สถานีรถไฟเชียงใหม่
การเดินทางที่แสนยาวนานนับ11ชั่วโมง ในที่สุดพวกเราก็มาถึงเชียงใหม่
แต่…พวกเราจะไม่อยู่ที่นี่กันหรอกนะ ที่ที่เราจะไปกันจริงๆ ก็คือแม่ฮ่องสอนต่างหาก
การที่เราเลือกนั่งรถไฟแทนที่จะนั่งเครื่องบิน การที่เราเลือกปลายทางเป็นเชียงใหม่แต่ที่ที่เราจะไปจริงๆ คือแม่ฮ่องสอน ทั้งหมดนี้เป็นแผนการตบตาของลุง กฤตนัย เพื่อหลอกให้พวกนั้นหลงทาง
แล้วตอนนี้ลุงกฤตก็กำลังขับรถพาพวกเราไปที่บ้านสวนของท่าน ระหว่างที่อยู่บนรถลุงกฤตได้ยืนโทรศัพท์พร้อมกับซิมการ์ดอันใหม่มาให้เราสองคน ซึ่งก่อนที่จะมาถึงที่นี่ลุงดิเรกก็บอกให้ฉันปิดโทรศัพท์และห้ามติดต่อกับใครเด็ดขาด ฉันเลยปิดเครื่องตั้งแต่เราอยู่ที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯและไม่ได้บอกใครเรื่องที่จะมาที่นี่เลย
ถึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเพราะฉันไม่มีญาติที่ไหน แต่ก็อดกังวลไม่ได้ เมื่อคิดว่าเพื่อนสนิทจะเป็นห่วง ที่อยู่ๆ ก็ติดต่อฉันไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ นอกจากรอให้ทุกอย่างจบลงเพียงเท่านั้น
ไร่กฤตนัย
ขับรถมา4ชั่วโมงก็ถึงไร่ของลุงกฤต โดยที่มีคุณป้า ลัลนา ที่เป็นภรรยาของลุงกฤตยืนรออยู่
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“สวัสดีจ้ะหนูอลิซ หนูไม่ต้องกังวลอะไรนะ ที่นี่ปลอดภัยแน่นอนจ้ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลตามแบบฉบับหญิงสาวชาวเหนือของป้าลัลนา ทำให้ฉันสบายใจและผ่อนคลายความกังวลไปได้เยอะเลย
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินเข้าบ้านหลังใหญ่ที่ถูกสร้างด้วยไม้อย่างดี บ้านหลังนี้ผสมผสานระหว่างความสมัยใหม่กับบ้านทรงดั้งเดิม ที่ทั้งกว้างขวางและโล่งโปร่งสบาย ด้านนอกถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่มีสีสันสวยงามหลากหลายชนิด บรรยากาศดีจนฉันชักจะชอบที่นี่แล้วสิ
“หนูคงตกใจมากสินะ ที่อยู่ๆ ก็ต้องหนีแบบนี้” ป้าลัลนาถามขึ้นหลังจากที่แม่บ้านนำน้ำมาให้
“ก็ตกใจอยู่ค่ะ แต่เพราะหนูเชื่อใจลุงดิเรก หนูเลยไม่ได้กังวลมากนัก”
เพราะฉันกับลุงดิเรกเจอหน้ากันครั้งแรกก็ตอนที่อยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ท่านเป็นคนดำเนินเรื่องขอรับเลี้ยงฉัน หลังจากนั้นฉันก็คิดว่าท่านคือคนในครอบครัวเหมือนกับลุงแท้ๆ ของตัวเอง
“หนูอลิซเชื่อใจดิเรกได้เลย เพราะป้ารู้จักกับเพื่อนคนนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนนิติฯด้วยกัน เขาซื่อสัตย์และรักในอาชีพทนายของเขามาก เพราะงั้นหนูวางใจได้เลย”
“ค่ะ”
หลังจากที่พวกเราพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับเจ้าของบ้านทั้งสองได้ฟังอย่างละเอียด ลุงกฤตก็เสนอว่าจะช่วยติดตามเรื่องนี้ให้ เพราะท่านเองเคยเป็นตำรวจหน่วยสืบสวนมาก่อน ถึงจะเกษียณมาแล้ว แต่ก็ยังพอมีคนที่พอจะช่วยเร่งรัดเรื่องนี้ให้ได้
“อลิซก็อยู่ที่นี่ไปก่อนนะ เพื่อความปลอดภัยของหนูเอง” ลุงกฤตหันมาบอกกับฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยหนูกับลุงดิเรก “ถ้าไม่ใช่พวกท่านสองคน ฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีใครยอมเสี่ยงยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเรา เพราะดูเหมือนว่าเรื่องที่ฉันกำลังเจออยู่ตอนนี้มันใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้มาก
“ไม่เป็นไรเลย ลุงยินดีช่วยอยู่แล้ว”
หลังจากนั้นฉันก็ถูกพามาที่ห้องนอนของตัวเอง ซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้าน ภายในห้องถูกจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้อย่างดี จนฉันรู้สึกเหมือนกำลังอยู่บ้านของตัวเองไม่มีผิด
“พออยู่ได้ไหมหนูอลิซ” ป้าลัลนาที่เป็นคนพาฉันมาที่ห้องด้วยตัวเองเอ่ยถาม
“อยู่ได้สบายมากเลยค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับเดินเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาวางไว้กลางห้อง
“ได้ยินแบบนั้นป้าก็สบายใจ แล้วถ้าหนูหิวก็เดินไปหาป้าที่ครัวได้เลยนะ ป้าจะทำอาหารให้หนูกินเอง” ป้าเจ้าของบ้านพูดทิ้งท้ายอย่างใจดี ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“เฮ้อ…”
ฉันทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า มองกระเป๋าเดินทางของตัวเองตั้งใจจะจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ แต่ดูเหมือนจะทำไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้ร่างกายมันค่อยๆ เลื้อยตัวลงนอนราบไปกับเตียง ก่อนจะเคลิ้มหลับไปทั้งแบบนั้นเลย
1 สัปดาห์ผ่านไป
ตอนนี้ฉันปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้แล้ว และลืมเรื่องที่ทำให้ตัวเองต้องมาอยู่ที่นี่ไปเลย คงเป็นเพราะป้าลัล (ชื่อเล่นของป้าลัลนา) มักจะชวนฉันไปที่ไร่ของท่านในทุกเช้า ซึ่งที่ไร่ก็ปลูกทั้งกาแฟพืชผักและสตรอเบอรี่ ฉันได้ไปเก็บผลผลิตเหล่านั้นและเรียนรู้เรื่องเกษตรไปในตัวด้วย ตอนนี้ฉันเลยรู้สึกสนุกและหลงรักที่นี่มากขึ้นไปอีก
ส่วนลุงดิเรกกับลุงกฤตตอนนี้กำลังดำเนินเรื่องของเจนีน ดูเหมือนเรื่องมันจะใหญ่โตถึงขั้นเป็นขบวนการข้ามชาติและมีเครือข่ายฟอกเงินอยู่ที่ประเทศไทยด้วย เรื่องเลยไม่จบลงง่ายๆ อย่างที่คิด
“หนูอลิซ! ตอนนี้พักเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวได้แล้วลูก” เสียงของป้าลัลตะโกนดังมาจากเพิงที่พักสำหรับคนงาน ก่อนที่ฉันจะตอบรับกลับไป
“เข้าใจแล้วค่ะ~”
นี่ก็เป็นอีกกิจวัตรหนึ่งที่ฉันชอบมาก นั่นก็คือกินข้าวร่วมกับคนงานในไร่นี้ พวกเขาเป็นกันเองและใจดีกับฉันมาก ซึ่งมันแตกต่างจากตอนที่ฉันอยู่กรุงเทพฯราวกับคนละโลก จริงอยู่ว่าฉันมีรักเป็นเพื่อนและเธอก็เป็นเพื่อนที่ดีมากด้วย แต่ผู้คนส่วนใหญ่ที่ฉันเคยคลุกคลีด้วยล้วนแต่พยายามหนีห่าง ไม่ก็แสดงท่าทางเหยียดฉันอยู่บ่อยครั้ง แม้จะมองข้ามหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เจอคนทำแบบนี้ใส่ฉันมันก็อดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้
“อาหารวันนี้ถูกปากไหมหนูอลิซ” ป้าแม่ครัวประจำไร่กฤตนัยเอ่ยถามด้วยคำถามนี้ทุกวัน คงเพราะกลัวว่าอาหารจะไม่ถูกปากฉัน
“อาหารอร่อยถูกปากมากค่ะ และหนูขอต่อจานที่สองเลยนะคะ” ฉันรีบยกจานข้าวเดินเข้าไปหาคนที่เอ่ยถามเพื่อขอข้าวเพิ่มทันที
“ถ้าอย่างนั้นก็กินเยอะๆ เลยนะ”
พอได้ข้าวราดแกงแสนอร่อยเป็นจานที่สองมาแล้ว ฉันก็ลงมือกินไปยิ้มไปเพราะอาหารถูกปากจริงๆ ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยขึ้นตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
“อลิซ…เดี๋ยววันนี้เราคงต้องเลิกงานกันก่อน เพราะป้าต้องเข้าเมืองไปซื้อของสักหน่อย” ป้าลัลที่นั่งอยู่ตรงข้ามพูดกับฉัน พร้อมกับก้มหน้าก้มตาจดรายการที่ต้องซื้อไปด้วย
“พอดีเลย หนูก็มีของที่ต้องซื้อหมือนกันค่ะ” ฉันอยากได้พวกเครื่องเขียนสักชุด เพราะไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน กลัวว่าถ้าห่างหายจากการวาดรูปไป จะทำให้การวาดรูปออกมาไม่ดีเหมือนเดิม
“หนูจะไปซื้ออะไร ป้าจะได้พาไปถูก” หลังจากที่จดรายการยาวเหยียดเสร็จป้าลัลก็พับกระดาษแผ่นนั้นลงกระเป๋าเสื้อแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองฉัน
“เครื่องเขียนค่ะ”
“โอเค ป้ารู้จักร้านนึง เดี๋ยวป้าพาหนูไปเอง”
พอกินข้าวเสร็จเราสองคนก็มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองทันที ระหว่างทางป้าลัลก็ร้องเพลงให้ฉันฟังด้วยท่าทางคึกคักราวกับสาววัยรุ่นไม่มีผิด ส่วนฉันก็หัวเราะไปด้วยร้องตามไปด้วยอย่างสนุกสนาน ก่อนจะนึกถึงวันที่ฉันไปออกค่ายอาสาที่จังหวัดกระบี่ขึ้นมาเลย ตอนนั้นฉันก็มีความสุขและเป็นตัวเองเต็มที่เหมือนอย่างตอนนี้เช่นกัน
“ป้าว่าจะถามหนูหลายครั้งแล้ว หนูหลบมาอยู่ที่นี่แฟนหนูไม่เป็นห่วงเหรอ”
“หนูไม่มีแฟนค่ะ” ฉันตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
“จริงเหรอลูก หนูน่ารักขนาดนี้ไม่มีแฟนได้ไง ผู้ชายพวกนั้นต้องตาถั่วกันแน่ๆ เลย” หลังจากที่ได้ยินคำตอบของฉัน ป้าลัลก็เอาแต่บ่นเสียดายและต่อว่าผู้ชายที่เมินฉัน
“อย่าไปว่าพวกเขาเลยค่ะ พวกเขาแค่ไม่ชอบหนูต่อให้ทำดียังไง ไม่ชอบก็คือไม่ชอบค่ะ” ฉันตอบกลับยิ้มๆ สายตาเลื่อนออกไปมองนอกกระจก พลางนึกถึงใครบางคน ที่ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจเขาสักอย่าง
“นั่นสินะ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้จริงๆ …”
เราสองคนมาถึงที่หมายก็คือตลาดที่มีร้านค้าหลากหลายชนิดสินค้าให้เลือกซื้อ แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เข้าเมืองอีกด้วย
“ป้าพาอลิซไปซื้อเครื่องเขียนก่อนดีกว่า เพราะร้านอยู่ใกล้ๆ นี้เอง”
หลังจากหาที่จอดรถได้แล้วฉันก็เดินควงแขนป้าลัลอย่างนึกสนุกและอดตื่นเต้นกับร้านค้ามากมายตรงหน้าไม่ได้ ที่นี่มีทุกอย่างให้เลือกซื้อจริงๆ ตั้งแต่อาหาร ของสด เสื้อผ้า ยันอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด แค่มาที่นี่ที่เดียวก็ได้ของครบทุกอย่างแล้ว
“อาแป๊ะซ่ง สวัสดีค่ะ” ป้าลัลทักทายคุณตาท่านหนึ่งหลังจากที่เดินเข้ามาในร้านเครื่องเขียนแล้ว
“หวัดดีๆ อาลัล วันนี้มากับใครล่ะนั่น” เสียงแหบแห้งของคุณตาเจ้าของหลานเอ่ยทักทายกลับ ก่อนจะมองมาทางฉัน
“สวัสดีค่ะ” ฉันรีบยกมือไหว้ทันที
“หลานสาวค่ะ เขามาเที่ยวพักผ่อนที่นี่”
“อ่อๆ แล้ววันนี้มาที่ร้านลื้ออยากได้อะไรรึปล่า” อาแป๊ะเดินออกมาจากโซนคิดเงิน และเตรียมท่าจะบริการพวกเราเต็มที่
“หนูอลิซอยากได้อะไรบ้าง บอกแป๊ะซ่งได้เลยลูก…”
หลังจากนั้นฉันก็บอกสิ่งของทุกอย่างที่ฉันต้องการกับเจ้าของร้าน พลางเดินเลือกสมุดระบายสีสำหรับเด็กไปอีกหลายเล่ม รวมถึงสีและอุปกรณ์การเรียนอีกหลายชิ้น ฉันตั้งใจซื้อไปฝากเด็กที่ไร่ด้วย
สองคนป้าหลานเข้าร้านนั้นออกร้านนี้พร้อมกับของมากมายเต็มมือ แต่น่าแปลกที่ฉันไม่รู้สึกเหนื่อยเลย กลับรู้สึกสนุกและอบอุ่นที่ได้ใช้เวลาร่วมกับป้าลัลแบบนี้ จนอดคิดถึงคุณแม่ไม่ได้ ก็ตั้งแต่ที่คุณแม่เสียไปบรรยากาศแบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันอีกเลย
“หนูอลิซจะซื้ออะไรอีกไหม”
“ไม่แล้วค่ะ” พวกเราเดินมาจนสุดตลาด พร้อมกับของเต็มไม้เต็มมือ และคิดว่าคงจะซื้ออย่างอื่นอีกไม่ได้แล้ว
“กลับบ้านไปต้องโดนตากฤตบ่นแน่ๆ ซื้อของมาเยอะขนาดนี้” ป้าลัลพูดไปหัวเราะไป ดูไม่ได้กังวลเลยสักนิด
“หนูเองก็อาจโดนลุงดิเรกดุเหมือนกันค่ะ ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะมาซื้อแค่เครื่องเขียน แต่กลายเป็นว่าได้อย่างอื่นเต็มสองมือเลยค่ะ” ฉันก็หัวเราะๆ ตัวเองเหมือนกัน ที่เห็นของถูกใจก็ซื้อทันทีจนตอนนี้ถือแทบไม่ไหวแล้ว
จริงๆ แล้วฉันก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เพราะปกติแล้วเวลาจะซื้ออะไรแต่ละอย่างก็จะคิดแล้วคิดอีก แต่ว่าตอนนี้ฉันซื้อของโดยที่ไม่ต้องคิดเยอะเลย แค่สวยถูกใจและเหมาะกับตัวเองฉันก็ควักเงินจ่ายทันที
“ไม่ต้องกลัวไป เดี๋ยวป้าปกป้องหนูเอง”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าขำๆ รูปว่าป้าลัลก็แค่พูดเล่น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกโชคดีที่ได้เจอกับป้าลัลคนนี้จริงๆ
รถกระบะคู่ใจของป้าลัลแล่นออกจากตลาดมุ่งหน้ากลับไร่กฤตนัย ไม่นานก็มาถึงและได้พบกับสองลุงที่เราได้พูดถึงก่อนหน้านี้
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยลัล” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามอย่างสงสัย แล้วก็เอื้อมมือเข้ามาช่วยถือของที่อยู่ในมือของเราสองคนไปด้วย
“ของจำเป็นทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ป้าลัลตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะหันมาขยิบตาให้ฉันเป็นอันรู้กัน
ฉันอมยิ้มกับท่าทางของภรรยาเจ้าของไร่ ที่เก็บสีหน้าท่าทางจนจับพิรุธไม่ได้เลย
“อลิซเข้าบ้านกันเถอะลูก” ป้าลัลควงแขนของฉันและรีบพาเดินตัวปลิวเข้าบ้านทันที
“เอออลิซ ลุงมีอะไรจะคุยด้วยน่ะ”
ลุงดิเรกที่เดินตามหลังมาติดๆ เอ่ยขึ้น ทำให้ฉันต้องเดินแยกไปอีกทาง ก่อนจะปล่อยให้ป้าลัลเดินตัวเกร็งอยู่ข้างๆ ลุงกฤตอยู่คนเดียว ไหนว่าไม่กลัวลุงกฤตไงละคะป้าลัล ฉันอดขำไม่ได้เมื่อเห็นคุณป้าที่ทั้งแสบทั้งซนกลับมีท่าทางหงอแบบนั้น
“มีอะไรจะคุยกับหนูเหรอคะ”
“ดูนี่สิ” ลุงดิเรกยื่นไอแพดมาให้ ฉันก็รับไว้อย่างงงๆ
ฉันมองหน้าจอนั้น ก่อนจะน้ำตาซึมเมื่อเห็นภาพของเพื่อนรักกับแฟนหนุ่มของเธอได้เข้าพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการแล้ว
“หนูเลิฟเพิ่งจะจัดงานหมั้นเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ถ้าลุุงไม่อ่านข่าวหน้าสังคม ลุงก็คงไม่รู้ว่าเด็กตัวน้อยที่เป็นเพื่อนเล่นของอลิซได้หมั้นแล้ว” ลุงทนายเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากฉัน เพราะท่านเองก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองภาพของทั้งคู่
“ถึงจะตกใจที่เห็นทั้งคู่จัดงานหมั้นไว้ขนาดนี้ แต่มากไปกว่านั้นหนูดีใจและมีความสุขมากกว่าค่ะ”
เมื่อนึกถึงวันที่พี่ฌอนขอหมั้นกับรักด้วยบรรยากาศริมทะเลที่แสนโรแมนติก ฉันก็ยิ่งยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
“อลิซจะแสดงความยินดีให้เลิฟก็ได้ แต่ลุงขอให้ส่งเป็นอิเมลนะ” ท่านคงเห็นใจที่วันสำคัญของเพื่อนฉันก็ยังไม่ได้ร่วมยินดี ถึงได้ยอมอะลุ่มอล่วยให้แบบนี้
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ”
ฉันรู้สึกเลยว่าตัวเองมองอะไรไม่ค่อยชัด เพราะน้ำตาแห่งความสุขไหลเอ่ออยู่ตอนนี้
“ลุงสัญญาว่าจะรีบจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด อลิซจะได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมอย่างที่หนูต้องการ” มือหนาที่เหี่ยวย่นตามการเวลาลูบหัวฉันอย่างเบามือ
“ค่ะ เรามาจบเรื่องนี้ด้วยกันนะคะ”