ฟุ่บ!
ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงโซฟาตัวสีดำราคาแพงด้วยอารมณ์หงุดหงิดเต็มพิกัด อีกสามวันเขาต้องเข้าพิธีแต่งงานกับยัยเด็กเหลือขอนั่นจริงๆ แล้วสินะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน
แต่งงาน…
คำนี้หลอนอยู่ในหัวจนไม่เป็นอันทำอะไร ขนาดนอนยังนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดเรื่องนี้ พ่อเขาคิดอะไรอยู่
คำสาบาน?
ไม่แต่งงานครอบครัวจะมีอันเป็นไป?
สำหรับเขาแม่งโคตรไร้สาระเลยสิ้นดี แต่ถ้าไม่ยอมแต่งงานกับยัยเด็กเหลือขอนั่น พ่อก็จะไม่ยอมโอนคาสิโนให้เป็นของเขา ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังจะโดนตัดออกจากกองมรดกอีกต่างหาก
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา” เขาขยับริมฝีปากบอกเจ้าของเสียงเคาะประตูอย่างห้วนๆ ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก เขาไม่ได้หันไปมองว่าใครเข้ามา แต่ฟังน้ำเสียงที่ทักทายก็พอเดาได้
“กูเห็นมึงไม่ตอบไลน์ ก็เลยมาหาที่นี่” ไรอันพูด พลางหย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามคิรัน
“ทะเลาะกับเมีย?”
“โดนไล่ออกมา”
“เหอะ! ถ้าไม่ทะเลาะกับเมียพวกมึงก็คงไม่เห็นกูอยู่ในสายตา” เขาพูดอย่างตัดพ้อ แต่จริงๆ ไม่ได้คิดอะไร ตั้งแต่พวกมันมีเมียเป็นตัวเป็นตนก็หายหัวไปในรูกี
“ดีเหมือนกัน ไม่เห็นหน้ามึงตั้งอาทิตย์นึงแล้ว”
“สัส”
“มีเหล้าไหม”
“ไปหามาแดกเอาเอง” น้ำเสียงเย็นชาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่คราวนี้มันปนด้วยความรำคาญอย่างชัดเจน
ไรอันยกยิ้มอย่างไม่สนใจนัก แต่แอบสังเกตท่าทางของเพื่อนสนิทวันนี้ดูแปลกไป ปกติไม่หน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้ หลังจากมองสังเกตสักพักจึงตัดสินใจขยับริมฝีปากถาม
“เป็นไรวะ”
“หงุดหงิดนิดหน่อย”
“หงุดหงิดกู?”
“ถ้าจะมากวนตีนกูก็ไสหัวกลับไป กูไม่มีอารมณ์จะเล่นกับมึง” เห็นไรอันเป็นหมอที่ดูนิ่งขรึมแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วนี่แหละ คือตัวตนของมันเวลาอยู่กับเพื่อน สรุปแล้วการมาของมันทำให้เขาหงุดหงิดหนักกว่าเดิม “อีกสามวันกูจะแต่งงาน”
“ห๊ะ!!” คุณหมอหนุ่มอุทานดังลั่นห้องทำงานของเพื่อนสนิทอย่างแทบไม่เชื่อหู เสือผู้หญิงอย่างคิรันนะเหรอกำลังจะแต่งงานในอีกสามวัน
บ้าไปแล้ว…
“เออ มึงฟังไม่ผิดหรอก”
“มึงไปทำใครท้องมาวะ”
คิรันตวัดสายตามองไรอันอย่างไม่สบอารมณ์
“ตั้งแต่มึงมีเมียดูพูดมากขึ้นเยอะดีเนอะ”
“เมียกูเป็นคนช่างพูด”
“มึงก็เลยช่างพูดเหมือนเมีย?”
ไรอันไหวไหล่เบาๆ ก่อนจะขยับริมฝีปากถามในสิ่งที่สงสัย
“แล้วสรุปมึงจะแต่งงานกับใคร”
“ลูกสาวเพื่อนพ่อกู”
“เพื่อนพ่อมึง…อ้าวก็พ่อกูนิ” สิ่งที่ไรอันพูดทำให้คนที่หงุดหงิดอยู่ถึงกับถอดถอนหายใจออกมาหนักๆ ด้วยความเอือมระอา
“ลูกสาวลุงนวคุณ เพื่อนพ่อกูตั้งแต่สมัยไหนไม่รู้ ไม่รู้ว่าพ่อมึงรู้จักไหม”
“น่าจะไม่ ไม่เคยได้ยินพ่อกูบอกว่ามีเพื่อนชื่อนี้” คราวนี้ไรอันตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “ทำไมจู่ๆ มึงจะได้แต่งงานวะ”
“พ่อกูกับลุงนวคุณสาบานอะไรกันไว้ก็ไม่รู้ ถึงขั้นใช้เลือดประดับบนกระดาษ กูต้องแต่งงานตอนลูกสาวเขาอายุยี่สิบปี ถ้าไม่แต่งครอบครัวจะทำอะไรไม่ขึ้น ถึงขั้นล้มละลายอะไรทำนองนั้น ซึ่งกูมองว่าไร้สาระ”
รุ่นพ่อแต่งงานกับแม่เพื่อไม่ให้เกิดสงคราม
รุ่นลูกแต่งงานเพื่อลบล้างคำสาบาน เจริญพร….
“ไม่เชื่อก็อย่าลบลู่ ของแบบนี้เรามองไม่เห็นด้วยตา”
คิรันถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบปลายกระบอกไว้ในปากแล้วใช้ไฟแช็คลนจนควันสีเทาคลุ้งกระจายปนกลิ่นเหม็นฉุน
“สรุปมึงต้องแต่ง?”
“ไม่แต่งพ่อกูก็ไม่ยอมโอนคาสิโนนี้ให้เป็นของกู แถมยังจะตัดกูออกจากกองมรดก”
“กูว่ารอบนี้ลุงคิระเอาจริง”
“กูไม่อยากแต่งงาน ต่อให้แค่หนึ่งปีก็ตาม” เขายังไม่พร้อมผูกมัดตัวเองไว้กับใครไม่ว่าสถานะไหน ชีวิตชายโสดตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนไปเป็น…สามีของยัยเด็กเหลือขอ
“แต่งงานหนึ่งปีเหรอวะ กูว่าไม่นานนะ”
“สำหรับกูแม่งโคตรนาน”
“เอาน่าแต่งๆ ไปเหอะ คิดซะว่าซ้อมมีเมีย” ไรอันพูด สายตาพลางมองเพื่อนสนิทที่ยังคงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์เช่นเคย “แต่ระวังจะตกหลุมรักเมียชั่วคราว จนมึงไม่อยากแต่งงานกับใครอีกเลยก็ได้”
ประโยคนั้นทำเอาคิรันเลื่อนสายตามามองไรอันทันที ก่อนจะดึงกลับไปมองอย่างอื่นพลางอัดนิโคตินในก้านบุหรี่เข้ามาเต็มปอด ยิ่งฟังไรอันพูดยิ่งหงุดหงิด สิ่งที่มันพูดไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ไม่มีทาง…
“พูดแล้วก็อยากเห็นหน้าตาเจ้าสาวของมึง ไม่รู้ว่าเป็นฝันร้ายของเธอรึเปล่าที่มาเจอคนอย่างมึง”
“ฝันร้ายของกูมากกว่า”
“ยังไงวะ”
“ยัยนั่นทั้งขี้เหร่ ฟันก็เหยินแถมยังอ้วนเหมือนโอ่ง ถึงตอนเข้าหอเตียงกูคงหัก” แค่ลองจินตนาการช่วงเวลาเข้าเรือนหอกับยัยเด็กเหลือขอนั่นก็ขนลุกซู่แล้ว เขายกบุหรี่ขึ้นมาดูดตรงปลายกระบอกอีกครั้ง ปล่อยให้นิโคตินช่วยทำให้อารมณ์หงุดหงิดที่ก่อเกิดขึ้นมาบรรเทาลง
ณ ร้านอาหาร
นาเนียร์กลับมาถึงร้านอาหารหลังจากส่งอาหารเสร็จ ร่างบางเดินเข้าไปภายในร้านพลางถอดแมสก์ลายคิตตี้ออก ดวงตากลมโตคู่สวยมองเจ้าของร้านแล้วยื่นเงินที่ได้รับมาให้
“ค่าอาหารค่ะเจ้”
“ทำไมเขาให้แกเยอะจัง ไปส่งอาหารหรือไปรับงานเสริมมาด้วยล่ะ” เจ้าของร้านรับเงินมาพร้อมกับพูดแดกดันนาเนียร์เหมือนเคย สายตาที่มองหญิงสาวดูไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก ที่รับนาเนียร์เข้าทำงานก็เพราะสามีเอ็นดู
“หนูไม่ได้รับงานเสริมค่ะเจ้” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพอย่างแก้ต่างให้ตัวเอง ภรรยาเจ้าสัวไม่ชอบหน้าเธอตั้งแต่ไหนแต่ไร พาลพูดเสียๆ หายๆ ให้อยู่บ่อยครั้ง ที่ทนก็เพราะที่นี่ให้เงินเดือนเยอะ บางวันเธอต้องแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจปล่อยผ่านทั้งที่ลึกๆ รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
“เดี๋ยว”
นาเนียร์ที่กำลังเดินออกไปหยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าของเสียงเรียกเมื่อครู่แล้วขานรับตามมารยาท
“คะเจ้”
“พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ”
หัวใจดวงน้อยหล่นวูบเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ทะ…ทำไมคะ”
“ช่วงนี้เศรษฐกิจที่ร้านไม่ค่อยดี ร้านเลยมีนโยบายต้องลดจำนวนพนักงานลง แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ เจ้าสัวใจดีให้เงินเดือนเดือนนี้เธอเต็มจำนวน พร้อมกับโบนัสเล็กๆ น้อยๆ”
“…” เธอพูดอะไรไม่ออก ประโยคนั้นของภรรยาเจ้าของร้านไม่ต่างอะไรจากการ ‘ไล่ออกทางอ้อม’ เธอรู้ดีว่าภรรยาเจ้าสัวไม่ชอบเพราะคิดว่าเจ้าสัวชอบเธอ ในร้านเธอโดนใช้งานหนักกว่าพนักงานคนอื่นทั้งที่เงินเดือนเท่าเดิม
ภรรยาเจ้าสัวบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี จริงๆ ฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้างในการไล่เธอออกมากกว่า ร้านอาหารนี้ลูกค้าเยอะตลอดไม่เว้นแม้กระทั่งวันธรรมดา เธอมองไปรอบๆ ร้านที่แน่นทุกโต๊ะ
นี่หรือเศรษฐกิจไมีดี…
“วันนี้ขอบใจมากนะ ฉันให้เธอกลับก่อนเวลาเลิกงานได้”
“เจ้คะ…” ริมฝีปากสีระเรื่อเอ่ยเรียกภรรยาเจ้าสัวเสียงแผ่วเบา “หนูทำอะไรผิดเหรอคะ ทำไมถึงไล่หนูออก”
“ฉันบอกเธอชัดเจนแล้วนะ ไม่ได้ไล่ออก แค่ต้องการลดจำนวนพนักงานลง” ภรรยาเจ้าสัวเอียงคอมามองนาเนียร์เพียงนิดแล้วตอบเสียงเรียบ ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
นาเนียร์แทบอยากร้องไห้ออกมาตอนนี้ ลูกค้ากลุ่มนึงที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ชนไหล่เล็กเต็มๆ ราวกับเธอเป็นธาตุอากาศ แม้กระทั่งคำขอโทษยังไม่ได้รับ จนต้องเป็นฝ่ายพาตัวเองออกไปจากตรงนี้