“เรียนผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้รถไฟขบวน 850 ต้นทางกรุงเทพฯ ปลายทางเชียงใหม่…”
เสียงประกาศจากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ ดังก้องไปทั่วทั้งสถานี ซึ่งฉันเองก็นั่งอยู่บนรถไฟขบวนนี้และเป็นโซนตู้นอนชั้น1 โดยมีลักษณะเป็นห้องมีประตูปิดมิดชิด รวมถึงมีเตียงนอนสำหรับไว้พักผ่อนด้วย อาจเพราะเส้นทางที่รถไฟกำลังมุ่งหน้าไปต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย และการเลือกรถไฟตู้นอนแบบนี้ก็ถือว่าสะดวกสบายสำหรับการเดินทางไกลในครั้งนี้ของฉันด้วย
“หนูอลิซพอจะนอนได้ไหม” เสียงลุงดิเรกทนายประจำตระกูลเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ท่านพาฉันมาที่นี่
“นอนได้ สบายมากค่ะ” จริงๆ ฉันชอบมากเลย เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของฉันเลยที่ได้นั่งรถไฟแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นหนูพักผ่อนเถอะ ถ้ามีอะไรเคาะเรียกลุงที่ประตูตรงนั้นได้เลย” ลุงดิเรกพูดพร้อมกับชี้ไปที่ประตูที่เชื่อมระหว่างห้องของฉันกับห้องของลุง
“เข้าใจแล้วค่ะ” ฉันพยักหน้ารับ
“งั้นก็พักเถอะ”
หลังจากชายวัยกลางคนเดินออกไปฉันก็ปิดประตูลงกลอน ก่อนจะเดินมานั่งบนเตียงเล็กเงียบๆ
ถ้าถามว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง ก็บอกได้คำเดียวว่าตั้งตัวไม่ทัน ทุกอย่างมันกระทันหันรวดเร็วจนฉันยังงงอยู่เลยว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อวานฉันยังไปเป็นศักขีพยานการขอหมั้นระหว่างพี่ฌอนกับรักเพื่อนสนิทของตัวเองที่กระบี่อยู่เลย แต่มาวันนี้กลับต้องขึ้นเหนืออย่างเร่งด่วน โดยที่เก็บเสื้อผ้ามาได้แค่บางส่วนเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ต้องทำอะไรปุ๊บปั๊บแบบนี้ นั่นก็เพราะหลานสาวของคุณแม่มันทนาซึ่งเป็นแม่บุญธรรมที่ล่วงลับไปแล้วของฉันปรากฏตัวขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนก่อน ได้มีสายเรียกเข้าปริศนาโทรเข้ามา พร้อมกับบอกว่าตัวเองเป็นหลานแท้ๆ ของคุณแม่ อยากจะพบและพูดคุยด้วย ซึ่งตอนแรกฉันไม่กล้าที่จะตอบรับ เพราะไม่แน่ใจว่าคนๆ นั้นจะเป็นหลานสาวของคุณแม่จริงๆ หรือเปล่า แต่เพราะคำพูดบางอย่างของคนปลายสายทำให้ฉันตัดสินใจไปพบกับเธอ และเพื่อความปลอดภัยฉันเลยได้เสนอสถานที่ที่เป็นร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง รวมถึงได้ขอให้ลุงดิเรกไปกับฉันด้วย ซึ่งปลายสายก็ตอบตกลงไม่ได้อิดออดหรือต่อลองอะไรแม้แต่น้อย
จนกระทั่งเราสามคนได้เจอกัน ผู้หญิงตรงหน้าได้แนะนำตัวด้วยท่าทีที่สดใสและเป็นมิตร พร้อมกับเอาหลักฐานยืนยันตัวเอง ทั้งรูปถ่ายสมัยเด็กที่ได้ถ่ายคู่กับผู้เป็นแม่ของเธอ ซึ่งก็คือน้องสาวของคุณแม่บุญธรรมของฉันนั่นเอง
โดยเรื่องนี้ลุงดิเรกก็ยืนยันว่าคนในรูปคือคุณมนสิชา น้องสาวแท้ๆ ของแม่มัทนาจริงๆ แต่การยืนยันตัวเองเพียงแค่รูปถ่ายไม่เพียงพอสำหรับทนายที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของผู้ว่าจ้าง จำเป็นต้องละเอียดรอบคอบโดยการตรวจดีเอ็นเอเพื่อความชัดเจนที่สุด
แล้วในที่สุดผลตรวจก็ออกมาว่าผู้หญิงตรงหน้าคือหลานสาวแท้ๆ ของคุณแม่จริงๆ
หลังจากพิสูจน์ตัวตนแล้ว สิ่งที่ฉันจะต้องทำเป็นอย่างต่อไปก็คือ การโอนทรัพย์สินให้กับหลานสาวตัวจริง
แต่ทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวมถึง100ล้านบาท การจะโอนให้กับผู้ใดจำเป็นต้องใช้เวลาและการดำเนินค่อนข้างนาน ซึ่งฉันก็ได้มอบหมายให้ลุงดิเรกจัดการเรื่องนี้
แต่อยู่ๆ ระหว่างนั้นท่านก็โทรหาฉัน นั่นก็คือตอนที่ฉันอยู่ที่กระบี่ ท่านดูร้อนใจมากตอนที่ติดต่อมา
“หนูอลิซ หนูต้องรีบมาหาลุงให้เร็วที่สุดเลยนะ ลุงว่าหนูกำลังไม่ปลอดภัย”
ตอนที่ได้ยินประโยคนั้นฉันก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่เพราะน้ำเสียงที่ดูร้อนใจและเป็นกังวลอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉันเลยตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินไฟท์ที่เร็วที่สุดเพื่อบินกลับกรุงเทพฯ ทันที
หลังจากที่มาถึงสนามบินในช่วงเช้าฉันก็เห็นลุงดิเรกมารอรับอยู่แล้ว และระหว่างที่เรากำลังตรงไปที่คอนโดของฉัน ท่านก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง
คุณน้ามนสิชาได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลีย โดยการส่งเสียของคุณแม่มันทนา ซึ่งท่านคาดหวังกับน้องสาวคนนี้มาก แต่สุดท้ายคุณน้าก็พลาดท้องกับแฟนหนุ่มที่มีอายุมากกว่าถึง20ปี สุดท้ายน้ามนสิชาก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อและสร้างครอบครัวกับสามีที่นั่น แม้ว่าคุณแม่บุญธรรมจะไม่พอใจที่น้องสาวตัดสินใจแบบนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
จนกระทั่งคุณน้าได้คลอดลูกออกมา คุณแม่ก็ตัดสินใจบินไปดูหลานสาวคนแรก พร้อมกับให้เงินก้อนหนึ่งไว้ใช้จ่าย ก่อนจะบินกลับประเทศไทย แล้วหลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อคุณน้ากับครอบครัวได้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณแม่ก็ยังคงให้คนตามหาจนมารู้ว่าพวกเขาต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ ก็เพราะงานของผู้เป็นสามีของน้ามนสิชานั่นเอง แล้วในที่สุดทั้งคู่ก็ขาดการติดต่อกันไปเลย
หลังจาก30ปีผ่านไป คุณแม่ก็มาทราบข่าวการเสียชีวิตของน้ามนสิชา แต่มารู้ก็หลังจากที่น้าเสียไปแล้ว5ปี แล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าหลานสาวคนเดียวนามว่า เจนีน นั้นอยู่ที่ไหน แม้จะทำทุกอย่างแล้วเพื่อตามหาแต่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งคุณแม่มาเกิดอุบัติเสียชีวิต ทำให้การหาตัวหลานสาวหยุดลงเพียงเท่านั้น
พอคุณแม่เสียชีวิตไปได้สองปีเจนีนก็ปรากฏขึ้น ซึ่งการมาของเจนีนในครั้งนี้ ทำให้ลุงดิเรกจับตาดูเป็นพิเศษ จนในสุดลุงก็เจอสิ่งที่น่าสงสัย แม้ว่าจะต้องใช้เวลาร่วมเดือนเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้
ถึงเจนีนจะเป็นหลานสาวแท้ๆ ของคุณแม่ แต่ด้วยประวัติการใช้ชีวิตของเธอนั้นล้วนแล้วแต่บ่งชี้ว่าเธอไม่ธรรมดา ทั้งการที่เธอแต่งงานตั้งแต่อายุ20ปี หลังจากแต่งได้เพียงหนึ่งปีสามีของเธอก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิต ทำให้สมบัติของเขาตกเป็นของเจนีนเพียงผู้เดียว หลังจากที่สามีเสียชีวิตไปเพียงแค่6เดือน เธอก็หมั้นหมายกับนายทหารเกษียนซึ่งมีอายุห่างกันถึง30ปี ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะแต่งงานกัน นายทหารคนนี้ก็มาเสียชีวิตจากโรคหัวใจซึ่งเป็นโรคประจำตัวของเขา และเจนีนคือคนที่ได้เงินประกันชีวิตของนายทหารคนนี้ ซึ่งประกันฉบับนี้ทำขึ้นหลังจากที่พวกเขาหมั้นหมายกัน
ฉันฟังมาถึงตรงนี้ก็เริ่มเอะใจตามลุงดิเรกเหมือนกัน ก่อนที่ลุงดิเรกจะมาเล่าเรื่องที่ทำให้ลุงไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
หลังจากนั้นเจนีนก็หายไป จนสองปีผ่านไปก็มารู้ว่าเธอได้แต่งงานใหม่กับหนุ่มอเมริกันเชื้อสายจีน และไปอยู่ที่ฮ่องกงด้วยกัน โดยที่พวกเขาอยู่ในย่านของคนรวย ซึ่งมีทั้งนักธุรกิจและดาราชื่อดัง
สามีของเจนีนเป็นนักบัญชี ซึ่งเขามักถูกจ้างให้ดูแลและจัดทำบัญชีให้กับนักธุรกิจในย่านนั้น และมักจะได้ค่าจ้างที่สูงจนน่าตกใจ พวกเขาทำแบบนี้อยู่หลายปีก่อนที่ทุกอย่างจะเปิดเผย เมื่อตำรวจได้ออกหมายจับเขารวมถึงนักธุรกิจเหล่านั้นในข้อหายักยอกทรัพย์ รวมถึงปลอมแปลงเอกสารเพื่อเลี่ยงภาษี ทั้งคู่หลบหนีออกนอกประเทศโดยใช้ช่องทางธรรมชาติเพื่อเข้าประเทศไทย และตอนนี้หมายจับของพวกเขาก็ถูกส่งต่อไปทั่วโลกแล้ว อีกอย่างตลอดหลายปีเจนีนเปลี่ยนชื่อของตัวเองมาถึงสิบชื่อเพื่อหลบเลี่ยงการถูกจับ
ได้ยินมาถึงตรงนี้คงคิดว่าพีคแล้ว แต่ไม่ใช่เลยเพราะเหตุการณ์ที่พีคที่สุดก็คือคืนที่ลุงดิเรกโทรหาฉันต่างหาก…
คืนนั้นคุณลุงกำลังนั่งรวบรวมข้อมูลของเจนีนอยู่ที่บริษัท เพื่อจะส่งต่อให้กับตำรวจ หลังจากนั้นก็ได้ขับรถกลับบ้าน คงเพราะดึกมากแล้วทำให้บนถนนมีรถสัญจรน้อย แต่จะมีรถอยู่คันหนึ่งที่ลุงดิเรกจำเลขทะเบียนได้ว่านั่นเป็นรถที่เจนีนนั่งมาพบพวกเราที่ร้านอาหาร รถคันนั้นขับตามหลังมา ก่อนจะเร่งเครื่องตีคู่ขึ้นมากับรถของลุงดิเรก หลังจากนั้นเสียงปังก็ดังตามมาติดๆ หลายครั้ง ลุงดิเรกตั้งสติได้ก็รีบเร่งเครื่องหนี และดูเหมือนว่าลุงจะยังมีโชคอยู่ ถึงได้มองเห็นว่ามีด่านของตำรวจตั้งอยู่ ทำให้พวกนั้นที่ตามหลังมาถึงกับเบรกกระทันหันจนล้อบดไปกับถนนเสียงดังลั่น แต่ลุงดิเรกไม่คิดสนใจอะไรอีก รีบเหยียบคันเร่งจนถึงด่านและขอความช่วยเหลือจากตำรวจทันที แล้วหลังจากนั้นท่านก็โทรหาฉันนั่นแหละ…
Comments