เมื่อบิดาหายสาบสูญไปเป็นสิบปีไม่มีข่าวคราว บุตรสาวอย่างธีราจึงเดินทางมายังคีรีมันเพื่อตามหาบิดา ดอกเตอร์ธีระ ซึ่งหลงใหลในตำนานแดนอารยะ กันเดน อย่างมาก กันเดนที่ตำนานเล่าลือว่าเต็มไปด้วยเพชรนิลจินดา กันเดนที่ผู้ไปถึงจะเป็นอมตะ ธีราไม่รู้ว่าพ่อของเธออยู่ที่กันเดนหรือเปล่า แต่เธอก็จะไปตามหาพ่อที่กันเดน แต่ก่อนจะไปตามหาพ่อที่กันเดน เธอต้องเดินทางไปยังคีรีมันที่อยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหลังคาโลกเสียก่อน ที่คีรีมัน เธอเกือบถูกพรานนำทางโกงเงิน หากไม่ได้พระสงฆ์แห่งวัดกัมโปรูปหนึ่งช่วยไว้ พระสงฆ์รูปนี้คือพระจามิล พระจามิลเข้าใจดีว่าการไปกันเดนนั้นยากลำบากมาก ก็ก็ยังตกลงยินยอมเป็นผู้นำทางให้แก่ธีรา คณะเดินทางที่มีทั้งเด็กอย่างเณรคัง ผู้หญิงอย่างธีรา ตัวถ่วงและตัวป่วนอย่างวิษณุ ก็ดั้นด้นฟันฝ่าเขาสูงชันหุบเหวลึกอย่างทุลักทุเล... มาเอาใจช่วยกันนะคะ ว่าทุกคนจะไปถึงกันเดนกันมั้ย...
View Moreภิกษุชราผู้มีคิ้วเคราขาวโพลน ร่างซูบผอม ครองจีวรสีแดง เอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนเหลือบสายตาแจ่มใสที่ดูขัดกับวัยมองหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวผู้มาจากดินแดนอื่น
หญิงสาวผู้มีดวงหน้างดงามราวพระโพธิสัตว์ ห่อหุ้มเรือนร่างงามไว้ภายใต้เสื้อขนสัตว์ราคาแพง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมที่พื้นตรงหน้า เธอสบตาภิกษุชราแน่วนิ่ง
ท่านยิ้มน้อยๆ อย่างเมตตาการุณย์แล้วกล่าวต่อ “กันเดนเป็นเพียงดินแดนในตำนาน เล่าขานสืบต่อๆ กันมาว่า คนที่ไปถึงจะไม่ได้กลับ ส่วนคนที่กลับมาได้ก็คือคนที่ไปไม่ถึง”
“ท่านจะบอกดิฉันว่ามันไม่มีอยู่จริงหรือคะ?” หญิงสาวถาม เรียวคิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย
“จริงหรือเท็จอาตมาตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่อาตมารู้ก็คือนานนับพันปีแล้วที่มีคนออกค้นหาดินแดนแห่งนี้ ทว่าส่วนใหญ่ไปแล้วไม่มีใครกลับมา” ภิกษุชราเอ่ยช้าๆ
“ส่วนใหญ่ไม่กลับมา ก็หมายความว่ามีส่วนน้อยที่ได้กลับมา” หญิงสาวถาม พยายามจับช่องโหว่ในคำพูดของท่าน
ท่านยิ้มพลางเอ่ย “ส่วนน้อยที่กลับมามักจะเป็นซากศพ นอกจาก…” อาการอ้ำอึ้งยิ่งเรียกความสนใจของหญิงสาวมากขึ้น
“นอกจากอะไรคะ?”
ท่านถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเล่าช้าๆ “เมื่อสิบปีก่อนลูกหาบคนหนึ่งของคณะดอกเตอร์ธีระรอดชีวิตกลับมา”
“ลูกหาบของคุณพ่อ” หญิงสาวพูดพึมพำพลางยิ้มอย่างมีความหวัง “เวลานี้เขาอยู่ที่ไหนคะ?”
“เวลานี้เขาอยู่กับครอบครัวของเขา” ท่านตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ขอดิฉันไปพบเขาหน่อยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
ท่านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “เขากลับมาอย่างคนเสียสติ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังพูดจาอะไรไม่รู้เรื่อง ทางวัดจึงจัดให้เขาและครอบครัวอาศัยทำกินอยู่ในที่ของวัด”
“ถึงจะพูดจาไม่รู้เรื่องดิฉันก็อยากพบค่ะ” หญิงสาวยืนกราน
“เจ้าน่ะดื้อเหมือนพ่อ” ท่านเอ่ยยิ้มๆ ก่อนออกปากอนุญาต “ก็ได้ เดี๋ยวจะให้คนพาไปพบ”
จากนั้นท่านก็เอ่ยเสียงดังด้วยภาษาที่หญิงสาวฟังไม่รู้เรื่อง เพียงอึดใจเดียวเณรน้อยอายุราวสิบขวบก็เข้ามาโค้งคารวะ
ท่านสั่งเณรน้อยด้วยภาษาท้องถิ่นก่อนหันมาเอ่ยกับหญิงสาว “ตามเณรคังไป”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำและลุกขึ้นจากเบาะที่นั่ง
เณรน้อยพยักหน้าทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตามประสาเด็ก สายตาที่มองเธอปกปิดความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่มิด
หญิงสาวเดินตามอีกฝ่ายลัดเลาะไปตามแนวระเบียงหิน จนกระทั่งถึงหน้าห้องห้องหนึ่งซึ่งก่อด้วยหิน แต่มีประตูและหน้าต่างเป็นไม้
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เณรน้อยเคาะประตูพลางพูดรัวเร็ว หญิงสาวเริ่มหนักใจ เธอฟังภาษาท้องถิ่นไม่ออก คนที่นี่ก็น้อยคนนักที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ ลูกหาบของคุณพ่อและครอบครัวก็คงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วที่นี้เธอจะสื่อสารกับพวกเขาได้อย่างไร
แอ๊ด!
ประตูไม้เปิดออก ผู้ที่ปรากฏตัวเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า ดวงหน้าคมคาย ผิวคล้ำแต่เนียน และศีรษะโกนจนเกลี้ยงเกลา เขาสวมเพียงกางเกงขายาวขัดกับสภาพอากาศหนาวจัดของที่นี่
พอประตูเปิดแล้วเห็นว่ามีหญิงสาวมากับเณรน้อยด้วย เขาก็มีทีท่าตกใจรีบปิดประตูดังปัง
หญิงสาวหันไปมองเณรน้อย ก็เห็นเณรน้อยหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ จึงอดนึกขันไม่ได้ที่เด็กตัวแค่นี้แกล้งผู้ใหญ่เสียจนหน้าแตกยับเยิน
ครู่ต่อมาประตูไม้เปิดออกอีกครั้ง ชายหนุ่มที่เห็นเมื่อครู่กลายเป็นพระหนุ่มครองจีวรสีแดงเรียบร้อย ใบหน้าหันไปมองเณรน้อยอย่างเอาเรื่อง เณรน้อยทำคอย่นรีบพูดเป็นต่อยหอย
หญิงสาวได้แต่ยืนฟังอย่างอึดอัดใจ นี่เธอจะส่งภาษาใบ้กับสองหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ให้เข้าใจได้ไหมเนี่ย แล้วปัญหาหนักใจก็เริ่มคลี่คลายเมื่อพระหนุ่มหันมามองเธอด้วยสายตาเป็นมิตรพร้อมกับพูดเป็นภาษาไทย
“สวัสดีครับ ผมชื่อจามิล”
“คุณ เอ๊ย! ท่าน” หญิงสาวเอ่ยอย่างตื่นเต้น “พูดภาษาไทยได้ด้วยหรือคะ?”
“ครับ ผมเรียนมาจากดอกเตอร์ธีระ คุณพ่อของคุณ” จามิลตอบ
“ท่านรู้จักคุณพ่อของดิฉัน” หญิงสาวถาม ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
“ครับ” เขารับคำก่อนพูดทักท้วง “อย่าเรียกผมว่าท่านเลยครับ เรียกชื่อผมก็ได้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คนไทยถือ”
“อ้อ” เขาพยักหน้ารับรู้ “งั้นเรียกผมว่าคุณก็ได้ ไม่ต้องเรียกว่าท่านหรอกครับ เพราะฟังดูยิ่งใหญ่เกินไป”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ
“งั้นคุณ…” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย
หญิงสาวนึกได้ว่า เขาคงจะถามชื่อ จึงตอบว่า “ฉันชื่อธีรา”
“อ้อ” เขาพยักหน้ารับรู้พลางหันไปทางเณรน้อย “คังบอกว่าท่านอาจารย์ให้ผมพาคุณไปพบอู๋”
“อู๋คือลูกหาบของคุณพ่อใช่ไหมคะ?” หญิงสาวถามเพื่อความแน่ใจ
“ครับ เขาเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตกลับมาในครั้งนั้น แต่…” จามิลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “เดี๋ยวคุณไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่า เชิญครับ”
เขาปิดประตูห้องก่อนจะเดินกึ่งนำทางกึ่งเคียงข้างหญิงสาวไปตามแนวระเบียงหินของวัด หญิงสาวเดินตามพลางมองอาณาบริเวณวัดซึ่งกว้างใหญ่มากแล้วอดถามไม่ได้ “อยู่ไกลไหมคะ?”
“ไม่ไกลครับ เดินประเดี๋ยวเดียวก็ถึง” เขาตอบ
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย เดินตามไปเงียบๆ โดยมีเณรคังเดินตามมาไม่ห่าง
ทว่าเอาเข้าจริงประเดี๋ยวเดียวของพระหนุ่มหนึ่งชั่วโมงเศษแล้วก็ยังไม่ถึง แถมเส้นทางยังลดเลี้ยวเคี้ยวคดซอกซอนไปตามไหล่เขา หินก้อนใหญ่ที่วางเป็นทางเดินบางช่วงก็ลื่นเสียจนต้องเดินอย่างระมัดระวัง แม้จะระวังตัวที่สุดแล้ว ธีราก็ยังก้าวพลาดลื่นไถลลงไปทั้งตัว “ว้าย!”
จามิลหันมาคว้าเอวหญิงสาวไว้ทันแล้วประคองให้เธอนั่งลงข้างทาง “ระวังนะครับ”
เมื่อหญิงสาวนั่งลงเรียบร้อยเขาก็ถามว่า “คุณเจ็บตรงไหนบ้างครับ?”
“ฉันรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ข้อเท้าซ้ายค่ะ”
เขาเอื้อมมือหมายจับข้อเท้าของหญิงสาว
แต่ธีราอุทานลั่นอย่างนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวค่ะ!”
“อะไรหรือครับ?” เขาถามอย่างงงๆ
“คุณเป็นพระ ถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิงไม่ได้” หญิงสาวตอบด้วยเสียงที่เบาลงในระดับปกติ
จามิลวางสีหน้าไม่ถูก
สวนดอกไม้มีพระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่งยืนรออยู่ “ท่านคุรุ” ดอกเตอร์ธีระตรงเข้าไปยกมือพนมไหว้และค้อมศีรษะ ธีราและจามิลเดินไปยกมือไหว้ตามอย่างดอกเตอร์ธีระ คุรุกันปะพยักหน้าก่อนเอ่ยถาม “เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” “พร้อมครับ” จามิลเป็นคนตอบ “ถ้าเช่นนั้นก็ตั้งจิตนึกถึงสถานที่ที่จะไปให้มั่นคง แล้วเจ้าทั้งสองคนจะไปถึงที่นั่น” ท่านคุรุกล่าวช้าๆ “ครับ” จามิลรับคำพลางพนมมือและโค้งคำนับอีกครา แล้วหันไปเอ่ยกับดอกเตอร์ธีระ “ดอกเตอร์ ผมลานะครับ” “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” ดอกเตอร์ธีระกล่าว ยื่นมือให้จามิลจับ ทั้งสองจับมือกันกระชับมั่น “ผมฝากลูกสาวด้วยนะจามิล” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “ครับ ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุด” หนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ารับคำหนักแน่น “ฝากความคิดถึงท่านอาจารย์ด้วยนะศิษย์พี่” เณรคังเอ่ย “อย่าลืมบทสวดที่ท่านอาจารย์สอนละ” คนเป็นศิษย์พี่เอ่ย “ผมไม่ลืมแน่นอนครับ” เณรคังรับคำด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “คุณธีรากราบลาคุณพ่อสิครับ” จามิลพูดเตือนหญิงสาว หญิงสาวร้องไห้โฮพร้อมกับ
ที่นี่ ตอนแรกที่พ่อมาถึงที่นี่และรู้ตัวว่ากลับไม่ได้พ่อแทบคลั่งตาย แต่สภาพอากาศของที่นี่ค่อยๆ ชะล้างความทุกข์ ความเศร้าโศกออกจากใจ คนที่นี่ยังมีลักษณะของคนอยู่ประการหนึ่งก็คือต้องสูดลมหายใจ แต่อากาศของที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถชะล้างอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ความเศร้าโศกต่างๆ นานาให้หมดไป จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร” เอ่ยถึงตรงนี้ดอกเตอร์ธีระได้พาธีราและจามิลมาถึงกระท่อมที่พัก กระท่อมก่อด้วยทับทิมสกัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนอิฐบล็อก “นี่คือบ้านของพ่อ” ดอกเตอร์ธีระเอ่ย “ที่จริงคนที่นี่ไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านก็ได้ เพราะที่นี่ไม่มีฝนตก ไม่มีแดดออก ไม่มีพายุ ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว แต่พ่อยังชอบความเป็นส่วนตัวอยู่” เมื่อธีราและจามิลเดินเข้าไปในกระท่อมก็เห็นเณรคังกำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาพริ้มอยู่บนตั่งที่เป็นพลอยไพลินทั้งก้อน “คัง” จามิลเรียกเบาๆ เณรคังลืมตา ดวงตาสดใสเปี่ยมสุข ก่อนโห่ร้องเบาๆ “ศิษย์พี่!” แล้วผุดลุกจากที่นั่ง เดินเข้ามาหาพลางพูดด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่กับคุณผู้หญิงที่สวยเหมือนพระโพธิสัตว์มาถึงจนได้ พวกเราจะได้อยู่พร้อมห
สายฟ้าแปรสภาพเป็นสายรุ้งโค้งยาวทอประกายระยิบระยับ ปลายหนึ่งจรดเมฆเหนือยอดเขา อีกปลายหนึ่งทอดมายังพื้นเบื้องหน้าธีรา “ณ ที่สายรุ้งจรดเมฆา” จามิลพูดพึมพำอย่างอดตื่นตะลึงไม่ได้ “ไป” ราชฤาษีรับสั่งเพียงคำเดียว จามิลได้สติ รีบคว้าข้อมือของธีราพาวิ่งขึ้นไปบนสายรุ้ง แรกๆ ธีราไม่มั่นใจว่าจะขึ้นมาบนสายรุ้งได้ แต่ก็ต้านแรงดึงของจามิลไม่ได้ พอเท้าสัมผัสสายรุ้งก็รู้สึกถึงพลังที่ยกร่างขึ้นไป กานตะกระโจนตามมาติดๆ แต่กลับถูกราชฤาษียกพระหัตถ์ผลักกระดอนไปราว 20 เมตร สุรเสียงทุ้มลึกดังแว่ว “เจ้ายังไม่ได้ประลองฝีมือกับเราเลย” หลิง หลง รินเซน และต้าต่างพยายามไต่ขึ้นบนสายรุ้ง แต่สายรุ้งกลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าที่จับต้องไม่ได้ กิ๊กิ๊คืบคลานไปถึงเชิงสายรุ้งเป็นตัวสุดท้าย ทว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจไต่ขึ้นไปบนสายรุ้งได้จึงส่งเสียงร่ำร้อง “ขอข้าไปด้วย ข้าอยากเป็นคน” “ก็รีบไปสิ” ราชฤาษีรับสั่งพลางยกพระบาทเตะกิ๊กิ๊ลอยโด่งขึ้นไปอยู่กลางสายรุ้งตามหลังสองหนุ่มสาว กิ๊กิ๊รีบกระดึ๊บ ๆ คืบคลานตามธีรากับจามิลอย่างไม่คิดชีวิต
“งาม…ทุ่งแห่งนี้งาม ปานสรวงสร้างสวยสล้าง พันธุ์พฤกษา ธาราใสแสงแดดอุ่น อาบทุ่งงาม อร่ามไพรปุยเมฆน้อย ลอยพลิ้วไป ในฟากฟ้า งามจับตา ดุจฉากฝัน สวรรค์สวาท ใจเจียนขาด ยามจากคู่ เสน่หา ได้โปรดหวน คิดถึง คืนกลับมา แนบอุรา รักพิสิฐ นิจนิรันดร์” จบเพลง หญิงสาวแหงนหน้ามองกำแพงอัคคี ทันใด… ครืน! เงาร่างๆ หนึ่งเดินทะลุกำแพงอัคคี ไฟทั้งหมดทั้งมวลถูกดึงดูดเข้าสู่ร่างนั้น ปรากฏชายหนุ่มฉกรรจ์เรือนร่างสูงใหญ่แข็งแรง กล้ามเนื้อทั่วร่างงดงามตึงเปรี๊ยะ ดวงหน้าคมเข้ม หล่อเหลาชนิดหาคนเทียบได้ยากแม้มีหนวดเครารกครึ้ม รวมแล้วเป็นความงามอย่างชายที่คมเข้มที่สุด “องค์จักรเพชร” เสียงเล็ดลอดจากริมฝีปากงามของนางกินรีเบา ๆ แล้วนางก็ทรุดกายลงกราบกับพื้น นี่หรือราชฤาษี! ถ้าทรวงอกของเขาไม่สะท้อนตามลมหายใจเข้าออก คงจะดูเหมือนประติมากรรมชิ้นเอก เหมือนเทวรูปศักดิ์สิทธิ์มากกว่าคนเป็นๆ ขนาดนุ่งเพียงผ้าหยักรั้งสีน้ำตาลเข้ม และคล้องผ้าผืนแคบยาวสีเดียวกันคาดเฉวียงไหล่เท่านั้นยังสง่าผึ่งผายขนาดนี้ ถ้าเขาสวมเกราะนักรบจะงามสง่าขนาดไ
“ทั้งหมดคงมีราคาเฉียดพันล้าน” หล่อนกระซิบบอกหลง หัวหน้าลูกหาบ “นี่คือคุณเกศประภา” ธีราพูดแนะนำ “ผมจามิลเป็นผู้นำทางครับ” จามิลเอ่ยพลางค้อมศีรษะ ทว่าพอกานตะเดินเข้ามาใกล้เกศประภามีทีท่าตื่นตกใจพลางพูดพึมพำ “นาคราช” พร้อมกับปีกแก้วกางพึ่บจากกลางหลังเตรียมทะยานตัวบินหนี แต่กานตะกลับว่องไวราวงูฉกรีบคว้าข้อมือนางไว้ “ข้าเป็นนาคราชก็จริง แต่ไม่ทำอันตรายเจ้า จงเก็บปีกเจ้าเสียเถอะ” เกศประภาจำใจต้องทำตามที่เขาบอก พอนางหุบปีก กานตะก็ปล่อยมือพลางแนะนำตัว “ข้าชื่อกานตะ” เกศประภากวาดตามองคณะเดินทางแล้วถามว่า “พวกเจ้าจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรเพชรทั้งหมดนี่เลยรึ” “ใช่ค่ะ” ธีราตอบ “เราเกรงว่าหากไปกันมากนักจะไม่ได้เฝ้าองค์จักรเพชร” กินรีผู้เลอโฉมเอ่ย “พวกเรามาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันซี จะมาคัดฉันออกตอนนี้ไม่ได้นะ” หลิงพูดจาโวยวาย เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของหล่อนอยู่ที่ทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลในกันเดน “ฉันยังไม่ทันบอกว่าจะคัดใครออก” ธีราพูดน้ำเสียงเย็นชา หลิงเลยหุบปากเงียบ และถอยไปยืนหลังกานตะ
“ทิพย์มณี” ธีราทวนคำเบาๆ ก่อนจะออกความเห็น “ชื่อเหมือนคนไทย” “เจ้ารู้จักนางรึ” กินรีผู้เลอโฉมถาม “ไม่” หญิงสาวส่ายหน้า “แค่ฟังชื่อเหมือนคนไทยเท่านั้น แต่การจะตามหาคนๆ หนึ่งจะต้องมีนามสกุลด้วย” “นามสกุลคืออะไร” กินรีถามด้วยสีหน้างุนงง “ทิพย์มณี น่าจะเป็นชื่อตัว แล้วต่อจากชื่อตัวก็จะเป็นชื่อวงศ์ตระกูล เรียกว่านามสกุล” หญิงสาวอธิบาย กินรีส่ายหน้าพลางพูด “ข้าไม่รู้หรอกว่าทิพย์มณีมีนามสกุลอะไร รู้แต่ว่านางเป็นคนงามมาก และนางก็เป็นที่รักแห่งองค์จักรเพชร จนพระองค์ต้องออกบวชเมื่อนางทอดทิ้งพระองค์ไป” “องค์จักรเพชรออกบวช” หญิงสาวคิดปะติดปะต่อแล้วฉุกคิด “ราชฤาษี เขาคือราชฤาษี” ธีราตัดสินใจถามตรงๆ “ถ้าเช่นนั้นคุณคงจะเป็นกินรีเกศประภา” กินรีผู้เลอโฉมอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนยอมรับ “ใช่ ข้าเอง” “โธ่เอ๊ย! แล้วมาทำเป็นอมพะนำอยู่ได้” รินเซนพูดแทรกด้วยความขัดใจ เกศประภาเชิดหน้าก่อนถามเสียงเย็น “พวกเจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไร” “ก็แค่ต้องการให้เจ้าพาพวกเราไปหาราชฤาษีเท่านั้น” รินเซนชิงตอบ “พวกเ
Comments