เธอถูกเก็บมาเลี้ยงในตระกูลใหญ่ แต่ดันได้รับมรดกก้อนโต และในพินัยกรรมของคุณปู่ดันบอกให้เธอแต่งงานกับทายาทของตระกูล ส่วนเขายอมแต่งเพราะผลประโยชน์ แต่ไร้ความซึ่งความรัก “เธอคิดว่าฉันอยากได้เธอจนตัวสั่นอยู่ละสิ จะบอกอะไรให้ แม้แต่ตัวเธอฉันยังต้องฝืนจับ นับประสาอะไรกับเรื่องนั้น ฉันขยะแขยงเธอ”
View More# ประเทศจีน
ในความโชคร้ายก็เหมือนจะมีความโชคดีอยู่บ้าง หากจะย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ซิงเหยียน เด็กน้อยกำพร้าที่เกิดอุบัติทางรถยนต์พร้อมครอบครัว จนต้องสูญเสียพ่อแม่ในคราวเดียว ทว่าคู่กรณีในครั้งนั้น ดันเป็นตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวย “ฮือ แม่จ๋า พ่อจ๋า” เด็กน้อยวัยเพียงเก้าขวบ ณ ตอนนั้น นั่งกอดศพบิดาพร้อมมารดาของเธอ ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำด้วยความเศร้าโศก “หนู อย่าร้องไปเลย ฉันสัญญาว่าจะดูแลหนูแทนพ่อแม่ที่จากไป” เสียงทุ้มใหญ่วัยราวเจ็ดสิบ ที่สวมชุดสูทพร้อมบอดี้การ์ดมากมายที่ยืนข้างกายของกู้อูเกอ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งร่ำรวย ดวงตากลมเล็กค่อยๆ เหลือบมองใบหน้าเขา พร้อมคำพูดที่ไร้เดียงสา “คุณลุง คุณลุงเป็นใคร” แน่นอนว่าเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจถึงอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด รถหรูคันโปรดที่มีร่างของนักธุรกิจใหญ่นั่งมา ชนรถเครื่องของครอบครัวเด็กน้อย จนพ่อและแม่ต้องเสียชีวิต ส่วนตัวซิงเหยียนบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น “ต่อไปฉันจะเป็นผู้ปกครองของเธอ เรียกฉันว่าคุณปู่สิ” “คุณปู่” “ดีมาก เหยียนเหยียน” อย่าว่าแต่บอดี้การ์ดที่รายล้อม ขนาดตำรวจก็ยังให้ความเคารพแก่เขา อุบัติเหตุครั้งนั้น ที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะบิดาไม่ทันระวังจึงทำให้รถที่ขับมาพร้อมครอบครัวเสียหลักแล้วฟุ้งชนเข้ากับรถหรูของประธานกู้ #สิบสองปีผ่านไป ทุกอย่างเหมือนจะสวยงามกับซิงเหยียน เพราะกู้อูเกอรักเด็กน้อยเสมือนหลานแท้ๆ เพราะตัวเองไม่มีหลานสาว มีเพียงหลานชายทั้งสองคน ตงหยาง และ ตงฉิน เท่านั้น เมื่อรับ ซิงเหยียนเข้ามาในบ้าน ก็เอ็นดูเธอเมตตาเธอ มอบหลายๆ อย่างให้เธอเทียบเท่าหลานชายทั้งสอง ทว่า หลี่น่า ลูกสะใภ้ไม่ค่อยจะปลื้มเด็กน้อยเท่าไหร่นัก เธอคิดเสมอว่า ซิงเหยียนจะเข้ามาเพื่อแบ่งสมบัติของลูกชายเธอ และสิ่งที่ทำให้ คุณนายหลี่เกลียดซิงเหยียนมากที่สุด ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน เมื่อหลายเดือนก่อน ลูกชายเพียงคนเดียวของอูเกอ เสียชีวิตจากการจมน้ำ เนื่องจากลงไปช่วย ซิงเหยียนที่ผลัดตกลงไป แน่นอนว่าเธอไหว้น้ำไม่เป็น มีเพียงคุณลุงที่เข้าไปช่วยและทำให้ท่านเองต้องจบชีวิต การเสียชีวิตของฟู่เฟย สร้างความเกลียดชังที่คุณนายหลี่มีให้ซิงเหยียนมากขึ้น เธอคิดว่าซิงเหยียนเป็นตัวกาลกิณี เป็นตัวซวย แถมยังเสี้ยมสอนให้ลูกชายคนโตที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งของประธานบริษัท อย่าง ตงหยาง เกลียดเธอเข้าไส้เช่นกัน เว้นเสียแต่ ตงฉิน ที่เป็นมิตรกับเธออยู่ #บ้านตระกูลกู้ เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นของซิงเหยียน เมื่อคนที่นอนหายใจโรยรินบนที่นอนกว้าง อูเกอแก่ชราตามวัยพร้อมด้วยโรคประจำตัวหลายอย่าง สายออกซิเจนที่สอดเข้าไปทางโพล่งจมูกเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แววตาขุ่นมัวทอดมองมาที่ใบหน้าจิ้มลิ้มของ ซิงเหยียน พร้อมน้ำเสียงที่แห้งผากเปล่งออกมาเบาๆ “เหยียนเหยียน เธอต้องดูแลตัวเอง จากนี้ไป ต้องเข้มแข็ง” “คุณปู่คะ” อูเกอรู้ดีว่า ลูกสะใภ้พร้อมทั้งหลานชายคนโตไม่เมตตาซิงเหยียน นับตั้งแต่ที่ฟู่เฟยเสียก็จงเกลียดจงชังเธอตลอด “ตงหยาง!” “ครับคุณปู่” “แกต้องดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และที่สำคัญไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ห้ามให้ซิงเหยียนไปอยู่ที่อื่น แกรับปากฉันสิ” สายตาตวัดมามองคนตัวเล็กที่นั่งคุกเข่าร้องไห้ ความรู้สึกขุ่นเคืองอัดแน่นเต็มอก ทว่า ก็ต้องรับปากคนที่ตนให้ความเคารพ “ครับ!!” คำสั่งเสียของอูเกอที่มีต่อผู้คนในบ้าน ไม่นานหมอประจำตัวก็กันทุกคนออกไป ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที กู้อูเกอก็สิ้นใจอย่างสงบ สร้างความเศร้าที่เกาะกินหัวใจดวงน้อยของซิงเหยียนเป็นอย่างมาก เวลานี่เธอคิดเพียงว่าไร้ที่พึ่งที่สุดท้ายไปแล้ว หนึ่งเดือนผ่านไป จบงานศพที่แฝงไปด้วยความเศร้ามากมายของตระกูล ในเวลาที่ไล่ๆ กันนั้น สูญเสียเสาร์หลักไปถึงสองคน จากนี้คนที่ขึ้นมาเป็นใหญ่คือลูกชายคนโตของตระกูลอย่าง ตงหยาง ชายหนุ่มที่ไร้แม้รอยยิ้มแฝงบนใบหน้านับจากวันที่สูญเสียบิดาคราวนั้น ตึก ตึก เสียงฝีเท้าที่สวมใส่รองเท้าคัทชูขัดมันเงาสีดำ สวมชุดสูทสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาวสุภาพ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักสวย ทว่า สีหน้าของเขานิ่งสงบราวกับผิวน้ำนิ่ง “คุณชายใหญ่มาแล้วค่ะ” เสียงแม่บ้านที่อยู่แถวนั้น เข้ามาบอกยังห้องโถงใหญ่ ตอนนี้มีคุณนายหลี่พร้อมด้วยตงฉินนั่งรอก่อนแล้ว และในนั้นยังมีซิงเหยียนที่ยืนสงบนิ่งไม่กล้าเข้ามานั่งที่โซฟาชุดหรู “ตงหยางเข้ามานั่งนี่สิลูก” ชายหนุ่มหน้านิ่งเดินเข้ามา พร้อมหย่อนสะโพกลงนั่งต่อหน้าทนายประจำตระกูล เวลานี่ถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องเปิดพินัยกรรมที่คุณปู่เขียนไว้ แม้จะยังไม่ได้รับตำแหน่งท่านประธานอย่างเป็นทางการ แต่ตงหยางก็รู้ดีว่า ตำแหน่งนี้ก็คงไม่พ้นตนเองแน่นอน คนที่เข้ามารับฟังและเป็นพยานในครั้งนี้ มีบุคคลสำคัญของบริษัทสองท่าน รวมทั้งทนายประจำตระกูลด้วย “เอาละครับเท่าที่ทุกคนรู้ คุณท่านได้ร่างพินัยกรรมไว้ ก่อนที่ท่านจะเสีย วันนี้ถึงเวลาที่ผม ทนายประจำตระกูลต้องขอเปิดชี้แจงแก่ทุกท่านในที่นี้” ความเงียบบังเกิดขึ้น คนที่ใบหน้าชื่นมื่นที่สุดน่าจะเป็นคุณนายหลี่ ส่วนตงฉินรายนั้น เป็นคนเงียบๆ สีหน้าของเขาแม้จะไม่นิ่งเท่าพี่ชาย แต่เป็นคนที่มิตรไมตรีดี ระหว่างที่ทนายกำลังจะล้วงเอกสารขึ้นมาเปิดอ่าน สายตาฉายชัดถึงความรังเกียจที่มองไปอีกมุมของห้อง ใบหน้าเรียวงาม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจมูกโด่งเป็นสันปากอิ่มเอมสีชมพูระเรื่อ ผิวขาวเนียนดุจหยดขัดเงา ทว่า ภายในดวงตาของเธอนั้นฉายแววเศร้าหมองอยู่เต็มเปี่ยม แค่แว๊บเดียวตงหยางก็เสหลบสายตามามองทนายดังเดิม “พินัยกรรมฉบับนี้ ฉัน กู้อูเกอเป็นคนจาลึกไว้ ตงหยาง หลานชายคนโตของฉัน และ ตงฉิน ธุรกิจโรงแรมยี่สิบสามแห่ง แบ่งให้ ตงหยางและตงฉิน คนละห้าสิบเปอร์เซ็นต์” การอ่านพินัยกรรมเหมือนจะราบรื่น เพราะไม่เพียงจะแบ่งหุ่นของโรงแรมให้หลานชาย คนละครึ่งแล้ว ยังแบ่งหุ้นร้านเครื่องเพชรให้ลูกสะใภ้ดูแล ไม่เพียงเท่านั้นธุรกิจที่เหลือยังมีโรงงานผลิตเครื่องดื่ม และในพินัยกรรมนั้น มันดันมีซิงเหยียนเข้ามาร่วมด้วย รวมทั้งคฤหาสน์แห่งนี้ “เอ่อ...” “คุณทนาย หยุดทำไมละคะ อ่านต่อสิ” “จากนี้ อยากให้ทุกคนตั้งใจฟัง และเป็นสักขีพยานรวมกันนะครับ” “หมายความว่าอย่างไร?” “เรื่องต่อไปนี้ เป็นโรงงานและบริษัทเครื่องดื่มที่ส่งออกทั้งหมด หุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ มอบให้ซิงเหยียน หลี่น่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนตงหยางและตงฉิน คนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์” ยังไม่ทันที่ทนายจะได้อ่านจบ เสียงที่แทรกขึ้นด้วยความไม่พอใจกับวาระครั้งนี้ก็คือคุณนายหลี่ “อะไรกัน ฉันและลูกทำไมได้น้อยกว่านางเด็กรับใช้ คุณพ่อคิดอะไรกัน!!” “ใจเย็นๆ สิครับคุณหลี่ข้อความยังไม่จบเท่านั้น” สายตาดุจอาฆาตมองไปทางซิงเหยียนที่เอาแต่ก้มหน้ารับฟัง พร้อมด้วยสายตาของตงหยางที่มองอย่างเฉยชา แต่ไร้บทพูดใด “แม่ครับนั่งก่อนสิ รอให้ทนายได้อ่านจบก่อน” เสียงนุ่มละมุนดังขึ้น พร้อมดึงแขนแม่ให้นั่ง ตงฉินผู้ชายอบอุ่น ใบหน้าได้รูปคมเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนอบอุ่น “ต่อนะครับ หุ้นของบริษัทจะมีผลก็ต่อเมื่อ ตงหยางสมรสกับซิงเหยียนเท่านั้น พร้อมด้วยตำแหน่งท่านประธานก็จะมีผลตามมาด้วย” “นี่มันบ้าชัดๆ!” “แม่ครับ” “คุณนายหลี่ฟังก่อน และที่สำคัญบ้านหลังนี้เป็นของ ซิงเหยียน แต่ถ้าตงหยางกับซิงเหยียนแต่งงานจะถูกแบ่งคนละครึ่งเมื่อทั้งคู่สมรสและมีลูกภายในหนึ่งปี หากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามที่ระบุไว้ สิ่งที่จะมอบให้ต้องถูกยกให้อีกฝ่ายทันที” “นี่มัน!!” เสียงโพล่งดังชัด คุณนายหลี่มองด้วยความขุ่นเคือง ส่วนซิงเหยียนเธอไม่คิดว่าคุณปู่จะเขียนพินัยกรรมแบบนั้น อยู่ๆ จะให้แต่งงานกับ ตงหยาง ตอนนี้ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ มีเพียงเสียงคัดค้านของมารดาเท่านั้น แต่อยู่ๆ รอยยิ้มหยักโค้งก็หักยิ้มที่มุมปาก พรึ่บ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชำเลืองหางตาไปทางซิงเหยียนด้วยความแปลกประหลาดก่อนจะเปิดปากพูดครั้งแรก “ตกลง หากคุณปู่อยากให้ฉันแต่งงานกับเธอ ฉันจะแต่ง!!” “ตงหยาง ลูกบ้าไปแล้วหรือไง” เขาไม่ได้ฟังเสียใดๆ เมื่อพูดแบบนั้นก็เดินหันหลังออกจากห้องโถงใหญ่ทันทีมือหนาเทเหล้าลงคอไปก็หลายแก้วจนดวงตาคู่คมแดงก่ำจนได้ที่ ตอนนี้ฤทธิ์เหล้าที่ตงหยางดื่มเข้าไปก็น่าจะเรียกว่ามึนเมาเล็กน้อย เขาพยายามลุกออกจากที่นั่นแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านพักของตัวเอง เมื่อมาถึงก็เปิดประตูแทรกร่างเข้าไปซิงเหยียนเผลอหลับด้วยอาการเมื่อยล้า ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว คงจะเป็นปกติของการพักผ่อนชายหนุ่มทอดสายตามาที่เตียงนอน เมื่อเห็นร่างภรรยานอนอยู่ก็รุดเข้าไปแล้วนั่งลงบนขอบเตียง ก่อนจะเหวี่ยงขาขึ้นไปเพื่อแทรกร่างลงในผ้าห่มพร้อมกับสอดมือเข้าไปโอบกอดซิงเหยียนฮึ!เสียงของเธอดังขึ้นพร้อมลืมตาขึ้นมอง เมื่อจะเอี้ยวตัวหันมาก็ได้กลิ่นเหล้าคลุ้งไปหมด“พี่หยาง พี่ดื่มเหล้ามาอีกแล้วเหรอ”“นิดหน่อย”นิดหน่อยของเขา แต่ดูเหมือนจะมากสำหรับเธอ“ไปอาบน้ำก่อนไหม พี่จะได้สร่าง”“ซิงเหยียน ทำไมเธอถึงคิดอยากหย่ากับฉัน”“ฉันว่าพี่เมาแล้ว ไปอาบน้ำก่อนดีไหม”แทนที่จะลุกไปอาบน้ำ แต่สิ่งที่ตงหยางทำคือโผตัวขึ้นคร่อมร่างของซิงเหยียนจนมิด ลมหายใจที่พ่นออกมามีแต่กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปหมด“พี่หยาง ลุกไปอาบน้ำก่อนสิ”“ทำไม ถ้าไม่อาบนอนกับเธอไม่ได้หรือไง”เธอเม้มปากอิ่มแน่นขนัด คำว่านอนได้ไหม หากจะขัดก็คงไม่มีผลอยู่ดี
กลับมาที่ห้องแล้วก็พาตัวของซิงเหยียนมานั่งลงที่ปลายเตียง จากนั้นก็รื้อกระเป๋าหายามาทาให้ เขานิ่งมากไม่พูดไม่จาไม่ถามเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำว่าจริงหรือเปล่า แต่คนที่ถามดันเป็นซิงเหยียน“พี่คิดว่าฉันทำร้ายเธอหรือเปล่า”“แล้วเธอทำหรือเปล่า”ดวงตานิ่งราวกับว่าตงหยางไร้ความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนซิงเหยียนไม่รู้จะพูดอะไร หากแต่พูดไปแล้วเขาอาจจะหาว่าเธอโกหกก็ได้“เงียบทำไมล่ะ เล่ามาสิ”“ฉันจะเล่าไม่เล่า มันก็ไม่มีความหมายหรอกเพราะคนชั้นต่ำอย่างฉันคำพูดมันไม่มีค่าอยู่แล้ว”“อย่าประชดสิ”“ไม่ได้ประชด...โอ๊ย”“เจ็บเหรอ”“ไม่เจ็บมั้งคะ รอยแดงขนาดนี้”“อย่าถือสาแม่เลย เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้”คนที่ผิดก็ยังถูกปกป้อง จริงอยู่ว่าหลี่น่าเป็นแม่ของเขา แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ลงโทษเธอตามอำเภอใจ ในเมื่อความจริงตัวเองก็ไม่รู้ แต่ซิงเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอนิ่งแล้วจ้องใบหน้าตงหยางผู้เป็นสามี“พี่หยาง!!”“มีอะไร”“สมมุติว่าวันหนึ่งเราต้องหย่ากัน...”นิ้วเรียวที่เกลี่ยยาบนแก้มนวลชะงักไป จากนั้นก็มองใบหน้าหวานอย่างหาคำตอบ“คิดจะหย่ากับฉันเหรอ”“...”ซิงเหยียนยังคงเงียบ แท้จริงก็ไม่อยากจะเอ่ยถามเรื่
สองสาวเดินออกมาจากบ้านพัก เดินชมบรรยากาศตามแนวทางเดิน ด้านล่างเป็นน้ำสีเขียวมรกต ไม่เพียงเท่านั้น ก็ยังเปลี่ยนกันถ่ายรูปเก็บไว้ จังหวะนั้นเสียงแจ้วๆ พูดไม่หยุดก็ดังขึ้น เธอหันไปมองก็เห็นสามีพาสาวหน้าขาวเดินชมบรรยากาศแทนที่จะเป็นซิงเหยียนที่เดินข้างเขาชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมใส่แว่นตาสีดำสนิท เดินล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้านิ่งเฉย แต่คนที่พูดไม่หยุดก็คงเป็นคุณหนูจาง“พี่หยาง นั่นภรรยาพี่นี่คะ”เขาเห็นแต่ที่ไม่อยากพูดอะไร เพราะบุคลิกก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว“ท่านประธานกู้ แทนที่จะพาภรรยาเดินเล่น แต่กลับควงคุณหนูตระกูลดังเดินเล่นแทน แล้วบอกว่ามาฮันนีมูนไม่ทราบว่าฮันนีมูนกับใครกันแน่”เป็นเสียงของซูซ่านที่พูดประชด เธออดไม่ได้ที่จะว่าเขาแทนเพื่อน แต่ถูกซิงเหยียนสะกิดไว้ก่อน“เธอเดินเล่นกับเพื่อนได้ใช่ไหม แม่อยากให้ฉันดูแลลี่ถิง กลัวเธอจะเหงา”ซิงเหยียนมองแต่เธอไม่ได้พูด ความรู้สึกตอนนี้เริ่มไม่ดีเอามากๆ เขาบอกว่าจะมาฮันนีมูนกับเธอ แต่ดันเทคแคร์คนอื่น แบบนั้นมันไม่ให้ค่ากันเลยด้วยซ้ำจังหวะที่เธอเงียบ เสียงโพล่งมาจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น“งั้นพี่พาพวกเธอเดินเที่ยวเองแล้วกัน”เสียงของห
สองพี่น้องชวนกันคุยขณะที่เท้าก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ตงหยางที่เดินตามหลังภรรยาได้ยินทุกคำแต่ก็ไม่ได้พูด ส่วนคนที่อยากพูดด้วยก็เหมือนพยายามยิ้มให้เขาแต่คนหน้านิ่งอย่างตงหยางหรือจะมอง“ตงหยาง ดูสิแม่ได้ห้องเบอร์ไหน”ชายหนุ่มหันมามองแม่พร้อมเอื้อมไปหยิบบัตรคีย์การ์ด บ้านพัก เมื่อเห็นว่าหมายเลขไหนก็กวาดสายตามองตามแถวบ้าน แล้วชี้นิ้วให้แม่ดู“ด้านนั้นครับ”“เดินไปส่งแม่หน่อยได้ไหม”“คุณหนูจางคุณรู้จักใช่ไหม”เขารู้ว่าระดับคุณหนูตระกูลจางย่อมรู้อยู่แล้ว การที่แม่นอนห้องเดียวกับเธอก็ไม่มีอะไรน่าห่วง“เราสองคนเป็นผู้หญิงทั้งคู่ แกจะใจดำไม่เดินไปส่งหน่อยเหรอ”เขาเองก็เป็นคนไม่พูดมากและไม่อยากมีปัญหา เมื่อแม่บอกแบบนั้นก็สาวเท้านำปล่อยให้ซิงเหยียนยืนมอง สายตาของเธอแฝงความเศร้าเต็มเปี่ยม ทำไมกัน แม่สามีถึงรังเกียจเพียงนี้ แถมยังพาหญิงอื่นมาประเคนลูกชาย แค่เอาอีกฝ่ายมาร่วม ร่างเล็กก็มองออกแล้ว“เหยียนเหยียน แม่สามีเธอร้ายมาก แล้วยายคนนั้นก็ไม่รู้จักละอาย รู้ทั้งรู้ว่าพี่หยางแต่งกับเธอแล้วยังกล้ามา หน้าตาก็ดีทำไมหาผัวเองไม่ได้หรือไง”“ช่างเขาเถอะซู ฉันคงชินแล้วละ”“ซิงเหยียน เรื่องของเธอพี่ไม่อยากก้าวก่าย
หลายวันผ่านไปอาการของซิงเหยียนดีขึ้น และได้กลับมาทำงานที่แผนกบัตรที่โรงพยาบาลตามเดิม เพราะไม่อยากให้แม่สามีค่อนแคะเธอ เดี๋ยวจะหาว่าป่วยเพื่อไม่อยากทำงาน ส่วนตงหยางก็เข้าบริษัทเหมือนทุกครั้ง แทบจะไม่มีวันหยุดให้กับครอบครัว คำว่าฮันนีมูนคงไม่มีสำหรับภรรยาคนนี้“เหยียนเหยียน ช่วงวันหยุดเราไปพักผ่อนกันไหม”เสียงแจ้วเสนอ ในขณะที่ตัวของซูซ่านเข้ามาหาเพื่อนในช่วงพักกลางวัน คำว่าพักผ่อนทำให้เธอก็อยากไป แต่ไม่รู้ว่าจะมีปัญหากับคนที่บ้านหรือเปล่า“พักผ่อนเหรอ ที่ไหนล่ะ”“ฉันอยากไปทะเล ลมเย็นๆ น่าจะดีนะ”“ไม่รู้ว่าฉันจะไปด้วยได้หรือเปล่าน่ะสิ”“ทำไมล่ะ”“ก็...”“อย่าบอกนะว่ากลัวพี่หยางไม่ให้ไป”“บางทีเขาอาจไม่สนใจหรอก แต่ก็อยากบอกให้เขารู้ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะมีเรื่องตามมาทีหลัง”ซูซ่านก็เหมือนจะเข้าใจเพื่อน เพราะมาเฟียหน้าตายอย่างตงหยางเป็นคนอารมณ์ร้อน หากไม่พอใจก็คงอาละวาด เสียงร่ำลือวงในเธอเองก็พอรู้ ว่าเขาร้ายขนาดไหน“งั้นเธอลองบอกเขาก่อน หากยังไงฉันจะได้ชวนพี่ซางไปด้วย”“อืม”เหมือนจะลำบากใจที่จะบอกว่าอยากไปพักผ่อนกับเพื่อน เธอไม่รู้ว่าตงหยางจะอนุญาตหรือปฏิเสธเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แท
ซิงเหยียนตกใจอยู่เล็กน้อย ต้องแปลกใจว่าเขาไปไหนมาที่ไม่ไปเยี่ยมเธอตั้งแต่เมื่อวาน แต่พอเห็นร่างของหญิงสาวหน้าตาดียืนเคียงข้างแม่สามี ซิงเหยียนยิ่งรู้สึกใจแป้วขึ้นมา“แค่เป็นไข้หวัด ที่จริงเธอน่าจะกินยาก็หายแล้วนะ”“แม่ครับ หากกินยาหายจริง ซิงเหยียนคงไม่หมดสติหรอก ดีเท่าไรแล้วที่มีคนขึ้นไปพบ”เสียงคัดค้านของตงฉินทำเอาผู้เป็นแม่จิปากเหมือนไม่พอใจ ก่อนจะหันมาทางตงหยาง หมายจะบอกลูกชายให้ขึ้นไปอาบน้ำมากินข้าวเพราะตนมีแขก ทว่า“ไม่ใช่ธุระของนายแล้ว ฉันจะพาซิงเหยียนขึ้นห้องเอง”พูดจบก็รีบมาประคองเมียขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อมาถึงห้องก็ปล่อยร่างของซิงเหยียน ทว่าสิ่งที่เขาควรถามกลับไม่ถาม แต่สิ่งที่ไม่ควรถามดันพูดขึ้น“เธอป่วยแล้วทำไมต้องให้ตงฉินไปรับ ทำไมเรื่องที่เธอป่วยฉันไม่รู้”“พี่หยาง เมื่อวานพี่ฉินเขาบอกว่าโทร.หาพี่แล้ว แต่พี่ไม่รับ”“ทำไมต้องให้ตงฉินเป็นคนโทร. โทรศัพท์เธอไม่มีหรือไง”“ก็ฉันป่วย พี่ก็ได้ยินที่พี่ฉินบอก ฉันสลบและไปฟื้นที่โรงพยาบาล ตอนนี้โทรศัพท์ฉันก็ยังอยู่ที่บ้าน พี่ฉินพึ่งเอาไปให้เมื่อเช้า”“อ้อ ทุกอย่างเลยเป็นตงฉินสินะ ที่คอยใส่ใจเธอ”“ใช่ค่ะ”“ซิงเหยียน!”“พี่หยาง
“พี่ซาง สรุปฉันออกโรงพยาบาลได้ไหม”น้ำเสียงที่เอ่ยถามคล้ายจะหย่อนยานสักนิด ซิงเหยียนเหมือนคนอมทุกข์ ดวงตาของเธอก็ไม่ค่อยสดใสหรือเพราะหญิงสาวอาจจะป่วยอยู่เลยทำให้ทุกอย่างบนใบหน้าเศร้าตามไปด้วย“หากไม่มีไข้ เดี๋ยวเย็นๆ พี่จะเซ็นเอกสารให้ออก แต่จากนี้ถึงเที่ยงต้องรอดูอาการก่อน โอเคไหม”“ขอบคุณค่ะ”“การได้กลับไปนอนที่บ้านก็ยังอุ่นใจกว่าอยู่ที่นี่ จริงอย่างที่ตงฉินบอกว่าเธอไม่มีเพื่อน ไม่มีใคร คนที่บ้านคงมีแต่พี่ฉินที่เป็นห่วงเธอรวมทั้งป้าไฉด้วยบรรยากาศภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ดูเหมือนจะปกติ ที่บอกว่าปกติเพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เงียบอย่างไรก็เงียบอย่างนั้น ประกอบกับผู้คนในบ้านก็ไม่อยู่ จะมีก็แค่คุณนายหลี่เท่านั้นที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เพราะอายุตอนนี้ก็เข้าวัยอาวุโสหกสิบกลางๆ“อาฟาง เมื่อคืนคุณชายใหญ่กลับบ้านมาหรือเปล่า ไม่ใช่ไปนอนเฝ้านางคนใช้ที่โรงพยาบาลหรอกนะ”“ไม่หรอกค่ะคุณนาย เพราะเมื่อคืนนี้รู้สึกว่าคุณชายใหญ่จะไม่ได้เข้าบ้าน แต่เมื่อเช้าเหมือนคุณชายรองรีบออกบ้านแต่เช้าค่ะ”“ตงฉินเลือดพ่อมันแรงจริงๆ บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง เอาเถอะ ดีแล้วที่ตงหยางไม่กลับเข้าบ้าน”“แล้วเรื่องที่คุณซิงเหยียนป่ว
คำพูดเหมือนจะปลอบใจซิงเหยียนมากกว่า หญิงสาวเห็นแววตาของตงฉินล่อกแล่กอยู่นิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตงหยางคงไม่เห็นเธอสำคัญอยู่แล้ว เพราะเขาพูดแบบนั้นตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เธอนอนโรงพยาบาล จะมีแค่พี่ฉินเท่านั้นที่มาเยี่ยม ส่วนตงหยางไม่เคยถามไถ่กันเลยด้วยซ้ำ“แล้วพี่ไม่ไปทำงานหรือไง”“ยายบื้อ นี่มันจะหกโมงเย็นแล้ว ใครเขาทำงานถึงค่ำกันล่ะ”ก็คงจะมี ขนาดสามีเธอป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมาเยี่ยมเลยสักครั้ง“เหรอคะ”“เอาละ ฉันจะเฝ้าไข้เธอเอง”“พี่ฉิน ฉันว่าพี่กลับไปเถอะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว พอช่วยเหลือตัวเองได้ อีกอย่างที่นี่เขามีพยาบาล พี่เองก็ต้องพักผ่อน ฉันไม่อยากทำให้พี่ต้องลำบาก”ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าสงสาร ตงฉินมองหน้าหญิงสาว แม้จะรักซิงเหยียนเหมือนน้องสาว แต่ก็แอบคิดว่าหากพี่ชายดูแลเธอไม่ได้ ตัวเองก็พร้อมที่จะยืนข้างๆ คนตัวเล็ก“ก็ได้ งั้นฉันจะฝากหมอซางไว้แล้วกัน เผื่อมีอะไรให้เขาโทร.หา หมอซางเป็นหมอประจำตัวเธอนะ”“เหรอคะ”ตงฉินลุกขึ้นพร้อมกับจะเอื้อมมือไปลูบที่หัวของซิงเหยียนเหมือนที่เคยกระทำเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เธอกลับเอียงหัวออกไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เพราะความเหมาะสมของ
รุ่งเช้าร่างกายอิดโรยจากศึกในเมื่อคืน ซิงเหยียนขยับเปลือกตาทีละน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่น พร้อมกวาดมองโดยรอบบนเพดาน เธอพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้สึกปวดตามตัวไปหมด“กี่โมงแล้วเนี่ย”น้ำเสียงเหือดแห้งถามตัวเองก่อนที่จะขยับไปหยิบมือถือที่โต๊ะโคมไฟข้างๆ เมื่อมองดูแล้วก็สายกว่าทุกวัน ทว่า เธอคงไปทำงานไม่ไหวจริงๆแค่มองเวลาก็คิดว่าต้องโทร.ลาป่วยที่แผนก ก่อนจะส่งข้อความบอกคุณหมอซางอีกคนเท้าของซิงเหยียนค่อยๆ หย่อนลงแตะที่พื้น ภายในห้องอันแสนว่างเปล่า แน่นอนว่าคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คงออกไปทำงานแล้ว“พี่หยาง พี่มันไร้หัวใจจริงๆ”เธอบ่นให้เขาขณะที่เท้าน้อยๆ กำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อร่างเล็กแทรกตัวเข้าไปก็หยุดยืนส่องกระจกสะท้อนเงาตัวเอง“บ้าจริง!”ที่เปล่งออกมาแบบนั้น เพราะรอยคมเขี้ยวที่ฝังอยู่บนตัวเธอมันแดงเป็นจ้ำๆ ไปหมด แถมต้นแขนเล็กยังมีรอยช้ำจากแรงบีบของเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคชะตานี้ว่าอย่างไร แต่สิ่งที่หญิงสาวทำได้คือ ทน!ซิงเหยียนจัดการตัวเองพร้อมทั้งลาป่วยที่แผนก แต่ก็ไม่ลืมบอกผู้บริหารอีกคน กลัวเขาจะผิดหวังในตัวเธอ ที่อุตส่าห์รับเข้ามาทำงานร่างเล็กพยุงร่างต
Comments