยากให้เธอพักผ่อนบ้าง เขารู้ดีว่าตอนนี้เธอคงนอนไม่หลับเป็นแน่ งั้นเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มอุ่นร้อนอย่างอื่นดีไหม “คุณหัสดิน?” ชายหนุ่มหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาหรี่ตามองอย่างครุ่นคิดแต่อีกฝ่ายยิ้มขบขันแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ผมคณาภัทรครับ” เขาแนะนำตัวเองแล้วยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทในฐานะที่อายุน้อยกว่า “ลูกชายของพ่อฐากรูกับแม่นิตยาไงครับ คุณหัสดินจำไม่ได้แน่เลย” “อ้อ! ขอโทษด้วย มาเจอแบบนี้เลยจำไม่ได้” “แต่คงจำได้นะครับว่านี่โรงพยาบาลของผม” คณาภัทรยิ้มแล้วดันแว่นตาชิดใบหน้า เขาเห็นอีกฝ่ายทำหน้างุนงงก็ยิ้มกว้างขึ้น “ตอนนี้คุณพ่อยกให้ผมดูแลจัดการทั้งหมดแล้ว” “ยินดีด้วยครับ” หัสดินผงกศีรษะให้ ครั้งก่อนที่เจอยังเห็นแต่งตัวง่ายๆ แต่วันนี้สวมเสื้อสูทผูกเนคไทเลยดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่ก็เหมาะสมแล้วสำหรับผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน “คุณดินมาที่นี่มีใครเป็นอะไรหรือ
‘ฝืนเข้มแข็งทั้งที่หน้าซีดไร้สีเลือด ใช้ได้’ ไม่บ่อยนักที่ชายหนุ่มชื่นชมคนอื่นในใจ โดยเฉพาะ ‘ผู้หญิง’ และอาจเพราะเข้าใจความรู้สึกที่อยู่ในสภาพนี้ของแพรดาวได้อย่างดีเพราะตนเองเคยผ่านมาก่อน เขาจึงไม่สามารถปล่อยเธอให้เผชิญทุกอย่างเพียงลำพังได้ “คนไข้ต้องแอดมิด ญาติสะดวกไหมคะ” พยาบาลถามทำให้แพรดาวนึกขึ้นได้ โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชนแต่ใกล้ที่สุด แต่สิทธิ์การรักษาต้องไปใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ “สะดวกครับ คุณพยาบาลจัดการได้เลย” หญิงสาวหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เขามองเหมือนเข้าใจความหมายจึงพูดขึ้นมาทันที “เรื่องค่าใช้จ่ายผมจัดการเอง” “แต่นี่โรงพยาบาลเอกชนนะคะ” “แล้วยังไง” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามแล้วดันไหล่ให้เธอเดินตามพยาบาลไปเซ็นเอกสารเพื่อรับการรักษา “คิดเสียว่าเป็นสวัสดิการจากเจ้าของร้านอย่างผมก็ได้” “ถ้าอย่างนั้น...ขอรบกวนด้วยนะคะ ยังไงแพรจะทำงานใช้หนี้คุณแน่นนอนค่ะ” ‘ใช้หนี้’ ว่าที่เจ้าหนี้กระตุกยิ้มมุมปาก เขาได้ยินคำนี้มาบ่อยแล้วและครึ่งหนึ่งหนีหนี้ไปเสียส่วนใหญ่
“พูดเหมือนรู้จักคุณตาเลยค่ะ” ดวงตาวาววับมีประกายสงสัย “ก็เธอพูดเอง ผมก็ถามไง” แพรดาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็จริงนะ เธอพูดออกไปก่อนเองนี่น่า “คือแม่ของแพรทำงานเป็นแม่บ้านกับบริษัทรับจัดหาแม่บ้านค่ะ พอดีว่าคุณตาหาแม่บ้านมาทำความสะอาดบ้าน ซึ่งช่วงนั้นคุณยายล้มป่วย บริษัทส่งแม่จ๋ามาทำงานที่บ้านคุณตาแล้วก็รู้ว่ามีบ้านว่างอยู่ข้างๆ จริงๆ คุณตาบอกว่าเคยเป็นโรงจอดรถเก่าแต่ตอนนั้นไม่มีรถแล้วก็ปรับปรุงเป็นห้องไว้เก็บของ คุณตากับคุณยายมีเมตตาให้เช่าอยู่ในราคาถูกมากๆ แพรกับแม่จ๋าเลยได้อยู่ที่นั้นจนถึงตอนนี้ค่ะ” แพรดาวไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเผลอเรียกตัวเองอย่างสนิทสนมกับเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ระยะห่างนั้นสั้นลง แรกทีเดียวเขานึกว่าตัวเองฟังผิดไป แต่ได้ยินหลายครั้งเข้าก็มั่นใจว่าเธอพลั้งปากแต่เขากลับไม่รู้สึกว่าหงุดหงิดหรือรำคาญในความใกล้ชิดที่เพิ่มขึ้นนี้ ที่จริงแล้วเขานั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอก็ได้ ไม่มีใครกล้านั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกับมิสเตอร์ดาร์กหรอก แต่เขาอยากนั่งข้างเธอ หญิงสาวนึกได้ว่าไม่ควรนั่งนานเพราะในร้านมีแค่สี่โต๊ะ เมื่อลอบมองไ