Share

BAD BABY (SEAN) 01 : Partner

last update Last Updated: 2025-10-22 17:20:45

ร็อค!”

เสียงทุ้มทรงพลังเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนของเขา ซึ่งก็คือผู้ชายคนที่เหยียบแว่นของอลิซแตกนั่นแหละ

“เออ! รู้แล้ว...วันนี้ฉันอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย ขอบใจนะยัยชี!” ร็อคหันไปตอบเพื่อนของเขาและโบกมือลาให้กับเราสองคน พร้อมกับรอยยิ้มพอใจราวกับอสูรร้ายที่ได้ล้างผลาญทุกอย่างจนราบเป็นหน้ากองไปแล้ว

ฉันเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของผู้ชายสองคนเมื่อพวกเขาเดินออกไปแล้วอย่างไม่พอใจ ฉันไม่แปลกใจจริงๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงมาเป็นเพื่อนกันได้ก็พวกเขานิสัยชั่วร้ายเหมือนกันยังไงล่ะ

“รัก...แว่นเราแตกละเอียดเลยอ่ะ ฮือๆ...” อลิซก้มเก็บเศษแว่นไว้ในมือและร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายคนอื่น

ฉันรู้ดีว่าทำไมอลิซถึงร้องไห้หนักขนาดนั้นก็แว่นอันนี้เป็นแว่นที่เธอได้เป็นของขวัญจากคุณแม่บุญธรรม ก่อนที่ท่านจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเป็นแว่นที่เก่ามากแล้วแต่อลิซก็เลือกที่จะใส่มันติดตัวตลอด

“อย่าร้องไห้เลยนะ เราขอโทษ...ถ้าอลิซไม่เป็นเพื่อนกับเรา อลิซก็คง...”

“รักอย่าพูดแบบนี้ ถ้ารักพูดอีกครั้งเราจะโกรธจริงๆ ด้วย” คนที่กำลังร้องไห้พูดสวนขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ตะ...แต่นี่แว่นโปรดของอลิซนะ” ฉันยังคงพูดอย่างรู้สึกผิด ไม่ว่ายังไงมันก็ลบความรู้สึกนี้ที่มีต่อเพื่อนไม่ได้เลย

“ช่างเถอะ...ยังไงแว่นนี่ก็ต้องแตกต้องหักเข้าสักวันอยู่แล้วมันก็เก่ามากแล้วด้วย...” อลิซพูดทั้งๆ ที่น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม ท่าทางและแววตาของเพื่อนไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกับสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด

ฉันเข้าใจหัวอกของคนที่ต้องเสียของรักของห่วงของที่มีคุณค่าทางจิตใจไป แม้ว่าของชิ้นนั้นจะไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร ฉันก็เหมือนอลิซนั่นแหละที่ต้องเสียของรักไปด้วยเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ การถูกกลั่นแกล้งโดยการทำลายข้าวของหรือการถูกขโมยของ ฉันกับอลิซเจอกันมาหมดแล้ว ก็พวกกระเป๋านักเรียน รองเท้า หนังสือ การถูกสาดด้วยน้ำถูกพื้น การถูกทำร้ายร่างกาย แม้มันจะไม่ได้เจ็บตัวจนถึงขั้นเลือดตกยางออก อย่างมากก็แค่ถูกผลักจนกระแทกพื้นมีแผลฟกช้ำดำเขียว แต่จะบอกว่าตลอด3ปีช่วงมัธยมปลาย มันมีผลต่อจิตใจของเราสองคนมาก มันเป็นเรื่องที่ฝั่งใจทำให้เราไม่กล้าออกไปไหน ไม่กล้ามองหน้าใครหรือพูดคุยกับใคร เพราะมันกลัวไปหมด เราต้องกลายเป็นคนที่ไม่มีสังคมเป็นพวกเก็บตัวเหมือนคนขี้ขลาดน่าสมเพชจนถึงตอนนี้

“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ แว่นแตกแบบนี้เดี๋ยวเราก็ต้องเข้าเรียนกันแล้วนะ” ฉันพูดพร้อมกับประคองเพื่อนให้เดินตรงไปยังลิฟท์ เพื่อที่จะเตรียมเข้าห้องเรียนเพราะตอนนี้ก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว

“รักคงต้องเป็นผู้ช่วยให้เราแล้วละ” อลิซหัวเราะแม้ว่าดวงตาของเธอยังมีน้ำตาคลออยู่ก็ตาม

“ได้อยู่แล้วเราจะเป็นผู้ช่วยให้เอง” ฉันพูดอย่างแข็งขันและยิ้มให้กำลังใจเพื่อนไปด้วย ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องเมื่อเห็นอาจารย์เดินเข้าห้องเรียนไปแล้ว

หลังจากเลิกเรียนในภาคเช้าเสร็จ เราสองคนก็นัดกันว่าจะไปหาอะไรกินที่หน้ามหา’ลัย เพราะแถวนี้มีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ คาเฟ่ที่ตกแต่งร้านสวยๆ ก็อีกหลายร้าน แต่เราเลือกที่จะไปทานกันที่ร้านประจำ ซึ่งก็คือร้านคาเฟ่เล็กๆ ที่มีทั้งอาหารเครื่องดื่มและเบเกอรี่ครบจบในที่เดียว เป็นร้านที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้กับผนังปูนเปลือยดูดิบๆ มันดูไม่เข้ากับเราสองคนเลยสักนิด แต่กลับเป็นที่ๆ เรามาบ่อยที่สุดและเป็นที่ๆ ชอบมากที่สุดด้วย

“น้องเลิฟ น้องอลิซ” เสียงหวานใสที่แสนใจดีของพี่เจ้าของร้านเอ่ยทักทายอย่างคุ้นเคย เมื่อเห็นเราสองคนเดินเข้ามาในร้าน

“สวัสดีค่ะพี่ริน” เราสองคนยกมือไหว้และยิ้มกว้างให้กับเจ้าของร้านคนสวย

“มานั่งก่อนเร็ว” พี่รินจับแขนของพวกเราอย่างตื่นเต้น แล้วพาเดินไปยังโต๊ะประจำที่อยู่มุมด้านในสุดที่ติดกับเคาร์เตอร์บาร์

“ทำไมพี่รินดูตื่นเต้นขนาดนั้นล่ะคะ” ฉันถามและหัวเราะอย่างขำๆ เมื่อเจ้าของร้านแสนสวยดูกระตือรือร้นเหมือนเด็กไม่มีผิด

“ก็ต้องตื่นเต้นสิจ๊ะ คือพี่ทำเบเกอรี่ตัวใหม่ที่ตั้งใจจะเอามาวางขายที่ร้าน พี่อยากให้เลิฟกับอลิซชิมให้พี่หน่อยว่ามันผ่านหรือไม่ผ่าน” พี่รินเอามือประสานกันไว้ที่คางและทำตาปริบๆ อย่างออดอ้อน ซึ่งฉันก็ได้แต่ยิ้มให้กับท่าทางน่ารักของพี่สาวคนนี้

ต้องบอกเลยว่าพี่รินคนนี้สวยมากๆ เลยล่ะ ดวงตากลมโตกับแก้มป่องๆ นั่นทำให้พี่รินดูเหมือนเด็กม.ปลายเลยล่ะ ถึงแม้พี่เขาจะอายุมากกว่าฉัน3ปีก็ตาม ผมดำเป็นลอนยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวอมชมพูเนียนไปทั้งตัว จนผู้หญิงอย่างเราก็ยังอิจฉา แต่ที่ทำให้พี่รินดูมีเสน่ห์ชวนมองก็คงเป็นลักยิ้มข้างแก้มทั้งสองข้างนั่นแหละ พี่แกยิ้มทีพวกผู้ชายมองกันตาปรอยเคลิ้มจนน้ำลายหยดกันเลยทีเดียว

อย่างเช่นตอนนี้ก็เหมือนกัน มีนักศึกษาชายอยู่สองคนที่กำลังนั่งชะเง้อตาปรอยมองพี่ริน พร้อมกับตักเค้กเข้าปาก ตักเข้าปากบ้างไม่เข้าปากบ้างทำให้ขอบปากของผู้ชายสองคนนั้นเลอะไปด้วยครีม จนฉันต้องกลั้นขำเอาไว้ ก่อนจะสะกิดพี่รินให้หันไปมองผู้ชายสองคนนั้น

“เอ่อ...ปากเลอะน่ะค่ะ” พี่รินเห็นแบบนั้นเลยเอ่ยออกไปและชี้นิ้วมาที่ปากของตัวเอง ก่อนจะยิ้มหวานส่งไปให้

เพียงแค่นั้นผู้ชายสองคนก็ร้องโหยหวนออกมาทันที บิดตัวไปมาเหมือนกำลังเขินอายอยู่อย่างนั้น มันเป็นภาพที่ใครเห็นก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่รวมถึงฉันกับอลิซด้วยเช่นกัน

“มีหนุ่มมาแอบมองทุกวันแบบนี้ไม่มีใครถูกใจพี่รินบ้างเหรอคะ” ฉันแซวพร้อมกับหรี่ตามองอย่างล้อเลียนและก็แปลกใจไม่น้อยที่คนสวยๆ แบบนี้ทำไมถึงยังไม่มีแฟน

“อย่าแซวพี่สิเลิฟ ไม่เอาไม่คุยเรื่องนี้แล้ว วันนี้อยากทานอะไรกันจ๊ะ” พี่รินแก้มแดงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที และฉันก็ไม่อยากจะทำให้พี่เจ้าของร้านต้องอายอีกจึงได้สั่งอาหารไป

“สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเลกับชาเขียวเย็นค่ะ”

“ของอลิซเอาเหมือนรักค่ะ แต่เครื่องดื่มของเป็นน้ำผึ้งมะนาวโซดาค่ะ”

“ได้เลยจ้ะ เดี๋ยวรออาหารประมาณ10นาทีนะจ๊ะ” พี่รินจดรายการลงกระดาษและรีบเดินเข้าไปในครัวทันที

รอไม่นานอาหารของพวกเราก็มาวางลงตรงหน้า กลิ่นหอมๆ นั้นทำให้ฉันและอลิซอยากอาหารขึ้นมาเป็นเท่าตัว และไม่รอช้าเราทั้งสองก็ลงมือทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะปิดท้ายด้วยเบเกอรี่ที่พี่รินอยากให้พวกเราช่วยชิม และไม่ได้อยากอวยกันเองหรอกนะ คือเบเกอรี่อร่อยมาก กอไก่ล้านตัวได้!! ความหวานกำลังดีเนื้อสัมผัสนุ่มละมุนลิ้นสุดๆ

“อลิซว่าชิ้นแค่นี้ไม่พอแล้วล่ะพี่ริน เพราะมันอร่อยมากจริงๆ อลิซแนะนำให้วางขายได้เลยค่ะ พรุ่งนี้เลยยิ่งดี ขายดีแน่นอนค่ะ อลิซเอาหัวเป็นประกันเลย”

ฉันพยักหน้าเห็นด้วยและมั่นใจว่าถ้าใครได้กินก็ต้องติดใจแน่

“จริงเหรอ! งั้นพี่จะวางขายพรุ่งนี้เลยนะ” พี่รินพูดอย่างดีใจ

“...ขอบคุณเลิฟกับอลิซมากนะที่ช่วยพี่”

“เอาจริงๆ เราสองคนต้องขอบคุณพี่รินมากกว่านะคะ ที่ให้เราได้กินของฟรีอร่อยๆ แบบนี้” ฉันพูดพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดี

อย่างน้อยวันนี้ก็มีพี่รินนี่แหละที่ช่วยเยี่ยวยาจิตใจที่บอบช้ำของพวกเราได้ ทำให้เรารู้สึกสบายใจพร้อมกับหัวเราะออกมาได้เต็มเสียง โดยที่ไม่ต้องสนใจใคร ต้องขอบคุณพี่สาวคนนี้จริงๆ

“จ้าๆ จะเอาอีกชิ้นก็ได้นะเดี๋ยวพี่ไปเอามาให้” พี่รินเตรียมลุกจากเก้าอี้แต่ก็ถูกเราสองคนห้ามไว้ก่อน

“พอแล้วค่ะ แค่นี้ก็อิ่มแล้วล่ะค่ะ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วนี่ต้องเข้าเรียนกันอีกไหม”

“เข้าค่ะ พวกเราเลิกเรียนก็ประมาณ3โมงเย็น พี่รินมีอะไรรึเปล่าคะ?” ฉันตอบและยังคงตักเค้กแสนอร่อยชิ้นนั้นเข้าปากไม่หยุด

“ถ้าเลิกเรียนแล้วก็แวะมาหาพี่หน่อยนะ เดี๋ยวพี่เอาเค้กใส่กล่องไว้ให้พวกเราไปกินที่บ้าน เพื่อเป็นการขอบคุณที่พวกเราช่วยพี่”

พี่รินก็ยังคือพี่รินอยู่วันยังค่ำ สวยแล้วยังใจดีที่สงสารลูกนกตาดำๆ ที่เห็นแก่กินอย่างเราสองคน จริงๆ พวกเราก็ได้ขนมเค้กกลับไปกินที่บ้านบ่อยๆ เพราะอย่างนี้ไงพวกเราถึงได้ชอบมากินข้าวที่ร้านพี่ริน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ริน แค่นี้พวกเราก็เกรงใจจะแย่แล้ว” เป็นอลิซที่เอ่ยปฏิเสธ แต่ในตากลับเป็นประกายที่จะได้ทานเค้กแสนอร่อยนี่อีกชิ้น

“ปากบอกปฏิเสธพี่ริน แต่ตากลับบอกว่าเต็มใจที่จะรับเค้กชิ้นนั้นด้วยความเต็มใจเลยนะ” ฉันแซวก่อนจะโดนเพื่อนตีแขนด้วยท่าทางแสนงอน

“รักก็!”

“เอาละจ้ะ...เดี๋ยวเลิกเรียนแวะมาเอาเค้กกลับบ้านกันด้วยนะ” พี่รินพูดยิ้มๆ

พวกเราอยู่คุยเล่นกับพี่รินไม่นานก็กลับไปเรียนในภาคบ่ายต่อ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเราเรียนนิเทศฯปี2 และที่ฉันกับอลิซเลือกเรียนนิเทศฯก็เพราะพวกเราชอบวาดรูปชอบออกแบบ มากกว่าที่จะเรียนพวกบริหาร ฉันก็รู้สึกโชคดีที่คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันท่านไม่ห้ามและสนับสนุนเต็มที่ในสิ่งที่ฉันอยากจะเรียน

“รักวันนี้เราต้องเรียนรวมกับคณะอื่นด้วยใช่ไหม” อลิซถามพร้อมกับมองไปรอบๆ เพราะตอนนี้เราเดินมาถึงคณะวิศวะแล้ว

วิชาในภาคบ่ายวันนี้เป็นวิชาบังคับ ซึ่งพวกเราต้องมาเรียนที่คณะวิศวะและเรียนรวมกับคณะอื่นด้วย ส่วนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าต้องเรียนกับคณะอะไรบ้าง

“เห็นว่าอย่างนั้นนะ”

“นั่นๆ ใช่ห้องเรียนของเรารึเปล่า?”

พวกเราเดินเข้ามาในตึกที่อยู่ด้านในสุดแล้วก็ได้เห็นเพื่อนร่วมชั้นกำลังทยอยเข้าห้องกันอยู่ ซึ่งฉันเงยหน้ามองป้ายหน้าห้องแล้วก็ใช่ห้องนี้จริงๆ

“เข้าห้องกันเถอะ” ฉันพยักหน้าอย่างตื่นเต้นที่จะได้เรียนรวมกับคณะอื่น

ฉันกับอลิซเดินคล้องแขนกันตรงไปยังห้องนั้นทันที และเพียงแค่ก้าวเดียวที่เราสองคนเดินพ้นประตูห้องเข้าไป พื้นที่ฉันยืนอยู่ก็เหมือนสั่นไหวอย่างรุนแรง ฉันรู้สึกว่าตัวเองมือเย็นเฉียบใจมันเต้นรั่ว ขาที่หยุดนิ่งมันอ่อนแรงเหมือนจะล้มเสียให้ได้ ยิ่งเมื่อเห็นดวงตาคมดุที่คุ้นเคยมองตรงมาก็พาลหายใจไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ

“รักเป็นอะไร ทำไมไม่เดินล่ะ” เสียงของอลิซที่ดังแว่วเข้ามาทำให้ฉันยิ่งสั่น

ฉันก็ลืมไปว่าอลิซไม่ได้ใส่แว่นเลยมองไม่เห็นว่าภายในห้องเรียนของเรามีผู้ชายใจร้ายนั่งอยู่ในนี้ด้วย นั่นก็หมายความว่าพวกเราต้องเรียนร่วมกับพวกเขาอย่างนั้นสินะ

“หะ...หายนะ มะ...มาเยือนเราแล้วละ” เสียงของฉันที่กำลังบอกเพื่อนสั่นและตะกุกตะกักจนหน้าขำ แต่ฉันขำไม่ออกหรอกนะ

“หมายความไงรัก?” อลิซยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันบอก

“เอ่อ...” และตอนที่ฉันกำลังจะตอบกลับไป อาจารย์ประจำวิชาก็เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของพวกเราสองคนเสียก่อน

“นักศึกษาไปนั่งที่ได้แล้วค่ะ”

“ค่ะๆ” อลิซได้ยินคำสั่งแบบนั้นก็กระตุกมือฉันให้รีบเดินเข้าไปหาที่นั่ง

ตอนแรกเธอทำท่าจะเดินไปนั่งแถวหลังแต่ฉันก็รีบดึงแขนเอาไว้และรั้งให้เพื่อนนั่งแถวหน้าแทน ก็อย่างที่รู้อลิซไม่ได้ใส่แว่น แล้วยัยนี่สายตาสั้นมาก ถ้าเพื่อนรักของฉันเดินเข้าไปยังที่ๆ พวกเขานั่งอยู่รับรองอลิซต้องรีบวิ่งหน้าตั้งกลับมานั่งแถวหน้าเหมือนตอนนี้แน่นอน

“รักเป็นอะไร? ทำหน้าอย่างกับเห็นฌอนอย่างนั้นแหละ” อลิซส่ายหน้าพลางหัวเราะ มือก็ควานหาสมุดที่ไว้ใช้เลกเชอร์

“อลิซ...” ฉันครางเสียงสั่น

“ไม่จริงหรอกน่า” อลิซหยุดหัวเราะ และหยุดมองฉันทันที

ฉันก็ทำได้แค่พยักหน้าว่านั่นคือความจริง ตอนนี้รู้สึกร้อนที่กระบอกตาอยากจะร้องไห้ยังไงก็ไม่รู้

“ทะ...ทำยังไงดีล่ะ เราจะทำยังไงกันดี ฉันกลัว!” อลิซเริ่มลนลานเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นเต็มใบหน้า ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากฉันที่รู้สึกได้เลยว่าเสื้อนักศึกษากำลังเปียกชุ่มไปหมดแล้ว ทั้งๆ ที่ในห้องนี้เปิดแอร์จนเย็นฉ่ำก็ตาม

แล้วฉันก็ไม่สามารถให้คำตอบกับเพื่อนได้เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงจริงๆ จะให้หนีพวกเขา โดยไม่เข้าหรือดร๊อปเรียนเลยมันก็ไม่ได้ เพราะการเรียนมันคืออนาคตของเราสองคนเลยนะ แต่ถ้าเข้าเรียนก็ต้องเจอพวกเขา คราวนี้แหละสนุกกันเลยทีเดียว

ที่ว่าสนุกนี่ไม่ได้หมายถึงฉันกับอลิซหรอกนะ ฉันหมายถึงฌอนกับร็อคต่างหากที่สนุกน่ะ

โอ๊ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

“เอาละค่ะนักศึกษา วันนี้ครูจะขอจับคู่ให้นักศึกษาทำรายงานร่วมกัน โดยรายงานเล่มนี้จะมีกำหนดส่งในอีก1เดือนข้างหน้า”

เสียงอาจารย์ดังแทรกเข้ามาทำให้ฉันหยุดคิดเรื่องฌอนไปชั่วขณะ วิชานี้เป็นวิชาบังคับที่เป็นพื้นฐานทางวิชาการทั่วไปและฉันก็คิดว่าการทำรายงานไม่น่าจะยากอะไร อีกอย่างพาร์ทเนอร์ที่ต้องทำงานร่วมกันก็คงไม่พ้นอลิซเพื่อนแท้เพื่อนตายของฉันคนนี้นี่แหละ

“รัก...ที่อาจารย์เขาบอกว่าจะขอจับคู่ให้ นี่คืออาจารย์จะเป็นคนเลือกพาร์ทเนอร์ให้พวกเราเองเหรอ?”

“อ้าว...ฉันนึกว่าเราจะจับคู่กันเองซะอีก” ฉันพูดอย่างเสียดายและเริ่มเครียดขึ้นมา เพราะฉันไม่รู้จักหรือสนิทกับใครมากเท่ากับอลิซอีกแล้ว

ถ้าหากว่าพาร์ทเนอร์ของฉันเป็นคนอื่น เราอาจจะทำงานด้วยกันลำบากน่ะสิ ฉันมันก็พวกพูดน้อยไม่ค่อยกล้าเข้าหาใครก่อนซะด้วย

“คู่ต่อไป อลิเซีย เบรเกอร์ กับ คริษฐ์ ฮอปกินส์ ยกมือขึ้นด้วยค่ะ”

“เอ๊ะ! ชื่อนี้...” ฉันพึมพำรู้สึกคุ้นกับชื่อนี้แปลกๆ

“ครับ/ค่ะ!”

ไม่ต้องรอให้สงสัยนาน หันไปเห็นร็อคยกมือและกำลังส่งยิ้มมาให้พอดี ถ้าเป็นคนอื่นที่เห็นรอยยิ้มแสนทะเล้นกระชากใจแบบนั้นก็คงจะลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น แต่ว่าสำหรับฉันกับอลิซมันคือรอยยิ้มของซาตานร้ายที่เตรียมตะปรบเหยื่อผู้อ่อนแอต่างหาก

“ฉันตายแน่คราวนี้ ฮือ...” อลิซครางและทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้อย่างหมดแรง เบ้หน้าร้องไห้ออกมาทันที

อลิเซีย เบรเกอร์ ก็คือชื่อจริงๆ ของอลิซ เพราะเพื่อนของฉันคนนี้เป็นลูกครึ่งไทย ญี่ปุ่น อเมริกัน หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาเกือบ10ปี ครอบครัวของอลิซก็ตัดสินใจว่าจะมาตั้งรกรากที่ประเทศไทยแทนซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่ แต่มาอยู่ได้ไม่นานพ่อและแม่ก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ กอปรกับอลิซไม่มีญาติคนอื่นเลย ทำให้ถูกส่งตัวไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เดียวกับที่ฉันอยู่ ทำให้เราสองคนได้มาเป็นเพื่อนกันนับตั้งแต่นั้น

“ใจเย็นก่อนนะอลิซ ใจเย็น...” ฉันสงสารเพื่อนจับใจได้แต่กลืนน้ำลายที่มันเหนียวหนืดนี่อย่างยากเย็น บอกตามตรงว่านี่มันพล๊อตหนังสยองขวัญดีๆ นี่เอง ทุกอย่างเป็นใจเข้าข้างฆาตรกรโรคจิตให้จับเหยื่อมาทรมานได้อย่างง่ายดายชัดๆ

“คู่ต่อไป ลักษณ์นารา กิจบริบูรณ์ กับ อิงครัต สตีเฟนสันยกมือขึ้นค่ะ”

“ฮะ!...” ฉันอุทานหลังจากสิ้นเสียงอาจารย์ประกาศชื่อ

“ยกมือให้เห็นด้วยค่ะ”

บอกตามตรงตอนนี้ฉันสตั้นหูวิ้งไม่รับรู้อะไรแล้ว ร่างกายมันอ่อนแรงลงดื้อๆ ใจก็สั่นไหวด้วยความตกใจ จนมารู้สึกตัวตอนที่อลิซเป็นคนจับแขนของฉันชูขึ้น หลังจากนั้นเราสองคนก็เดินออกมาจากห้องเรียนด้วยอาการเลื่อนลอยไร้สติ

“รักเรากำลังฝันกันอยู่ใช่ไหม มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม” เสียงของอลิซคล้ายคนกำลังละเมอและไร้เรี่ยวแรง

“นั่นสิ เราต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ เลย” เสียงของฉันก็ไม่ต่างกัน มันเบาหวิวและสั่นเครือจนหน้าตกใจ

“เราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกใช่ไหม” อลิซยังคงตั้งคำถาม แม้จะรู้ว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง

ฉันรู้สึกว่าเราเหมือนคนบ้าที่หลุดออกมาจากโรงพยาบาลอย่างไรอย่างนั้น อลิซก็น่าจะสติแตกไปแล้วจริงๆ เพราะตอนนี้เธอกำลังทึ้งหัวตัวเองและร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายสายตาคนอื่น แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

“ฉันอยากตายยยย!!” ฉันคุกเข่าร่ำร้องออกมาตรงทางเดินของคณะวิศวะ

ตอนนี้ฉันไม่สนใจแล้วว่าคนอื่นจะมองว่าฉันบ้าสติไม่ดียังไง แต่ฉันทนเก็บความรู้สึกนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว การที่ต้องเผชิญหน้ากับฌอน มันคือการที่ฉันเดินเข้าไปยื่นมีดที่แหลมคมส่งให้เขาเพื่อเอามาแทงตัวเองชัดๆ มันยิ่งกว่าหายนะมหัตภัยโคตรพายุเฮอริเคนอีกนะ

“ฉันจะทำยังไงดี ฮือๆ~”

“เกะกะว่ะ!”

เสียงทุ้มที่ดูหงุดหงิดดังแทรกเข้ามาจากด้านหลัง ทำให้ฉันต้องหันไปหาที่มาของเสียง หัวใจฉันแทบหยุดเต้นรู้สึกอยากตายมันซะวินาทีนี้เลย เมื่อเห็นชายสองคนที่ฉันรู้จักหน้าคาตารวมถึงนิสัยชั่วร้ายของพวกเขาดี กำลังเดินผ่านหน้าของฉัน แม้ว่าทั้งคู่จะรูปร่างหน้าตาดีไม่น้อยหน้ากัน แต่ไม่รู้ทำไมสายตาของฉันมักจะหยุดมองเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

ฌอน...!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • BAD BABY (SEAN) : ตกหลุมรักร้าย...นายจอมโหด   BAD BABY (SEAN) บทส่งท้าย/2

    หลังจากนั้นเราก็นอนคุยกันอีกนิดหน่อย และน่าแปลกที่ฉันกลับไม่รู้สึกง่วงเลย คงเพราะยังตื่นเต้นกับงานหมั้นที่กระทันหันอยู่ละมั้ง ทำให้ตอนนี้ฉันได้แต่นอนไถไอแพดเพื่อไล่อ่านคอมเมนต์ในไอจีของตัวเองที่ฉันเพิ่งจะลงรูปงานหมั้นลงไปถึงแม้ไอจีของฉันจะเพิ่งเปิดเป็นสาธารณะเมื่อตอนไปทริปเที่ยวทะเล แต่กลายเป็นว่าผู้ติดตามไอจีกลับเพิ่มขึ้นทีเดียวหลายพันคนภายในเวลาไม่กี่วัน ส่วนคนที่ขอให้ฉันเปิดเป็นสาธารณะก็คือคนตัวโตที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ นี่แหละ โดยเขาให้เหตุผลปนน้อยใจที่เห็นไอจีส่วนตัวของฉันลงรูปคู่แค่รูปเดียวเท่านั้น ก็คือรูปที่เราถ่ายกันที่ร้านอาหารในตอนนั้น ทั้งๆ ที่ไอจีของพี่ฌอนลงรูปฉันแทบจะทุกวันในอิริยาบทต่างๆ ถ้าฉันเป็นเขาฉันก็คงน้อยใจเหมือนกัน“คนมาแสดงความยินดีกับเราเยอะเกินคาดเลยนะเนี่ย” ฉันนั่งดูข้อความพวกนั้นที่มีมากถึงห้าร้อยกว่าคอมเมนต์ รวมถึงมีคนกดหัวใจให้อีกครึ่งหมื่น“แต่ก็สู้ของพี่ไม่ได้หรอก” พูดเสร็จพี่ฌอนก็ส่งโทรศัพท์มาให้ฉันดูฉันหยิบมาดูก่อนจะตกใจที่เห็นคนกดหัวใจงานหมั้นของเราถึงสองหมื่นและคอมเมนต์อีกเกือบสองพันคอมเมนต์“เยอะมากเลยค่ะ” ฉันหันไปบอกด้วยความตกใจ ก่อนที่มือจะ

  • BAD BABY (SEAN) : ตกหลุมรักร้าย...นายจอมโหด   BAD BABY (SEAN) บทส่งท้าย/1

    หมดทริปทะเลมาหมาดๆ ฉันก็มีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่สองวัน ก่อนจะบินต่อไปอังกฤษเพื่อเยี่ยมครอบครัว ซึ่งครั้งนี้พิเศษหน่อยเพราะมีผู้ชายหน้าดุติดสอยห้อยตามไปด้วย เหตุผลก็อย่างที่รู้พี่ฌอนอยากจะไปเจอกับครอบครัวของฉันอย่างเป็นทางการและอยากจะพูดเรื่องหมั้นด้วยแต่เมื่อบินไปถึงบ้านที่อังกฤษฉันก็ถึงกับงง เมื่อเห็นว่าบ้านของตัวเองเปลี่ยนไป เพราะคนมากมายที่ไหนก็ไม่รู้เดินขวักไขว่ไปมาดูวุ่นวายไปหมด บ้างก็กำลังจัดโต๊ะ บ้างก็กำลังจัดดอกไม้ ราวกับว่าที่บ้านกำลังมีงานใหญ่ ตลอดทางที่เดินไปฉันก็คอยหันซ้ายหันขวามองตามผู้คนเหล่านั้นด้วยความอยากรู้“ทำไมเราไม่รู้เลยว่าที่บ้านจะมีงาน” ฉันพึมพำอยู่คนเดียวและยังคงมองตามคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานตรงนั้น“เดี๋ยวเข้าไปก็รู้เองนั่นแหละ” เสียงทุ้มตอบกลับ พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆฉันมองคนข้างๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ อย่างไม่ได้คิดอะไรมาก“มากันแล้วเหรอลูก” เสียงคุณแม่ดังต้อนรับทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน“สวัสดีค่ะคุณแม่” ฉันยกมือไหว้ ก่อนจะโผเข้าสวมกอดผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง“เหนื่อยไหมลูก” น้ำเสียงที่ดูห่วงใยไม่เคยเปลี่ยนจากผู้หญิงคนนี้ ทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจทุกครั้งเลย“แ

  • BAD BABY (SEAN) : ตกหลุมรักร้าย...นายจอมโหด   BAD BABY (SEAN) ตอนจบ/2 : คนนี้ขอจอง

    ฉันหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของคนขี้หวง แต่ไม่ได้นึกโกรธหรือไม่พอใจอะไร เพราะชินแล้วกับความเกินเบอร์ของแฟนตัวเอง“ดีใจด้วยนะรัก” อลิซเดินเข้ามากอดหลังจากที่ฉันผละออกจากพี่ฌอน“ขอบคุณนะ เราดีใจที่อลิซอยู่ที่นี่เวลานี้กับเรานะ” ฉันกอดอลิซแน่นเช่นกัน รู้สึกมีความสุขมากที่มีเพื่อนคนสำคัญมาอยู่ในช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ด้วยกัน“เราเองก็ดีใจที่รักมีพี่ฌอนคอยดูแลแบบนี้ เราจะได้หมดห่วงสักที”“เราเองก็อยากเห็นอลิซมีคนคอยดูแลเหมือนกันนะ” ฉันผละออกและพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนที่ใบหน้าของแวนจะปรากฎขึ้นมาในความคิด“...อลิซไม่สนใจน้องแวนบ้างเหรอ” ฉันไม่เสียเวลาเอ่ยถามออกไปตรงๆ เพราะอยากเห็นเพื่อนมีคนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างเหมือนที่ตัวเองมีในตอนนี้“ทะ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” อลิซอึกอักแถมแก้มก็แดงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย“เอ๊ะ! หรือว่าคุยๆ กันอยู่ ถ้าเป็นน้องแวนเราเชียร์เต็มที่เลยนะ”“หา! เดี๋ยวๆ…” อลิซเหมือนจะพูดอะไร แต่ฉันก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยความตื่นเต้นดีใจ“ไปเริ่มคุยกันตอนไหนเหรอ หรือว่าหลังจากที่เราทานข้าวด้วยกันวันนั้น…ต้องใช่วันนั้นแน่ๆ เลย…”“รัก คือว่า…”“ไปทานอาหารได้แล้ว เย็นหมดแล้วมั้งน่ะ!”ฉันที่ตั้งใ

  • BAD BABY (SEAN) : ตกหลุมรักร้าย...นายจอมโหด   BAD BABY (SEAN) ตอนจบ/1 : คนนี้ขอจอง

    วันนี้ได้มาร่วมเป็นศักขีพยานในงานแต่งของเพื่อนใหม่ชาวเกาหลี ที่แม้ว่าพวกเราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ในเมื่อได้รับเกียรติขนาดนี้ฉันก็ควรให้เกียรติกับเจ้าของงานด้วยเช่นกันงานแต่งถูกจัดริมทะเลยามที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงสีส้มอมชมพูแผ่ไปทั่วท้องฟ้า ราวกับว่าพระอาทิตย์ดวงนี้มาร่วมเป็นสักขีพยานให้กับความรักของคนทั้งคู่ด้วย ลมที่พัดปะทะหน้าเอื่อยๆ เย็นสบายบวกกับเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูสบายๆ เรียบง่ายและอบอุ่นผู้คนที่มาร่วมงานล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวและเพื่อนสนิทที่มาแสดงความยินดีกับคู่แต่งงานใหม่ ทุกคนมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะบ่งบอกว่าพวกเขาเองก็มีความสุขไม่น้อยไปกว่าคู่แต่งงานเลยการที่ครอบครัวจะยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเลือก ฉันคิดว่าพวกเขาก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาไม่น้อย เหมือนคู่ของฉันที่กว่าจะมาลงเอยกันได้แบบนี้ก็มีเรื่องให้เข้าใจผิดเจ็บปวดทั้งกายและใจมาไม่น้อย แต่เมื่อความจริงเปิดเผยเราได้เห็นตัวตนของกันและกัน ทุกอย่างถึงคลี่คลายในทางที่ดีแบบนี้ได้“หิวรึเปล่า? ให้พี่ไปตักอะไรให้ไหม” เสียงทุ้มคุ้นหูกระซิบถาม หลังจากที่ฉันเอาแต่เหม่อมองคู่แต่งงานใหม่อยู่นาน“ไม่ค่อยหิวเลยค่ะ” ฉันยิ้

  • BAD BABY (SEAN) : ตกหลุมรักร้าย...นายจอมโหด   BAD BABY (SEAN) 47/2 : go to the beach

    เราทั้งคู่เดินซื้อของจนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเที่ยง อาการของเลิฟก็ดูท่าจะเหนื่อยแล้ว ผมเลยพาเธอมานั่งพักที่คาเฟ่ร้านหนึ่ง ซึ่งเลิฟดูจะถูกใจมาก ด้วยบรรยากาศที่ตกแต่งด้วยดอกไม้สดสีหวาน พร้อมกับเบเกอรี่หลากหลายแบบที่ถูกจัดวางอย่างน่าทาน ทำให้คนที่คลั่งเบเกอรี่อย่างแฟนสาวของผมอดไม่ได้ที่จะแวะเข้าร้านนี้“รอพี่ที่นี่ เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บที่รถก่อน”“ค่ะ”หลังจากที่สั่งเครื่องดื่มและขนมให้เลิฟเสร็จ ผมก็เดินไปยังรถที่จอดอยู่ห่างออกไป เพราะตอนนี้ในมือของผม มันเต็มไปด้วยของมากมาย ทั้งของฝากทั้งเสื้อผ้าและของกิน จนมือไม่มีที่ว่างจะถือของเพิ่มอีกแล้ว“ช็อปเก่งจริง แฟนใครวะเนี่ย” ผมบ่นอย่างไม่จริงจัง เพราะไม่ว่าเลิฟจะต้องการอะไร ผมก็เต็มใจให้ทุกอย่างอยู่แล้วพอเก็บของใส่รถเสร็จผมก็เดินกลับมาที่คาเฟ่ แต่ก็ต้องยืนนิ่งไปรู้สึกว่าตัวเองหน้าตึงคิ้วกระตุก เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาดีสองคนกำลังนั่งพูดคุยและยิ้มให้คนของผมอยู่ อารมณ์ที่ดีมาตลอดทั้งวันต้องมาสะดุดกับภาพตรงหน้าในทันที“โอ๊ะ! พี่ฌอนมาพอดีเลย” เลิฟที่หันมาเห็นว่าผมยืนอยู่รีบกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหา“นี่ใคร?” หลังจากที่นั่งลงผมก็รีบถามออกไปเสียงแข็ง

  • BAD BABY (SEAN) : ตกหลุมรักร้าย...นายจอมโหด   BAD BABY (SEAN) 47/1 : go to the beach

    (Sean’s Talk) “ออกค่ายสนุกไหม” เพราะไม่เจอหน้ากันหลายวันความคิดถึงมันเลยมีมาก อยากจะรู้ว่าคนตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง แม้ว่าเราจะโทรคุยกันทุกวันก็ตาม“สนุกค่ะ แต่ก็เหนื่อยด้วย” สีหน้าสดใสกับรอยยิ้มกว้างเป็นเครื่องยืนยันในคำตอบได้เป็นอย่างดี“สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมยิ้มพลางเอื้อมมือไปจับแก้มนุ่มๆ ของเธอเล่นไปด้วย“ค่ะ เลิฟคิดว่าปีหน้าก็จะมาออกค่ายอาสาอีก” ใบหน้าเล็กเอียงหน้าซบบนฝามือของผมด้วยท่าทางออดอ้อน“ใครอนุญาต?” รู้ดีท่าทางที่เธอกำลังทำใส่ผมอยู่ตอนนี้คืออะไร คงอยากจะให้ผมใจอ่อนให้เธอไปน่ะสิ แต่คนอย่างผมแค่อ้อนนิดอ้อนหน่อยแล้วจะสำเร็จดั่งใจหวังละก็คิดผิดแล้วล่ะ“ฮือ พี่ฌอนขอเลิฟไปเถอะนะ หรือเราสองคนไปด้วยกันก็ได้” เลิฟเริ่มต่อลองดูท่าเธอคงจะติดใจค่ายอาสาเข้าแล้วจริงๆ“ขอคิดดูก่อนแล้วกัน” ผมวางท่าไปอย่างนั้นเองแหละ เพราะถ้าวันนั้นมาถึงผมคงไม่ยอมปล่อยให้เลิฟไปคนเดียวอีกแน่การที่ต้องห่างจากเธอทำให้ผมรู้สึกโหวงเหวงและเหงามาก แค่ได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์มันไม่พอสำหรับผมจริงๆ จนก่อนวันที่เลิฟจะเดินทางกลับผมทนต่อไปไม่ไหวต้องลากไอ้เพื่อนรักให้มันมาช่วยผมขับรถ เพราะระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย พอฟังม

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status