LOGIN
“นี่ๆ...เห็นคนนั้นป่ะ”
กลุ่มนักศึกษาหญิงประมาณสี่ห้าคนที่กำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ที่ใต้ตึกอาคารเรียน ชี้มือชี้ไม้ไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกับที่ที่พวกเธอนั่งอยู่
“คนนั้นเหรอ” หญิงสาวในกลุ่มคนหนึ่งถามขึ้น หลังจากที่มองเห็นคนที่เพื่อนกำลังพูดถึง
“อือ!คนนั้นแหละ”
“ทำไมเหรอ?”
“เพื่อนฉันเล่าให้ฟังว่าผู้หญิงคนนั้นน่ะเป็นพวกมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี เอ่อ...แบบพวกที่ไม่เป็นมิตรกับคนอื่นและไม่มีใครอยากเข้าใกล้น่ะ” หญิงสาวท่าทางเรียบร้อยที่เป็นคนเปิดประเด็นเริ่มเล่าด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“แล้ว...”
“เขาบอกกันว่าตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาเรียนใหม่ๆ มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรรู้ไหม…” หญิงสาวคนเดิมหยุดพูดแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“อะไรเหรอ?” เพื่อนคนที่เหลือก็ถามขึ้นอย่างพร้อมเพียงกันด้วยสีหน้าที่อยากรู้อยากเห็นเต็มที่
“เธอคนนั้นกลับบอกว่า...เธอไม่อยากจะทำความรู้จักใครและอย่ามายุ่งกับเธออีก แถมยังออกปากไล่ทำให้คนนั้นอับอายด้วยล่ะ”
“จริงเหรอ” ใครคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
“จริงสิ...ก็เพื่อนคนที่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังก็คือม่านฟ้าที่เป็นดาวคณะเราไง”
“ถ้าม่านฟ้าเป็นคนพูด แสดงว่าเรื่องนี้ก็เรื่องจริงน่ะสิ”
“ก็จริงน่ะสิ! ถึงผู้หญิงคนนั้นจะไม่ได้เรียนอยู่คณะเดียวกับเรา แต่ก็มีหลายคนที่พูดถึงนิสัยของเธอเหมือนกับที่ม่านฟ้าพูดเลยนะ”
“เธอก็ดูไม่ค่อยน่าคบจริงๆ ด้วยสิ ท่าทางก็ดูแปลกๆ ผมเผ้าก็ยาวปิดหน้าปิดตาดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้” ผู้หญิงในกลุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับเบ้หน้าไปด้วย
“แต่เรื่องที่ม่านฟ้าเล่ามาน่ะเรื่องเล็กไปเลย เพราะฉันมีเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นอีก”
“เรื่องอะไรอ่ะ บอกมาเร็วๆ” หญิงสาวหลายคนเริ่มส่งเสียงพร้อมเขย่าแขนของคนพูดอย่างร้อนใจ
“ก็เรื่อง...” คนพูดกอดอกพลางยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก ที่ทำให้เพื่อนๆ ตื่นเต้นอยากรู้กันมากขนาดนี้
“บอกมาเร็วๆ สิยะ จะอกแตกตายอยู่แล้วเนี่ย” ผู้หญิงในกลุ่มขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด
“อ่ะๆ บอกแล้วๆ ก็เธอคนนั้นคือคนที่ฌอนขึ้นบัญชีดำเอาไว้ยังไงล่ะ”
“จริงดิ! งั้นผู้หญิงคนนั้นก็ไม่น่าคบจริงๆ นั่นแหละ” ผู้หญิงกลุ่มนั้นต่างทำหน้าตาหวาดกลัว เพราะรู้ดีว่าใครที่ถูกหนุ่มฮอตขาโหดอย่างฌอนหมายหัวมักไม่มีใครรอดสักราย
“เพราะฉะนั้นฉันขอเตือนพวกเธอเลยนะว่าอย่าเข้าไปยุ่งหรือไปเฉียดใกล้ผู้หญิงคนนั้นจะดีที่สุด”
ทุกคนที่อยู่ภายในกลุ่มสนทนาพร้อมใจกันพยักหน้ารับ และพร้อมจะทำตามคำเตือนพวกนั้นอย่างเคร่งครัด แต่ก็อดสงสารผู้หญิงที่โชคร้ายคนนั้นไม่ได้เหมือนกัน...
“เฮ้อ...”
“เป็นอะไรรัก ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” เสียงใสของหญิงสาวร่างเล็กนามว่า อลิซ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวเดินเข้ามา
“ก็เรื่องเดิมๆ นั่นแหละ บอกตามตรงฉันเหนื่อย...”
“เรื่องข่าวพวกนั้นอีกแล้วเหรอ”
ใช่! ข่าวพวกนั้นทำให้ฉันต้องกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน...และที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นกำลังพูดถึงกันอยู่ก็หมายถึงฉันนี่แหละ
รัก คือชื่อเล่นเดิมของฉัน จะมีเพียงแค่อลิซเท่านั้นที่เรียกฉันด้วยชื่อนี้ ส่วนอีกชื่อคือ เลิฟ เป็นชื่อที่พ่อแม่บุญธรรมของฉันท่านตั้งให้ ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกรับมาเลี้ยงตั้งแต่อายุ13 คุณพ่อบุญธรรมของฉันท่านเป็นคนอังกฤษส่วนคุณแม่เป็นคนไทยพวกท่านใจดีและรักฉันมาก ฉันได้รับความอบอุ่นความเอาใจใส่ รวมถึงความสะดวกสบายในทุกเรื่องอย่างไม่น้อยหน้าใคร
“อือ...ฉันไม่เข้าใจเลย เมื่อไหร่เรื่องพวกนี้มันจะจบลงสักที” ฉันได้แต่ถามเพื่อนสนิทออกไปอย่างท้อใจ
ใครบ้างที่ไม่อยากมีเพื่อน...ฉันก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากจะมีเพื่อน อยากไปช้อปปิ้งไปดูหนังสังสรรค์กันตามภาษาเพื่อนวัยเดียวกัน แต่ฉันกลับไม่เคยได้ทำแบบนั้นกับพวกเพื่อนๆ เลย ฉันมักจะถูกกีดกันจากข้ออ้างที่ว่ารูปลักษณ์ของฉันมันดูมืดมนอมทุกข์ บ้างก็ว่าฉันเป็นพวกหยิ่งจองหองไม่สนใจคนอื่น ทั้งที่ฉันไม่เคยทำแบบนั้นเลยสักครั้ง แต่ก็นั่นแหละต่อให้อธิบายให้ตายยังไง คนพวกนั้นก็ไม่เชื่อฉันอยู่ดี
แต่ว่าเรื่องที่ฌอนขึ้นบัญชีดำฉันเอาไว้นั้นคือเรื่องจริง! แม้ว่าอยากจะให้มันเป็นเรื่องโกหก แต่ความจริงมันก็คือความจริงล่ะนะ
“อย่าคิดมากเลย พวกนั้นไม่ได้รู้จักรักเหมือนที่เรารู้จัก อย่าเก็บเรื่องพวกนั้นมาคิดมากเลยนะ”
ฉันได้ยินคำปลอบใจแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกแย่ไม่ได้
“เฮ้อ...”
“รักแล้วทำไมถึงมีข่าวลือพวกนั้นอีกล่ะ เรื่องมันก็น่าจะหายไปได้แล้วนะ” สีหน้าสงสัยของอลิซ ทำให้ฉันต้องตอบเพื่อนกลับไปด้วยคำตอบเดิมๆ ที่ฉันเคยบอกกับเธอมาแล้วหลายครั้ง
“ม่านฟ้า”
“อีกแล้วเหรอ...” และนี่ก็คือคำอุทานเดิมๆ ของเพื่อนที่ฉันได้ยินมาหลายครั้งเช่นเดียวกัน
ทำไมน่ะเหรอ...เพราะฉันโดนข่าวลือมั่วๆ นี่มาตลอดตั้งแต่ฉันเรียนม.ปลาย และฉันก็รู้ว่าต้นต่อคนที่ปล่อยข่าวก็คือม่านฟ้าหญิงสาวแสนสวยจิตใจดีที่เป็นที่รักของเพื่อนๆ ไม่ว่าเธอจะพูดจะบอกอะไร คนพวกนั้นก็เชื่อคำพูดของเธอหมด เพียงเพราะภายนอกของม่านฟ้าดูสวยเหมือนนางหงษ์ผู้สง่างาม แต่กลับมีเพียงแค่ฉันคนเดียวที่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้ว่าหล่อนก็คือแม่มดดีๆ นี่เอง
“ขอโทษนะ...” ฉันเสียใจและสงสารเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉันจริงๆ ที่ต้องมาติดร่างแห่และถูกหาเรื่องเพียงเพราะรู้จักกับฉัน
“จะขอโทษทำไม...รักก็รู้ว่าเราไม่เคยโกรธรักเลย” รอยยิ้มที่แสนใจดีราวกับแม่พระมาโปรดของอลิซทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณอยู่ทุกครั้ง
“แต่ถึงยังไงก็เถอะ ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เรื่องพวกนี้มันจบจริงๆ ซะที”
จริงๆ ฉันควรจะทำมันตั้งนานแล้ว แต่เพราะฉันมันขี้ขลาดและไม่กล้าที่จะยืนหยัดต่อสู้ ฉันปล่อยให้เรื่องพวกนั้นทำลายชีวิตของตัวเองมานานเกินพอแล้ว และคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังม่านฟ้าก็ควรหยุดการกระทำของตัวเองลงได้แล้ว
“อย่าบอกนะว่า...!” อลิซพูดเสียงดังตาเบิกกว้าง ฉันก็พยักหน้าส่งให้เพื่อเป็นการยืนยันความคิดของเธอ
“รักมันจะดีเหรอ...เธอก็รู้ว่า ฌอน น่ากลัวขนาดไหน ไม่เอาๆ เราไม่ให้รักไป!” หน้าตาตื่นกลัวรวมถึงเสียงร้องห้ามสั่นๆ นั่นยิ่งพาฉันใจแป้วตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ไปด้วย
“ตะ...แต่เราต้องทำ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีความสุขเหมือนกับคนอื่นๆ นะ” ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่น้ำเสียงที่กำลังสั่นเครือของตัวเองก็บอกชัดเจนว่าหวาดกลัวแค่ไหน
ชีวิตมหาลัยที่ฉันใฝ่ฝันมันจะต้องสดใสและมีแต่ความสุขสิ เพราะฉันทุกข์ทนกับการถูกกลั่นแกล้งมาตลอดหลายปี เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนั้นมันจะต้องไม่เกิดกับฉันอีกเป็นอันขาด
“แต่เราไม่อยากให้รักไป ฌอนได้ฆ่าเอาแน่ๆ” อลิซกอดตัวเองแน่นหน้าซีดปากสั่นส่ายหน้ารัวๆ จนแว่นตาหนาเตอะที่เธอใส่อยู่หลุดกระเด็นไปไกล
ยัยเพื่อนบ้า! พูดแบบนี้ฉันก็กลัวนะ อุตส่าห์ทำใจตั้งนานมาพูดแบบนี้ขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้วเนี่ย T^T
“นี่! ยัยแม่ชี! ตกลงแว่นนี่ไม่เอาแล้วใช่ป่ะ ฉันจะได้ขยี้มันให้แหลกคาเท้าเดียวนี้เลย”
เสียงของบุคคลที่สามตะโกนถามมาดังลั่น ทำให้การสนทนาของเราต้องหยุดลง พอหันไปทางต้นเสียงก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะแว่นของอลิซที่หมอบอยู่แทบเท้าของผู้ชายคนนั้นได้แหลกละเอียดไปแล้ว โดยที่เขาไม่ได้รอฟังคำตอบจากเจ้าของเลย
“วะ...แว่นฉัน”
เสียงครางที่น่าสงสารของอลิซ ทำให้ฉันได้สติรีบเดินเข้าไปดึงแขนเพื่อนเอาไว้ไม่ให้ถลาเข้าไปหยิบแว่นที่อยู่ปลายเท้าของชายคนนั้น
“อยากได้เหรอ...มาเอาไปสิ” ผู้ชายคนเดิมถอยออกไปเล็กน้อยและยิ้มมุมปากเหมือนกำลังสนุกที่เห็นว่าอลิซร้องไห้ออกมา
“ฮึก...” พอเห็นเพื่อนรักสะอื้นอย่างน่าสงสารฉันก็ได้แต่เม้มปากแน่นและกอดแขนเล็กเอาไว้
“เอ้า! ก็เข้ามาเอาไปสิยัยแม่ชี คนเชยๆ เฉิ่มๆ แบบเธอมันก็ต้องคู่กับแว่นหนาเตอะรุ่นคุณยายอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ” เสียงหัวเราะของผู้ชายตรงหน้า ทำให้คนรอบข้างที่ยืนมองอยู่ก็เริ่มหัวเราะไปกับเขาด้วย
“อลิซไม่เป็นไรนะ” ฉันกระซิบถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง
ฉันอยากมีความกล้าที่จะสู้รบปรบมือกับคนพวกนี้ ฉันอยากเดินเข้าไปต่อว่าพวกเขาว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันน่ารังเกียจแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง ยิ่งเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครอีกคนที่ยืนพิงเสาและกำลังมองมาด้วยสายตาเย้ยหยัน นั่นยิ่งทำให้ฉันขาแข็งมือไม้สั่นและชื้นไปด้วยเหงื่อด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงเมื่อผู้ชายคนนั้นเริ่มขยับตัว
“ร็อค!”
หลังจากนั้นเราก็นอนคุยกันอีกนิดหน่อย และน่าแปลกที่ฉันกลับไม่รู้สึกง่วงเลย คงเพราะยังตื่นเต้นกับงานหมั้นที่กระทันหันอยู่ละมั้ง ทำให้ตอนนี้ฉันได้แต่นอนไถไอแพดเพื่อไล่อ่านคอมเมนต์ในไอจีของตัวเองที่ฉันเพิ่งจะลงรูปงานหมั้นลงไปถึงแม้ไอจีของฉันจะเพิ่งเปิดเป็นสาธารณะเมื่อตอนไปทริปเที่ยวทะเล แต่กลายเป็นว่าผู้ติดตามไอจีกลับเพิ่มขึ้นทีเดียวหลายพันคนภายในเวลาไม่กี่วัน ส่วนคนที่ขอให้ฉันเปิดเป็นสาธารณะก็คือคนตัวโตที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ นี่แหละ โดยเขาให้เหตุผลปนน้อยใจที่เห็นไอจีส่วนตัวของฉันลงรูปคู่แค่รูปเดียวเท่านั้น ก็คือรูปที่เราถ่ายกันที่ร้านอาหารในตอนนั้น ทั้งๆ ที่ไอจีของพี่ฌอนลงรูปฉันแทบจะทุกวันในอิริยาบทต่างๆ ถ้าฉันเป็นเขาฉันก็คงน้อยใจเหมือนกัน“คนมาแสดงความยินดีกับเราเยอะเกินคาดเลยนะเนี่ย” ฉันนั่งดูข้อความพวกนั้นที่มีมากถึงห้าร้อยกว่าคอมเมนต์ รวมถึงมีคนกดหัวใจให้อีกครึ่งหมื่น“แต่ก็สู้ของพี่ไม่ได้หรอก” พูดเสร็จพี่ฌอนก็ส่งโทรศัพท์มาให้ฉันดูฉันหยิบมาดูก่อนจะตกใจที่เห็นคนกดหัวใจงานหมั้นของเราถึงสองหมื่นและคอมเมนต์อีกเกือบสองพันคอมเมนต์“เยอะมากเลยค่ะ” ฉันหันไปบอกด้วยความตกใจ ก่อนที่มือจะ
หมดทริปทะเลมาหมาดๆ ฉันก็มีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่สองวัน ก่อนจะบินต่อไปอังกฤษเพื่อเยี่ยมครอบครัว ซึ่งครั้งนี้พิเศษหน่อยเพราะมีผู้ชายหน้าดุติดสอยห้อยตามไปด้วย เหตุผลก็อย่างที่รู้พี่ฌอนอยากจะไปเจอกับครอบครัวของฉันอย่างเป็นทางการและอยากจะพูดเรื่องหมั้นด้วยแต่เมื่อบินไปถึงบ้านที่อังกฤษฉันก็ถึงกับงง เมื่อเห็นว่าบ้านของตัวเองเปลี่ยนไป เพราะคนมากมายที่ไหนก็ไม่รู้เดินขวักไขว่ไปมาดูวุ่นวายไปหมด บ้างก็กำลังจัดโต๊ะ บ้างก็กำลังจัดดอกไม้ ราวกับว่าที่บ้านกำลังมีงานใหญ่ ตลอดทางที่เดินไปฉันก็คอยหันซ้ายหันขวามองตามผู้คนเหล่านั้นด้วยความอยากรู้“ทำไมเราไม่รู้เลยว่าที่บ้านจะมีงาน” ฉันพึมพำอยู่คนเดียวและยังคงมองตามคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานตรงนั้น“เดี๋ยวเข้าไปก็รู้เองนั่นแหละ” เสียงทุ้มตอบกลับ พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆฉันมองคนข้างๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ อย่างไม่ได้คิดอะไรมาก“มากันแล้วเหรอลูก” เสียงคุณแม่ดังต้อนรับทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน“สวัสดีค่ะคุณแม่” ฉันยกมือไหว้ ก่อนจะโผเข้าสวมกอดผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง“เหนื่อยไหมลูก” น้ำเสียงที่ดูห่วงใยไม่เคยเปลี่ยนจากผู้หญิงคนนี้ ทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจทุกครั้งเลย“แ
ฉันหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของคนขี้หวง แต่ไม่ได้นึกโกรธหรือไม่พอใจอะไร เพราะชินแล้วกับความเกินเบอร์ของแฟนตัวเอง“ดีใจด้วยนะรัก” อลิซเดินเข้ามากอดหลังจากที่ฉันผละออกจากพี่ฌอน“ขอบคุณนะ เราดีใจที่อลิซอยู่ที่นี่เวลานี้กับเรานะ” ฉันกอดอลิซแน่นเช่นกัน รู้สึกมีความสุขมากที่มีเพื่อนคนสำคัญมาอยู่ในช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ด้วยกัน“เราเองก็ดีใจที่รักมีพี่ฌอนคอยดูแลแบบนี้ เราจะได้หมดห่วงสักที”“เราเองก็อยากเห็นอลิซมีคนคอยดูแลเหมือนกันนะ” ฉันผละออกและพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนที่ใบหน้าของแวนจะปรากฎขึ้นมาในความคิด“...อลิซไม่สนใจน้องแวนบ้างเหรอ” ฉันไม่เสียเวลาเอ่ยถามออกไปตรงๆ เพราะอยากเห็นเพื่อนมีคนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างเหมือนที่ตัวเองมีในตอนนี้“ทะ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” อลิซอึกอักแถมแก้มก็แดงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย“เอ๊ะ! หรือว่าคุยๆ กันอยู่ ถ้าเป็นน้องแวนเราเชียร์เต็มที่เลยนะ”“หา! เดี๋ยวๆ…” อลิซเหมือนจะพูดอะไร แต่ฉันก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยความตื่นเต้นดีใจ“ไปเริ่มคุยกันตอนไหนเหรอ หรือว่าหลังจากที่เราทานข้าวด้วยกันวันนั้น…ต้องใช่วันนั้นแน่ๆ เลย…”“รัก คือว่า…”“ไปทานอาหารได้แล้ว เย็นหมดแล้วมั้งน่ะ!”ฉันที่ตั้งใ
วันนี้ได้มาร่วมเป็นศักขีพยานในงานแต่งของเพื่อนใหม่ชาวเกาหลี ที่แม้ว่าพวกเราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ในเมื่อได้รับเกียรติขนาดนี้ฉันก็ควรให้เกียรติกับเจ้าของงานด้วยเช่นกันงานแต่งถูกจัดริมทะเลยามที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงสีส้มอมชมพูแผ่ไปทั่วท้องฟ้า ราวกับว่าพระอาทิตย์ดวงนี้มาร่วมเป็นสักขีพยานให้กับความรักของคนทั้งคู่ด้วย ลมที่พัดปะทะหน้าเอื่อยๆ เย็นสบายบวกกับเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูสบายๆ เรียบง่ายและอบอุ่นผู้คนที่มาร่วมงานล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวและเพื่อนสนิทที่มาแสดงความยินดีกับคู่แต่งงานใหม่ ทุกคนมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะบ่งบอกว่าพวกเขาเองก็มีความสุขไม่น้อยไปกว่าคู่แต่งงานเลยการที่ครอบครัวจะยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเลือก ฉันคิดว่าพวกเขาก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาไม่น้อย เหมือนคู่ของฉันที่กว่าจะมาลงเอยกันได้แบบนี้ก็มีเรื่องให้เข้าใจผิดเจ็บปวดทั้งกายและใจมาไม่น้อย แต่เมื่อความจริงเปิดเผยเราได้เห็นตัวตนของกันและกัน ทุกอย่างถึงคลี่คลายในทางที่ดีแบบนี้ได้“หิวรึเปล่า? ให้พี่ไปตักอะไรให้ไหม” เสียงทุ้มคุ้นหูกระซิบถาม หลังจากที่ฉันเอาแต่เหม่อมองคู่แต่งงานใหม่อยู่นาน“ไม่ค่อยหิวเลยค่ะ” ฉันยิ้
เราทั้งคู่เดินซื้อของจนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเที่ยง อาการของเลิฟก็ดูท่าจะเหนื่อยแล้ว ผมเลยพาเธอมานั่งพักที่คาเฟ่ร้านหนึ่ง ซึ่งเลิฟดูจะถูกใจมาก ด้วยบรรยากาศที่ตกแต่งด้วยดอกไม้สดสีหวาน พร้อมกับเบเกอรี่หลากหลายแบบที่ถูกจัดวางอย่างน่าทาน ทำให้คนที่คลั่งเบเกอรี่อย่างแฟนสาวของผมอดไม่ได้ที่จะแวะเข้าร้านนี้“รอพี่ที่นี่ เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บที่รถก่อน”“ค่ะ”หลังจากที่สั่งเครื่องดื่มและขนมให้เลิฟเสร็จ ผมก็เดินไปยังรถที่จอดอยู่ห่างออกไป เพราะตอนนี้ในมือของผม มันเต็มไปด้วยของมากมาย ทั้งของฝากทั้งเสื้อผ้าและของกิน จนมือไม่มีที่ว่างจะถือของเพิ่มอีกแล้ว“ช็อปเก่งจริง แฟนใครวะเนี่ย” ผมบ่นอย่างไม่จริงจัง เพราะไม่ว่าเลิฟจะต้องการอะไร ผมก็เต็มใจให้ทุกอย่างอยู่แล้วพอเก็บของใส่รถเสร็จผมก็เดินกลับมาที่คาเฟ่ แต่ก็ต้องยืนนิ่งไปรู้สึกว่าตัวเองหน้าตึงคิ้วกระตุก เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาดีสองคนกำลังนั่งพูดคุยและยิ้มให้คนของผมอยู่ อารมณ์ที่ดีมาตลอดทั้งวันต้องมาสะดุดกับภาพตรงหน้าในทันที“โอ๊ะ! พี่ฌอนมาพอดีเลย” เลิฟที่หันมาเห็นว่าผมยืนอยู่รีบกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหา“นี่ใคร?” หลังจากที่นั่งลงผมก็รีบถามออกไปเสียงแข็ง
(Sean’s Talk) “ออกค่ายสนุกไหม” เพราะไม่เจอหน้ากันหลายวันความคิดถึงมันเลยมีมาก อยากจะรู้ว่าคนตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง แม้ว่าเราจะโทรคุยกันทุกวันก็ตาม“สนุกค่ะ แต่ก็เหนื่อยด้วย” สีหน้าสดใสกับรอยยิ้มกว้างเป็นเครื่องยืนยันในคำตอบได้เป็นอย่างดี“สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมยิ้มพลางเอื้อมมือไปจับแก้มนุ่มๆ ของเธอเล่นไปด้วย“ค่ะ เลิฟคิดว่าปีหน้าก็จะมาออกค่ายอาสาอีก” ใบหน้าเล็กเอียงหน้าซบบนฝามือของผมด้วยท่าทางออดอ้อน“ใครอนุญาต?” รู้ดีท่าทางที่เธอกำลังทำใส่ผมอยู่ตอนนี้คืออะไร คงอยากจะให้ผมใจอ่อนให้เธอไปน่ะสิ แต่คนอย่างผมแค่อ้อนนิดอ้อนหน่อยแล้วจะสำเร็จดั่งใจหวังละก็คิดผิดแล้วล่ะ“ฮือ พี่ฌอนขอเลิฟไปเถอะนะ หรือเราสองคนไปด้วยกันก็ได้” เลิฟเริ่มต่อลองดูท่าเธอคงจะติดใจค่ายอาสาเข้าแล้วจริงๆ“ขอคิดดูก่อนแล้วกัน” ผมวางท่าไปอย่างนั้นเองแหละ เพราะถ้าวันนั้นมาถึงผมคงไม่ยอมปล่อยให้เลิฟไปคนเดียวอีกแน่การที่ต้องห่างจากเธอทำให้ผมรู้สึกโหวงเหวงและเหงามาก แค่ได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์มันไม่พอสำหรับผมจริงๆ จนก่อนวันที่เลิฟจะเดินทางกลับผมทนต่อไปไม่ไหวต้องลากไอ้เพื่อนรักให้มันมาช่วยผมขับรถ เพราะระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย พอฟังม







