'ก๊อก ก๊อก ก๊อก!'ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก!ฉินซูรู้สึกร้อนตัว ตะโกนถามออกไปที่ประตูว่า "ใคร?""เรียนบุตรแห่งนักปราชญ์ มีคนข้างนอกมาขอพบท่านเจ้าค่ะ!" เสียงสาวใช้ของหอดารารักษ์ฉินซูจึงถอนหายใจโล่งอก "อืม ข้ารู้แล้ว"หลังจากเก็บหน้ากากหนังและผ้าปิดตาเรียบร้อย เขาก็เปิดประตูเดินลงไปชั้นล่างขณะเดียวกัน ในใจเขาก็ยังสงสัยเป็นอย่างยิ่ง วันนี้เหตุใดจึงมีคนมากหน้าหลายตามาหาเขาเช่นนี้?หรือว่าจะเป็นองค์ชายคนใดของแคว้นเป่ยเยี่ยนอีก?ยังมิทันถึงประตู ซ่างกวนอวิ๋นซีก็เดินสวนเข้ามาพอดีนางยิ้มแย้มมองฉินซู พลางเย้าแหย่ว่า "ฉินซู เจ้านี่โชคดีเหลือเกินนะ สตรีรอบกายเจ้าแต่ละคนงดงามกว่าใครทั้งนั้น!"ฉินซูถามด้วยความงุนงง "ท่านพูดเรื่องกระไร?""ไม่มีกระไร แค่อยากจะเตือนเจ้าสักหน่อยว่า หอดารารักษ์ของข้า มิรับคนมิเอาการเอางาน!"ซ่างกวนอวิ๋นซีทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ แล้วก็เดินขึ้นชั้นบนไปฉินซูสับสนยิ่งกว่าเดิม จึงรีบเดินไปทางประตูอย่างใจร้อนและเห็นเงาร่างอรชรร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นนี่คือสตรีรูปร่างสมส่วนอายุราว ๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี นางมีรูปโฉมงดงามหมดจด ผิวพรรณผุดผ่องใส
“มิได้ ๆ ท่านกับข้าแม้เพิ่งรู้จักกัน แต่เมื่อได้พูดคุยกันแล้ว กลับสนทนาถูกคอยิ่งนัก อุปนิสัยของท่านดีกว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นท่านเสียอีก”ได้ยินดังนั้น มู่หรงหัวแอบดีใจอยู่ลึก ๆ ยังคงถามต่อไปอย่างมิลดละ “เช่นนั้นสหายฉินพอจะพิจารณาดูได้หรือไม่...”“โธ่ สหายมู่หรง อย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจเลย มิฉะนั้นชาถ้วยนี้ ข้าคงซดมิลงเสียแล้ว”“ก็ได้ ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะมิฝืนใจท่าน เพียงแต่ขอให้สหายฉินจงเชื่อมั่น การที่ข้าคบหาสมาคมกับท่าน ล้วนมาจากความจริงใจ มิได้มีเจตนาแอบแฝงอันใด”“เรื่องนี้ข้าทราบดี!”สายตามู่หรงหัวสั่นไหวเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากถามอีกครั้ง “จริงสิ สหายฉิน พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า ท่านโค่นล้มคู่แข่งเหล่านั้นไปทีละคนได้อย่างไร?”แววตาแห่งชัยชนะวาบผ่านส่วนลึกของดวงตาฉินซู จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ “เฮ้อ เรื่องมันยาว ข้าเองต้องล้มเหลวหลายครั้งหลายครา กว่าจะกำจัดพวกเขาได้”“มิใช่กระมัง? ท่านใช้เวลาเพียงมิกี่เดือน ก็โค่นล้มอ๋องหนิงและอ๋องฉีได้ทั้งหมดแล้วมิใช่หรือ? ดูเหมือนพวกเขาจะถูกลดตำแหน่งและเนรเทศออกจากเมืองหลวงแล้วนี่!”“ความจริงก็เป็นเช่นนั้น แต่ในระหว่างนั้น เส้นทางช่าง
ฉินซูยิ้มพลางกล่าวว่า “ปกติข้าชอบคบค้ากับสหาย ดีใจยิ่งนักที่ได้รับเกียรติจากองค์ชายสามถึงเพียงนี้ จะมิให้ยินดีได้อย่างไร!”“ในเมื่อยินดี เช่นนั้นต่อไปสหายฉินก็เลิกเรียกข้าว่าองค์ชายสามเถิด นี่มิใช่คำเรียกขานระหว่างสหาย”“ถ้าเช่นนั้น… ให้เรียกท่านว่าสหายมู่หรงหรือ?”“ย่อมได้! ฟังดูสนิทสนมกันมากขึ้นหลายเท่าทีเดียว!” มู่หรงหัวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีฉินซูจิบชาอีกครั้ง แล้วเริ่มบทสนทนาผ่อนคลายกับเขาจุดประสงค์ที่มู่หรงหัวเชิญเขามา เขารู้ดีแก่ใจ เพียงแต่เมื่ออีกฝ่ายมิได้เอ่ยปากก่อน เขาก็ขี้เกียจจะซักไซ้มิฉะนั้นแล้ว ก็ดูเหมือนตนจะใจร้อนเกินไปสนทนากันไปได้ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดมู่หรงหัวก็อดรนทนมิไหว “ว่าแต่สหายฉิน ข้าได้ยินมาว่าเสด็จพี่องค์รัชทายาท มักจะไปหาท่านในช่วงนี้ มิทราบว่าท่านทั้งสองพูดคุยเรื่องใดกันหรือ?”พอกล่าวจบ เขาก็รู้สึกว่าตนพูดจาละลาบละล้วงเกินไป จึงอธิบายต่อว่า “สหายฉินอย่าได้เข้าใจผิด เสด็จพี่องค์รัชทายาทเป็นแบบอย่างของพวกเรา ในฐานะน้องชาย ย่อมใคร่เรียนรู้จากพระองค์ให้มาก”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่สหายมู่หรงอาจจะเข้าใจผิดไป องค์รัชทายาทของท่านมาหาข้าเพียงสองครั้งเท่านั
ภายในคฤหาสน์ที่ดูมิโดดเด่นแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนกอดอกอยู่ภายในศาลาของลานด้านหลัง จ้องมองบ่อน้ำที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนแม้เขาจะสวมอาภรณ์ธรรมดา แต่ดวงหน้ากลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสูงศักดิ์บางเบาทันใดนั้น ชายผู้หนึ่งที่มีอายุไล่เลี่ยกันก็เดินตรงเข้ามาชายผู้นั้นประสานมือโค้งคำนับเขาแล้วจึงเอ่ยปากว่า “ทูลองค์ชาย ท่านผู้นั้นกำลังเดินทางมาพ่ะย่ะค่ะ”ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงใจ “ดีมาก ข้ายังนึกว่าเขาจะมิมาเสียอีก!”“องค์ชาย เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน การที่พระองค์ติดต่อกับเขาเป็นการส่วนตัว จะมิก่อให้เกิดคำครหาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“องค์รัชทายาทของเราก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาเช่นกันมิใช่หรือ เขายังมิเห็นกลัว แล้วข้าจะกลัวอันใด? ยิ่งกว่านั้น สถานที่แห่งนี้ลับตาผู้คน บางทีอาจจะไม่มีผู้ใดรู้เลยก็ได้ว่าข้าพบฉินซูที่นี่”“จะว่าไปก็ใช่ ขออภัยที่กังวลเกินกว่าเหตุพ่ะย่ะค่ะ”ชายหนุ่มโบกมือ พลางกล่าวว่า “ไปเตรียมชาเถอะ ข้าจะไปต้อนรับด้วยตัวข้าเองที่หน้าประตู”ชายผู้นั้นตะลึงงัน ไต่ถามด้วยความประหลาดใจว่า “องค์ชาย เขาเป็นเพียงองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนเท่านั้น ไฉ
มู่หรงโม่กล่าวจริงจังว่า “สหายฉิน สถานการณ์ของข้าในยามนี้ใกล้เคียงกับที่ท่านเคยประสบพบเจอมาก่อน ท่านสามารถโค่นล้มบรรดาองค์ชายทั้งหลายได้ในเวลาเพียงมิกี่เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านฉลาดหลักแหลมเพียงใดดังนั้น ข้าจึงใคร่ขอให้ท่านช่วยวางแผนการให้ข้า ช่วยข้าล้มล้างผู้ที่หมายปองตำแหน่งรัชทายาทไปทีละคน หากสำเร็จ ข้ามู่หรงโม่จะติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงต่อสหายฉินในภายภาคหน้า หลังจากที่ข้าได้ขึ้นครองราชย์แล้ว ข้าขอรับรองว่าจะมิรุกรานชายแดนต้าเหยียนของท่านเป็นอันขาด!”ฉินซูลูบคาง ทำท่าครุ่นคิดผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงเอ่ยปากว่า “สหายมู่หรง เหตุผลที่ข้าสามารถโค่นล้มอ๋องหนิงและคนอื่น ๆ ได้นั้น เป็นเพราะพวกเขาประพฤติมิชอบและขุดหลุมฝังตัวเอง อยากถามว่าตอนนี้ท่านจับจุดอ่อนกระไรของพวกเขาได้บ้างหรือไม่?”“หามีไม่”“เช่นนั้นก็คงทำได้ยากแล้ว มิเช่นนั้น... ท่านลองเฝ้าสังเกตสถานการณ์ไปก่อนเป็นอย่างไร?”มู่หรงโม่พยักหน้าพลางตรึกตรอง “รุกกลับหลังจากที่พวกเขาเผยจุดอ่อนอย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่หากพวกเขากระทำการอย่างระมัดระวังเล่า จะทำอย่างไร?”ฉินซูกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านก็ต้องทำหน
ต่อมาเขาก็นำม้วนหยกจารึกแช่ลงในถาดไม้ที่บรรจุน้ำไว้ แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดปรากฏอยู่ดี“ดูท่าข้าจะคิดตื้น ๆ เกินไป”ฉินซูส่ายหน้าจนใจ แล้วหยิบม้วนหยกจารึกออกมาจากถาดไม้ทันใดนั้น ปลายนิ้วของเขาก็ถูกเสี้ยนไม้ข้างถาดตำเข้า เลือดสีแดงสดซึมออกมาจากปลายนิ้วและแล้วเหตุการณ์ที่ฉินซูคาดมิถึงก็ปรากฏขึ้นหลังจากที่เลือดเปรอะม้วนหยกจารึก พื้นผิวของม้วนหยกจารึกที่ว่างเปล่าก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ตัวอักษรสองสามตัวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวฉินซูดีใจอย่างยิ่ง จากนั้นจึงใช้เลือดบนปลายนิ้วป้ายไปทั่วทั้งม้วนหยกจารึกเนื้อหาที่บันทึกอยู่บนนั้น ในที่สุดก็ปรากฏแก่ธารสายตาอย่างชัดเจนและยังเขียนด้วยอักษรจีนตัวย่ออีกด้วย!ฉินซูสะกดกลั้นความตื่นเต้นในใจ แล้วค่อย ๆ พิจารณาดูอย่างละเอียดมันกลายเป็นวิชายุทธ์บทหนึ่ง!ยิ่งดูสีหน้าของเขาก็ฉายแววยิ่งตื่นเต้น แต่พออ่านถึงตอนท้าย คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน“ลึกล้ำยิ่งนัก คัมภีร์มหาสัจธรรมนี้ถือว่าเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาเท่าที่ข้าเคยพบเจอ แต่กลับต้องใช้เลือดบริสุทธิ์เป็นสื่อกระตุ้น ดูอย่างก็ออกแนวชั่วร้ายไปหน่อย หรือว่า... นี่จะเป็นวิชามารกันแน่?”จากนั้นเขาก็ใช้เลือดจากปล