“เราควรบอกท่านเพียงว่าคุณวิษณุประสบอุบัติเหตุ คุณเจอเขาอีกทีเขาก็มีอาการอย่างนี้แล้ว ไม่มีใครเห็นว่าเขาประสบอุบัติเหตุอย่างไร เพียงพบเขานอนอยู่บนพื้นในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเขาหายตัวไปจากโรงแรมที่พัก ไม่พบร่องรอยบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บอะไร” ชายหนุ่มออกความคิด “เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่าถูกสูบขวัญวิญญาณเป็นไหนๆ” หญิงสาวยิ้มฝืดๆ อย่างจนปัญญา “ฉันจะส่งพี่ณุเข้าโรงพยาบาลไปตรวจเช็กสมองอย่างละเอียด เผื่ออาจจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง” “ดีครับ” ชายหนุ่มเห็นด้วย แม้จะรู้แก่ใจว่าไม่มีวิทยาศาสตร์แขนงไหนสามารถช่วยเหลือวิษณุให้กลับมาเหมือนเดิมได้ เครื่องบินที่ธีรา จามิล และวิษณุโดยสารมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ธีราพาวิษณุขึ้นแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน เธอไม่ได้บอกทางบ้านถึงเวลาที่เดินทางกลับ ส่วนจามิลก็มาส่งธีราและวิษณุถึงบ้านก่อน จึงเข้าพักในโรงแรมสภาพค่อนข้างดีแห่งหนึ่งในกรุงเทพ กลับถึงบ้านธีราโผเข้ากอดมารดาที่มองมาด้วยสายตายินดี แม้จะประหลาดใจที่อยู่ๆ ลูกสาวก็กลับมาถึงบ้านโดยไม่บอกไม่กล่าว “คิดถึงแม่จังเลยค่ะ” หญิงสาวกล่าวจากใจจริง “แม่ก็
สิ่งที่ได้ฟังทำให้หญิงสาวชาวไทยพลอยยินดีกับนางพญาอาโรจนาและพญานาคราชชมพูจนอดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ “ดิฉันดีใจจริงๆ ค่ะ ที่ทั้งสองสมหวังในความรักสักที...แต่ เอ้อ...” ราชฤาษีเห็นหญิงสาวมีท่าทางอึกอัก ก็รู้ว่าเธอมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูด “เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ” พอได้รับคำอนุญาตจากราชฤาษี ธีราก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขอร้อง “ดิฉันอยากจะขอให้ท่านช่วยพี่วิษณุค่ะ ให้เขามีสติเป็นปกติ ไม่ใช่คนเอ๋อแบบนี้” “ปกติเจ้าไม่ชอบเขามิใช่หรือ?” ราชฤาษีถาม “ค่ะ ดิฉันไม่ชอบเขาเพราะว่าเขาเอาแต่ใจตัวเองเกินไป” “แล้วทำไมถึงได้ขอร้องแทนเขา?” “ดิฉันสงสารคุณป้าจิตราคุณแม่ของพี่ณุค่ะ คุณป้ามีลูกคนเดียวคือพี่ณุ แล้วพี่ณุมาเป็นแบบนี้ คุณป้าคงต้องเสียใจมากค่ะ” “เจ้าขอได้ แต่เราไม่ให้” ราชฤาษีตอบด้วยสุรเสียงเรียบๆ “ทำไมคะ?” หญิงสาวถามอย่างสงสัย “ทุกคนมีบาปบุญเป็นของตนเอง” ราชฤาษีกล่าวหนักแน่น “เวลานี้วิษณุกำลังรับผลแห่งบาปที่เขาเคยก่อเอาไว้อยู่ ส่วนนารีผลที่สูบขวัญวิญญาณของเขาไปนั้น นางได้กลายเป็นมนุษย์มีเลื
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คุณเก็บผลไม้นี้ให้ดีเสียก่อนเถอะ เพราะไม่ว่ามันจะหอมหรือเหม็น มันก็ผ่านด่านตรวจไม่ได้” จามิลเตือน สีหน้าระบายยิ้มจางๆ “ถูกต้องค่ะ ฉันต้องใส่ถุงพลาสติก ผูกปากถุงให้แน่น ป้องกันกลิ่นโชยออกมา” หญิงสาวเอ่ยพลางทำตามที่พูด นำถุงพลาสติกบรรจุผลไม้จากกันเดนเก็บใส่กระเป๋าสะพาย “คุณเก็บของให้เรียบร้อยนะครับ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางกัน” จามิลบอก “พวกเรา?” หญิงสาวเลิกเรียวคิ้วงามเป็นเชิงถาม “ครับ คุณ ผม และคุณวิษณุ ผมว่าจ้างรถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “คุณจะไปกับฉันและพี่ณุหรือคะ?” หญิงสาวถามเพื่อความมั่นใจ “ครับ คุณอยากรู้เหตุผลไหมครับ?” ชายหนุ่มย้อนถาม หญิงสาวนิ่ง เธอดีใจที่จะมีเขาไปด้วย ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลหรือไม่มีก็ตาม ทว่าจามิลยังคงอยากอธิบายเหตุผล “ผมมีเหตุผลทั้งทางฝ่ายคุณและฝ่ายผม ฝ่ายคุณคือคุณต้องการคนดูแลคุณวิษณุระหว่างเดินทาง คุณเป็นผู้หญิงคงไม่สะดวก แต่ผมเป็นผู้ชายผมสะดวก ส่วนทางนี้...ไม่ช้าก็เร็วคนในคีรีมันจะต้องรู้ว่าผมไปกันเดนมา แล้วผมก็จะ
“ใครบอกให้คุณดูแลพี่ณุ?” ธีราเพิ่งมีโอกาสเปิดปากถามเป็นประโยคแรก “ก็ราชฤาษีน่ะสิ อยู่ๆ ก็พูดเจาะจงให้ฉันดูแลคุณณุ” หลิงสะบัดเสียงตอบ “ท่านมีเหตุผลอะไรที่ให้ทำอย่างนั้น?” หญิงสาวถามเสียงเรียบ “ก็…” หลิงพูดอึกอัก หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ราชฤาษีชนะกานตะอย่างไม่ยากเย็น เป็นการต่อสู้ที่สวยงามและตื่นตาตื่นใจ แม้ได้รับชัยชนะแต่ราชฤาษีไม่คิดทำร้ายกานตะ เพียงรับสั่งสุรเสียงเฉียบ “เจ้าแพ้เราแล้ว เจ้าจะต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวที่ไปกันเดนนั่น” กานตะขบฟันกรอดๆ จนเห็นสันข้างแก้ม ไม่พูดไม่จา สะบัดหน้าแล้วผละจากไปโดยไม่สนใจคณะเดินทางแม้แต่น้อย “แล้วพวกเราจะทำอย่างไร?” ต้าเอ่ยขึ้น “เราจะส่งพวกเจ้ากลับไปยังโลกที่พวกเจ้ามา แต่พวกเจ้าจะต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง นึกถึงสถานที่เดียวกันให้ดี” ราชฤาษีรับสั่ง คณะเดินทางจึงปรึกษาหารือกันแล้วลงความเห็นว่าวัดกัมโปเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนรู้จัก จึงเลือกวัดกัมโปเป็นจุดหมายปลายทางในใจของทุกคน “พวกผมจะกลับไปวัดกัมโปขอรับ” ต้าและหลงเอ่ยขึ้นพร้อมเพียง “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้
สวนดอกไม้มีพระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่งยืนรออยู่ “ท่านคุรุ” ดอกเตอร์ธีระตรงเข้าไปยกมือพนมไหว้และค้อมศีรษะ ธีราและจามิลเดินไปยกมือไหว้ตามอย่างดอกเตอร์ธีระ คุรุกันปะพยักหน้าก่อนเอ่ยถาม “เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” “พร้อมครับ” จามิลเป็นคนตอบ “ถ้าเช่นนั้นก็ตั้งจิตนึกถึงสถานที่ที่จะไปให้มั่นคง แล้วเจ้าทั้งสองคนจะไปถึงที่นั่น” ท่านคุรุกล่าวช้าๆ “ครับ” จามิลรับคำพลางพนมมือและโค้งคำนับอีกครา แล้วหันไปเอ่ยกับดอกเตอร์ธีระ “ดอกเตอร์ ผมลานะครับ” “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” ดอกเตอร์ธีระกล่าว ยื่นมือให้จามิลจับ ทั้งสองจับมือกันกระชับมั่น “ผมฝากลูกสาวด้วยนะจามิล” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “ครับ ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุด” หนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ารับคำหนักแน่น “ฝากความคิดถึงท่านอาจารย์ด้วยนะศิษย์พี่” เณรคังเอ่ย “อย่าลืมบทสวดที่ท่านอาจารย์สอนละ” คนเป็นศิษย์พี่เอ่ย “ผมไม่ลืมแน่นอนครับ” เณรคังรับคำด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “คุณธีรากราบลาคุณพ่อสิครับ” จามิลพูดเตือนหญิงสาว หญิงสาวร้องไห้โฮพร้อมกับ
ที่นี่ ตอนแรกที่พ่อมาถึงที่นี่และรู้ตัวว่ากลับไม่ได้พ่อแทบคลั่งตาย แต่สภาพอากาศของที่นี่ค่อยๆ ชะล้างความทุกข์ ความเศร้าโศกออกจากใจ คนที่นี่ยังมีลักษณะของคนอยู่ประการหนึ่งก็คือต้องสูดลมหายใจ แต่อากาศของที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถชะล้างอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ความเศร้าโศกต่างๆ นานาให้หมดไป จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร” เอ่ยถึงตรงนี้ดอกเตอร์ธีระได้พาธีราและจามิลมาถึงกระท่อมที่พัก กระท่อมก่อด้วยทับทิมสกัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนอิฐบล็อก “นี่คือบ้านของพ่อ” ดอกเตอร์ธีระเอ่ย “ที่จริงคนที่นี่ไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านก็ได้ เพราะที่นี่ไม่มีฝนตก ไม่มีแดดออก ไม่มีพายุ ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว แต่พ่อยังชอบความเป็นส่วนตัวอยู่” เมื่อธีราและจามิลเดินเข้าไปในกระท่อมก็เห็นเณรคังกำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาพริ้มอยู่บนตั่งที่เป็นพลอยไพลินทั้งก้อน “คัง” จามิลเรียกเบาๆ เณรคังลืมตา ดวงตาสดใสเปี่ยมสุข ก่อนโห่ร้องเบาๆ “ศิษย์พี่!” แล้วผุดลุกจากที่นั่ง เดินเข้ามาหาพลางพูดด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่กับคุณผู้หญิงที่สวยเหมือนพระโพธิสัตว์มาถึงจนได้ พวกเราจะได้อยู่พร้อมห