“ไหนพ่อมึงบอกว่าจะมีเศรษฐีมาแต่งตอนมึงอายุยี่สิบ เมื่อไหร่! เมื่อไหร่มันจะมาแต่งมึงสักที!” เสียงของ วรรณี ผู้เป็นป้านั่งพูดด้วยท่าทางหัวเสีย ในขณะที่หลานสาวที่ต้องคอยเป็นสถานที่รองรับอารมณ์อยู่เรื่อยมากำลังยืนล้างจานเงียบๆ
นาเนียร์ เม้มปากแน่น ก้มหน้าก้มตาล้างจานโดยไม่เถียงคนเป็นป้าสักคำเพราะกลัวโดนตีเหมือนทุกครั้ง ถึงแม้การแต่งงานตอนอายุยี่สิบจะเร็วไป แต่อย่างน้อยมันคงดีหากนั่นพาเธอออกไปจากบ้านหลังนี้ได้
เธอมาอาศัยอยู่กับป้าตั้งแต่อายุสิบสอง พ่อแม่บอกว่าอยู่กับป้าจะปลอดภัยมากกว่าอยู่กับพวกท่าน ตอนนั้นเธอยังเด็กเลยเชื่อ พวกท่านแวะเวียนมาหาทุกสัปดาห์ เมื่อก่อนป้าดูแลเธอดีดั่งเจ้าหญิง ไม่ให้ทำงานบ้านงานเรือน ไม่โขกสับ ไม่ตี และไม่ด่า ตั้งแต่พ่อแม่เธอตายไปป้าก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ใช้งานเธอราวกับทาส ทั้งตีและทั้งด่าสารพัดอย่าง
ไม่แปลกใจหากป้าจะเปลี่ยนไป เมื่อก่อนพ่อแม่ให้เงินป้าไม่ขาดมือ หลังจากพวกท่านเสีย เหตุผลที่ป้ายังดูแลเธอต่อเพราะหวังมรดกและเงินสินสอด
“พ่อแม่มึงไม่บอกรึไงว่ามรดกจะได้ตอนไหน”
“หนูไม่รู้ค่ะป้า”
“อย่าให้กูรู้นะว่ามึงแอบอุบอิบเงินไว้คนเดียว ถ้ารู้กูจะตีมึงให้ตายเลย!” วรรณีพูดแบบนี้กับนาเนียร์ทุกวัน โชคดีที่วันนี้เหล้ายังไม่เข้าปาก ไม่อย่างนั้นนาเนียร์คงโดนตีด้วยไม้เรียวไปแล้ว
หลังจากนาเนียร์ล้างจานเสร็จก็มากวาดบ้านต่อ ส่วนป้าก็นอนเขี่ยโทรศัพท์เล่นอยู่โซฟาอย่างสบายใจ คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเห็นโต๊ะรกไปด้วยเปลือกของเมล็ดแตงโมที่ป้าแกะกินแล้วทิ้งไม่เป็นที่เป็นทาง เธอย่อตัวแล้วใช้มือกวาดเปลือกเมล็ดแตงโมลงที่ตักขยะ
“ไอ้ทีมกลับมาจากโรงเรียนรึยัง”
“ยังค่ะป้า” เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทีม เป็นลูกชายของป้า ตอนนี้เรียนอยู่ม.6แล้ว ในบ้านหลังนี้คนที่ดีกับเธอที่สุดเห็นทีจะเป็นทีมมากกว่า
วรรณีไม่พูดต่อ นอนเขี่ยโทรศัพท์เล่นต่อปล่อยให้หลานสาวทำงานบ้านต่อไป ผ่านไปไม่นานเสียงของเด็กหนุ่มชื่อทีมก็ดังขึ้น
“กลับมาแล้ว”
“เรียนเป็นไงบ้างลูก” น้ำเสียงของวรรณีที่เอ่ยถามลูกชายแตกต่างจากตอนพูดคุยกับนาเนียร์ลิบลับ
“ก็ดีครับ” ทีมวางกระเป๋าลงโซฟา ก่อนจะเดินไปแย่งไม้กวาดจากมือนาเนียร์มากวาดพื้น
“ไปทำช่วยมันทำไม” วรรณีพูดขึ้นอย่างไม่พอใจที่เห็นลูกชายเข้าไปช่วยนาเนียร์ทำงานบ้าน “ปล่อยมันทำๆ ไปคนเดียว ส่วนทีมก็ขึ้นไปตากแอร์เย็นๆ ข้างบนดีกว่าลูก”
“บ้านเรา เราก็ต้องทำสิครับ”
“ไม่เป็นไรทีม เดี๋ยวพี่ทำเอง” เธอไม่อยากมีปัญหากับป้าเลยพยายามแย่งไม้กวาดจากมือทีมมา แต่ทีมกลับไม่ยอมคืนให้ เดินกวาดไปรอบๆ บ้าน แววตาป้าตอนนี้ที่มองมาทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าไม่รอดแน่
“ทำไมแกปล่อยลูกชายฉันให้ทำห๊ะนังนาเนียร์! ลูกชายฉันเรียนกลับมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาช่วยแกทำงานบ้านอีกเรอะ!”
“พอได้แล้วแม่ อายข้างบ้านเขา” ทีมหันไปบอกคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ แต่ละวันแม่หาแต่เรื่องมาด่านาเนียร์ วันไหนกินเหล้ายิ่งหนักเลย บางวันข้างบ้านถึงขั้นเดินมาบอกว่าให้เบาๆ เสียงลงหน่อย แม่ไม่พอใจทีไรก็ไปลงกับนาเนียร์ตลอด
“หึ้ย! แล้วมึงจะยืนบื้ออยู่ทำไมเล่า! ก็ไปทำอย่างอื่นเส้!” ทีมเป็นคนเดียวที่วรรณีไม่กล้าหือด้วย เป็นลูกชายคนเดียวที่รักมากจนไม่กล้าด่าหรือตี แต่กลับมีนิสัยแตกต่างจากคนเป็นแม่โดยสิ้นเชิง
“ค่ะป้า” นาเนียร์รีบเดินออกไปทำอย่างอื่นต่อ ส่วนวรรณีก็แตะเมล็ดแตงโมกินต่อด้วยอารมณ์หงุดหงิดแต่ทำอะไรมากไม่ได้เพราะลูกชายกลับมาแล้ว
“เถียงสักคำก็ได้พี่เนียร์ ยิ่งเงียบแม่ยิ่งได้ใจ” ทีมที่เดินตามนาเนียร์มาหลังบ้านเอ่ยอย่างเห็นใจ ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นนาเนียร์ต่อปากต่อคำแม่ตัวเองเลย ไม่ว่าแม่เขาจะทำอะไรทางนี้ก็ยอมไปหมดจนดูน่าสงสาร
“พี่มาอยู่บ้านป้า ไม่กล้าเถียงเจ้าของบ้านหรอกทีม”
“แม่ก็โขกสับพี่เกินไป ทำอย่างกับไม่ใช่หลานตัวเอง อีกอย่างพี่ทั้งทำงานหาเงิน ทำงานบ้าน ทำทุกอย่างจนแทบจะไม่ใช่คนอยู่แล้ว แม่ก็ยังไม่เลิกกดขี่พี่” ที่ผ่านมาถ้าเขาเห็นแม่รังแกนาเนียร์ก็จะคอยช่วยเสมอ
ชีวิตของนาเนียร์น่าสงสารยิ่งกว่านางเอกละครไทย หากพ่อแม่นาเนียร์ยังอยู่ ชีวิตคงสุขสบาย ได้เรียนมหาลัยดีๆ ทำตามความฝันไปนานแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกทีม” ถึงปากบอกแบบนั้นแต่ข้างในไม่ไหวแล้ว เธอทนอยู่ที่นี่เพราะป้าไม่ยอมปล่อยเธอไปไหน ต่อให้โดนโขกสับเยี่ยงทาสเธอก็ต้องยอมอย่างเดียว
Kiran Casio
“บัตร” การ์ดหน้าคาสิโนขอบัตรเข้ากับนาเนียร์ที่ถือถุงอาหารเต็มไม้เต็มมือ ใบหน้าสวยหวานสวมใส่แมสก์ลายคิตตี้น่ารักปกปิดความเหนื่อยล้า
“คุณสิงห์ค่ะ” คนรับออเดอร์บอกว่าให้มาส่งอาหารกับคนชื่อนี้ พอเธอบอกไปการ์ดหน้าทางเข้าก็มองหน้ากัน ก่อนที่อีกคนจะหยิบบางอย่างขึ้นมาปั๊มตรงข้อมือเธอ
“คุณสิงห์อยู่ชั้นVIP เข้าลิฟต์แล้วกดขึ้นไปชั้นนั้นได้เลย”
“ค่ะ” เธอตอบรับ ก่อนจะเดินเข้าไปภายในคาสิโนหรูหราแห่งนี้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาราวกับหลุดมาอีกโลกนึงเลยก็ว่าได้
ผู้คนแต่งตัวดูดีมีระดับ เธอที่เข้ามาไม่ต่างจากแกะดำทันที ทุกสายตาจับจ้องมายังเธอราวกับตัวประหลาดจนรู้สึกประหม่า เธอรีบมองหาลิฟต์อย่างไม่รีรอ เมื่อเข้ามาแล้วก็กดไปยังปุ่มที่มีคำว่า ‘VIP’
ไม่แปลกที่จะโดนมอง เธอแต่งตัวธรรมดาในชุดพนักงานร้านอาหาร ถือถุงอาหารที่นำมาส่งให้ลูกค้า แถมยังใส่แมสก์ลายคิตตี้ที่ชอบเป็นการส่วนตัว เสียง ติ๊ง ของลิฟต์เปิดออก
ชั้นนี้แตกต่างจากข้างล่างโดยสิ้นเชิง…
ดูเงียบสงบ การตกแต่งดูหรูหราสวยงาม แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นอายของความมีอำนาจแฝงอยู่ เธอกระชับถุงอาหารในมือ สายตามองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าควรเริ่มเดินไปทางไหนดี ก่อนจะพบว่ามีใครบางคนกำลังเดินมาพอดี
“เอ่อ ขอโทษนะคะ”
กึกก
เจ้าของฝีเท้าที่กำลังเดินไปอีกทางหยุดชะงัก สายตาคมกริบปรายมองเจ้าของเสียงเรียกเมื่อครู่นิ่งๆ
“คือหนูมาส่งอาหารให้คนชื่อสิงห์ พอจะรู้ไหมคะว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“ไอ้สิงห์ มึงสั่งอาหารเหรอ” เสียงที่ดูมีพลังอำนาจเอ่ยครั้งเดียว เจ้าของชื่อก็เดินออกมาทันที
“ครับ ผมสั่งอาหารมาเอง”
“คราวหน้าคราวหลังอย่าปล่อยให้คนนอกขึ้นมาข้างบนอีก” คิรันเอ่ยอย่างเด็ดขาดกับลูกน้องคนสนิท ก่อนจะเดินผ่านหน้าเจ้าของแมสก์ลายคิตตี้ โดยไม่วายสายตาคมเข้มคู่นั้นจะเหลือบมอง เพราะไม่เคยเห็นผู้หญิงใส่แมสก์ลายการ์ตูนปัญญาอ่อนนี่เท่าไร
แต่กลิ่นน้ำหอมนั่น…ทำไมถึงหอมจังวะ
นาเนียร์เหล่สายตามองคนตัวสูงกว่าแล้วยิ้มใต้แมสก์ให้จนตาหยี แต่อีกคนกลับเมินเฉยแล้วเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงแต่กลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่ชวนให้ผู้หญิงใจสั่น
“อะ นี่ค่าอาหาร แล้วรีบลงไปได้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวหนูทอน…” เธอรับแบงก์ห้าร้อยมาและเตรียมควักเงินออกมาทอนให้ลูกค้า
“เอาไปเถอะๆ คิดซะว่าเป็นทิป”
“เหลือตั้งสองร้อยกว่าบาทเลยนะคะ”
“เอาไปเลยๆ รีบไปเถอะ” สิงห์ ที่เป็นลูกน้องคนสนิทคิรันบอก ตนก็ลืมกำชับร้านอาหารไปว่าให้ฝากการ์ดหน้าคาสิโนเอาไว้ เพราะเจ้านายของเขาไม่ชอบให้คนนอกขึ้นมาเพ่นพ่านบนนี้