และแล้วก็ถึงเวลาส่งตัวเจ้าสาวและเจ้าบ่าวเข้าเรือนหอ คิระทุ่มเงินหลายร้อยล้านซื้อเพนท์เฮาส์หรูใจกลางเมืองเอาไว้เป็นเรือนหอของลูกชายและนาเนียร์ การตกแต่งผสมผสานระหว่างตัวตนคิรันและนาเนียร์
“ขอให้ทั้งสองคนรักกันนานๆ หนักนิดก็เบาก็ให้อภัยกันนะ ตอนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว รักน้องมากๆ นะคิรัน”
“ฝากน้องด้วยนะคิรัน ใจดีกับน้องเยอะๆ ตอนนี้ชีวิตน้องเป็นของแกแล้วครึ่งนึง ดูแลน้องดีๆ” คิระพูดแล้วมองลูกชายที่ทำหน้าเบื่อโลกเต็มทน “คิดซะว่าคิรันเป็นบ้านอีกหลังนะนาเนียร์ ถ้ามันแกล้งอะไรมาฟ้องพ่อได้”
นาเนียร์ยิ้มบางๆ ให้คิระ พลางเหลือบมองคิรันเพียงนิด ก่อนจะดึงสายตากลับไปมองผู้ใหญ่สองคนตรงหน้า ตอนนี้ทั้งคู่เปรียบเสมือนครอบครัวของเธอไปแล้ว ส่วนคนข้างๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร ขอเพียงไม่แกล้งเธอเหมือนตอนเด็กๆ ก็พอ
“มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองเลยนะเฮีย”
คิรันตวัดสายตามองครินทร์ผู้เป็นน้องชาย ครินทร์ยืนพิงกรอบประตูแล้วยิ้มอย่างขำๆ
หลังจากส่งตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเสร็จสรรพ ทั้งหมดก็แยกย้ายกลับปล่อยให้ทั้งสองได้พักผ่อน นาเนียร์รู้สึกกังวลเมื่อทุกคนกลับ การกระทำของคิรันในงานแต่งทำให้เธอไม่อยากอยู่กับเขาตามลำพัง
“สมใจเธอแล้วสินะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นทำให้นาเนียร์หันกลับไปมองคิรันที่ยืนพิงกรอบประตู สีหน้าไม่บอกอารมณ์แต่แววตาเย้ยหยันอย่างปิดไม่มิด
“สมใจอะไรคะ”
“อยากแต่งงานกับฉันจนตัวสั่น”
“หนูไม่เคยอยากแต่งงานกับพี่คิรัน” เธอตอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่เคยมีความคิดนั้นในหัวเลยสักนิด ถึงแม้ว่าอยากจะหลุดพ้นจากป้าแต่หากรู้ตั้งแต่แรกว่าคนที่ต้องแต่งงานด้วยเป็นคิรัน เธอยอมอยู่บ้านหลังนั้นอย่างเดิมดีกว่า
“ถ้าไม่อยากแต่งงานกับฉัน ทำไมถึงไม่ปฏิเสธไปตั้งแต่แรก?”
“ถ้าหนูรู้ว่าเจ้าบ่าวเป็นพี่คิรัน หนูคงทำไปนานแล้ว”
มุมปากหยักผุดรอยยิ้มเล็กๆ เมื่อได้ยินประโยคนั้น คนตัวโตก้าวเข้าไปใกล้จนทำให้นาเนียร์ที่ยังคงอยู่ในชุดเจ้าสาวถอยออกห่างตามสัญชาตญาณ
“พะ…พี่คิรันจะทำอะไรคะ”
“พ่อแม่ส่งเราเข้าหอ เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรล่ะ”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ คิรันไม่รอให้นาเนียร์แผ่นหลังชนอะไรสักอย่างเหมือนฉากนรกในนิยายรัก มือหนาคว้าเอวบางแล้วจัดการกระตุกจนร่างบางเซถลาเข้ามาหา
หมับ!
“อ๊ะ!” กลิ่นน้ำหอมจางๆ จากตัวเขาผสานกลิ่นเหล้าบางเบาทำให้เธอใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ตอนเด็กๆ เธอคิดว่าโตขึ้นนิสัยเขาคงดีขึ้นบ้าง ทำไมยิ่งโตยิ่งเลวไปเรื่อยๆ กัน
“ไม่คิดว่าโตขึ้นแล้วเธอจะสวยขนาดนี้” ก้านนิ้วลูบไล้กรอบหน้ารูปไข่ที่สวยละมุนไร้ที่ติของนาเนียร์ สายตาคมกริบพิศมองคนตรงหน้าอย่างร้ายกาจ “แต่เสียดายที่ความสวยของเธอ…มันลบภาพยัยอ้วนฟันเหยินไม่ได้เลย”
“เมื่อไหร่จะเลิกว่าหนูแบบนั้นสักที!”
“หึ! กล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเหรอ?”
“พี่คิรันพูดจาไม่ดีกับหนูก่อน” คำก็อ้วนฟันเหยิน สองคำก็อ้วนฟันเหยิน เมื่อไหร่เขาจะหยุดพูดตัดความมั่นใจคนอื่นเสียที “หนูไปทำอะไรให้นักหนา ทำไมพี่คิรันถึงใจร้ายกับหนูขนาดนี้”
“ร้องไห้? เหอะ! ยัยขี้แย”
“หนูก็คนเหมือนกันนะ…” น้ำเสียงอ่อนหวานเริ่มสั่นเครือ ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้คิรันรู้สึกผิดกับคำพูดตัวเอง ยิ่งอีกคนร้องไห้แสดงความอ่อนแอยิ่งได้ใจ
“เบื่อหน้าเธอว่ะ จะไปไหนก็รีบไป” สุดท้ายเขาก็ต้องยอมคลายมือออกจากแขนนาเนียร์ เพราะน้ำตาของยัยเด็กเหลือขอนั่นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด จำเสียงร้องไห้ยัยนี่ตอนเด็กๆ ได้ดี แม่งโคตร…น่ารำคาญ
นาเนียร์ในชุดเจ้าสาวยืนทอดสายตามองออกไปยังวิวนอกระเบียงเพนท์เฮาส์หรูราคาหลายร้อยล้าน เสียงลมหายใจผ่อนออกมาเบาๆ ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่าน มือเล็กจับกระจกใสเอาไว้ เธอคิดว่าหลุดพ้นจากป้าแล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า…แย่ลงกว่าเดิม
“คิดถึงพ่อกับแม่จัง” เธอยืนพึมพำตามลำพัง สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวมากมาย ตอนนี้พวกท่านจะเป็นยังไงบ้างนะ…
จู่ๆ น้ำตาก็รินไหลอาบสองพวงแก้มใส ชีวิตเธอทำไมบัดซบขนาดนี้ หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ เธอเม้มปากแน่น ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากแก้มลวกๆ แล้วเดินกลับเข้าไปข้างใน
ร่างบางหยุดชะงักอย่างครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรร่วมห้องกับคนใจร้ายอย่างคิรันหรือเปล่า เธอเดินเข้าไปในห้องที่ผู้ใหญ่ส่งตัวเข้าเรือนหอ สายตามองหาคิรันที่ไม่ได้อยู่ข้างในห้องนี้ เธอลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำเพราะรู้สึกเหนียวตัวเหลือเกิน
มือเล็กเอื้อมไปเปิดประตูห้องน้ำแล้วก้าวเข้าไป หากแต่กลับต้องผงะเมื่อเห็นคนที่ตัวเองคิดว่าคงออกไปข้างนอกกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าในสภาพ…มีผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวพอหมิ่นเหม่ เผยให้เห็นซิกซ์แพ็กที่เรียงตัวกันสวยงาม ฟ้องว่าอีกคนนั้นออกกำลังกายมาอย่างสม่ำเสมอ
ไหล่แกร่งมีผ้าขนหนูผืนเล็กไว้เช็ดผมที่เปียก มือหนาที่กำลังขยี้ผมชะงักเมื่อเห็นคนไร้มารยาทเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
“ขะ…ขอโทษค่ะ หนูนึกว่าพี่คิรันไม่ได้อยู่ในห้องน้ำ” เธอพูดอย่างละล่ำละลัก ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินออกไปจากห้องน้ำอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่ร้อนผะผ่าว
คิรันในสภาพเดิมเดินตามออกมา มุมปากหยักได้รูปกรีดยิ้ม กลิ่นหอมของสบู่อาบน้ำที่ลอยผ่านจมูกรั้นทำให้นาเนียร์ยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก เธอไม่แม้แต่จะหันกลับไปหาเขาด้วยซ้ำ
“เป็นคนแบบนี้เองเหรอ”
“หนูไม่ได้เป็นพวกโรคจิตนะ แค่…ไม่รู้ว่าพี่คิรันอาบน้ำอยู่” เธอตั้งใจเข้าไปอาบน้ำแต่ดันไปเห็นภาพเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แถมยังอยู่ในสภาพพันแค่ผ้าขนหนูผืนเดียว
ร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้นาเนียร์มากขึ้นจนกลิ่นสบู่ยิ่งชัดเจนทำให้คนตัวเล็กยืนใจสั่น เธอไม่แม้แต่จะกล้าหันไปมองคิรัน สีหน้าของเขาตอนนี้คงดูสะใจที่ได้แกล้งเธออีกครั้ง
ไม่น่าเลย…
“ฉันจะนอนห้องนี้ ส่วนเธอไปนอนอีกห้อง” เขาบอกนาเนียร์เสียงเรียบ แต่งงานด้วยหนึ่งปีพอทน หากจะให้เขานอนเตียงเดียวกับยัยเด็กเหลือขอนี่หนึ่งคงไม่ไหว เขาเป็นคนหวงแหนพื้นที่ส่วนตัวเป็นอย่างมาก ยากมากที่จะแบ่งพื้นที่ส่วนตัวให้ใครง่ายๆ หากคนนั้นไม่สำคัญด้วยจริงๆ
“ค่ะ” ดีเหมือนกันที่เขาเสนอมาแบบนี้ เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยากนอนห้องเดียวกับเขาเท่าไรนัก
นาเนียร์มายังอีกห้องที่ตัวเองต้องใช้นอนเป็นระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จสรรพจึงเดินมานั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เธอจัดการทาสกินแคร์ทุกอย่างเพื่อเตรียมเข้านอน วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแถมก่อนวันงานแต่งยังนอนไม่ค่อยหลับ จบงานรู้สึกเหนื่อยบวกเพลียไม่ใช่น้อย
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เธอคว้ามาดูว่าใครโทรมา เบอร์แปลกไม่คุ้นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นสูง ก่อนจะกดรับสายด้วยความอยากรู้ว่าใครโทรมา
“ฮัลโหล…”
(เขาให้เงินมึงเท่าไร เอามาแบ่งกูด้วย)
เสียงนี้ชัดเจนเลยว่าเป็นใคร…ป้าของเธอ
แต่น่าแปลกทำไมป้าถึงใช้เบอร์แปลกโทรมา คงคิดว่าหากใช้เบอร์ตัวเองเธออาจจะไม่รับสายก็เป็นไปได้ ซึ่งนั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว
“หนูไม่ได้เลยสักบาทป้า”
(มึงอย่ามาตอแหล! ไอ้คนที่มันมาสู่ขอมึงก็บอกอยู่ว่าจะให้เงินรับขวัญมึงเป็นลูกสะใภ้ บอกกูมาตรงๆ มึงได้กี่ล้าน!)
“หนูไม่ได้จริงๆ ป้า” เธอไม่รู้จะบอกยังไงให้ป้าเชื่อ แต่คนอย่างคงไม่มีทางเชื่อเธอง่ายๆ อย่างแน่นอน
(มึงอย่ามาโกหก! รีบโอนเงินมาให้กู อย่าลืมนะว่าใครเลี้ยงมึงมาจนได้ผัวรวย!) น้ำเสียงกราดเกรี้ยวผ่านปลายสายมาอย่างไม่ไว้หน้า
“หนูเหนื่อยแล้ว แค่นี้นะป้า”
(ทีตอนอยู่กับกูมึงไม่เคยเหนื่อย! กูเลี้ยงมึงมา จะเอาคืนแค่นี้มึงยังจะงกอีกเหรอ!)
เธอหลับตาลงอย่างพยายามข่มกลั้นอารมณ์ มือข้างหนึ่งกำชายเสื้อชุดนอนแน่นอย่างเผลอตัว
“ป้าคิดว่าป้าเลี้ยงหนูเพราะอะไร เพื่อหวังให้หนูโตขึ้นแล้วส่งเงินให้ตลอดชีวิตเหรอ?”
(แล้วไม่จริงรึไง! ถ้ากูไม่เอามึงมาเลี้ยง มึงก็คงไปขอทานอยู่ข้างถนนแล้ว! มึงอย่าคิดนะว่ามีผัวรวยแล้วจะเหยียบหัวกูได้…!)
นาเนียร์ตัดสายจากป้าอย่างไร้เยื่อไย ที่ผ่านมาเธอทนมามากพอแล้ว ในเมื่อหลุดพ้นออกมาได้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแคร์อะไรนอกจากตัวเอง
เธอเหนื่อยแล้ว…