นาเนียร์กลับถึงบ้านเร็วกว่าปกติ ร่างบางถอดรองเท้าผ้าใบสีขาวที่เปื้อนเล็กน้อยไว้หน้าบ้าน ก่อนจะเดินเท้าเปล่าที่สวมใส่ถุงเท้าเข้าไปข้างใน และสิ่งที่เธอกังวลมาโดยตลอดทางกลับบ้านก็เกิดขึ้น
“ทำไมวันนี้มึงถึงกลับบ้านเร็ว” วรรณียืนกอดอกมองนาเนียร์อย่างจับผิด
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำใจก่อนถึงบ้านแล้วว่าจะบอกป้าเรื่องไม่ได้ทำงานร้านอาหาร ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไงเธอพอเดาได้อยู่บ้าง
“หนู…หนูไม่ได้ทำงานที่ร้านเจ้าสัวแล้วนะป้า”
“อะไรนะ?” สิ่งที่นาเนียร์พูดออกมาทำให้วรรณีเลิกคิ้วขึ้นสูง หัวใจเต้นรัวเพราะโทสะกำลังทำงาน คนเป็นป้าเดินเข้าไปใกล้หลานสาวที่ไม่ยอมมองหน้าและถอยออกห่างตามสัญชาตญาณ “เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะนาเนียร์”
“ป้า…” เธอเรียกป้าเสียงแผ่ว เมื่อเห็นป้าเดินไปหยิบไม้เรียวที่เคยชอบใช้ตีเธอเป็นประจำมา เสียงฟาดกลางอากาศทำให้เธอรู้สึกเจ็บรอทั้งที่มันยังไม่ต้องปะทะลงผิวกาย
“มึงไม่ได้ทำงานกับเจ้าสัวแล้ว หมายความว่ายังไง”
“เมียเจ้าสัวบอกว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทางร้านเลยมีนโยบายลดจำนวนพนักงานลง เมียเจ้าสัวเลยเลือกปลดหนูออกจากการเป็นพนักงาน” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเพราะกลัวโดนป้าตี ลึกๆ เธอก็แอบหวังว่าป้าจะเข้าใจ แต่กลัวป้าเข้าใจเป็นอย่างอื่นมากกว่าเนี่ยสิ…
“ร้านเจ้าสัวออกจะขายดิบขายดีขนาดนั้น ไม่มีหรอกเศรษฐกิจไม่ดี มึงโกหกกูใช่ไหมห๊ะ! ไม่ใช่ที่เมียเขาไล่มึงออก มึงไปอ่อยผัวเขาหรอกนะ!” วรรณีไม่พูดเปล่า เริ่มใช้ไม้เรียวฟาดเข้าที่ขานาเนียร์จนเป็นรอยแดง
“โอ๊ยป้า! หนูเจ็บ” เธอพยายามวิ่งหนีแต่กลับโดนป้าจับแขนเอาไว้แล้วตีซ้ำๆ เจ็บจนร้องไห้ “ป้าหนูเจ็บฮึก พะ…พอแล้วป้า”
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหมให้ทำงานหาเงินมาให้กู! ไม่ใช่ไปอ่อยผัวเขาจนเขาไล่มึงออก ต่อไปนี้มึงจะเอาเงินที่ไหนมาให้กูห๊ะ!!”
“เดี๋ยวหนูหางานใหม่นะป้าฮือ~”
“แม่!!” เสียงทีมดังขึ้น เด็กหนุ่มพุ่งเข้าไปช่วยนาเนียร์จนพลอยโดนลูกหลง จึงทำให้คนเป็นแม่ยอมหยุด ใบหน้าของวรรณีแดงก่ำด้วยความโกรธปนพิษสุราที่ดื่มเข้าไป “แม่ตีพี่เนียร์อีกแล้วนะ”
“หลีกไปทีม แม่จะสั่งสอนมันให้หลาบจำ กูให้มึงไปทำงานไม่ใช่ไปอ่อยผัวเขาอีเนียร์!” ประโยคหลังวรรณียกมือข้างที่ถือไม้เรียวชี้หน้าว่านาเนียร์จนเสียงหลง
“พอได้แล้วแม่ อายข้างบ้านเขาหน่อย”
“ไม่อาย! ถ้ามันไม่ทำงานแล้วเราจะเอาอะไรกินทีม ไหนจะค่าเทอมแกอีก”
“แม่ก็ไปทำงานบ้างสิ ทำไมต้องให้พี่เนียร์ทำงานงกๆ อยู่คนเดียวด้วย ส่วนค่าเทอมทีมทำพาร์ทไทม์เอาก็ได้ ไม่เห็นต้องเดือดร้อนคนอื่นให้ทำงานหาเงินให้ใช้เลย”
“ไม่ได้! มันมาอาศัยบ้านเราอยู่ มันก็ต้องทำงานหาเงินให้เราสิทีม”
“ทำไมตรรกะแม่แปลกอย่างนี้ ที่ผ่านมาพ่อแม่พี่เนียร์ให้เงินเรามาตั้งเท่าไร แต่แม่ก็เอาไปเล่นการพนัน ไปกินเหล้า เลี้ยงเพื่อนแม่จนหมด พอพ่อแม่พี่เนียร์ตายก็ไล่พี่เขาไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง ทีมว่าแม่ทำเกินไปว่ะ”
วรรณีเถียงไม่ออก คนเดียวที่ทำให้วรรณียอมได้มีแค่ลูกชายเท่านั้น วรรณีรักพ่อทีมมาก แต่เลิกรากันไปนานแล้วเพราะวรรณีทำตัวเองล้วนๆ อีกอย่างทีมคล้ายสามีหลายอย่างทั้งหน้าตาและนิสัย นั่นเลยทำให้ตัวเองกลัวเสียลูกชายไปอีกคน วรรณีกำไม้เรียวแน่นจนสั่น ก่อนจะทิ้งลงพื้นอย่างฝืนใจ
“มึงรีบไปหางานทำเลยนะอีเนียร์ อีกสามวันถ้ามึงยังไม่ได้งาน กูจะส่งมึงไปทำงานที่บาร์ฝรั่ง” วรรณีทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกไปด้วยอารมณ์โกรธเต็มพิกัด
นาเนียร์ยืนร้องไห้ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยจากไม้เรียวและความเจ็บปวดจนหยุดร้องไห้ไม่ได้ ทีมพานาเนียร์ไปทายาเหมือนทุกครั้ง
“เจ็บไหมพี่เนียร์”
“จะ…เจ็บ”
ทีมมองนาเนียร์ด้วยความสงสาร นิ้วเรียวยาวบรรจงทายาบนรอยไม้เรียวที่แม่ตัวเองใช้ตีอย่างไม่ออมแรง ทุกการสัมผัสลงบาดแผลทำให้เจ้าของร่างกายพลันสะดุ้งตามด้วยความแสบ
“รอบนี้มีเลือดออกด้วย” ทีมพูดเสียงสั่น สายตามองแผลบนขานาเนียร์ ถึงไม่ใช่พี่น้องที่คลานตามกันออกมาจากแม่คนเดียวกัน แต่เขาก็รักนาเนียร์ไม่ต่างจากพี่สาวแท้ๆ พ่อแม่นาเนียร์ดีกับเขามากเหลือเกิน บุญคุณของทั้งสองเขาไม่เคยลืมเลย เขาคอยปกป้องนาเนียร์เท่าที่คนๆ นึงจะทำได้
“พี่อยากไปจากที่นี่”
“เป็นผมก็อยากไปเหมือนกัน”
“ฮึก ป้าไม่เคยเชื่อพี่เลย”
“แต่ผมเชื่อพี่เสมอนะ”
นาเนียร์มองทีมทั้งน้ำตา ยังคงยืนยันคำตอบเดิม คนเดียวในบ้านหลังนี้ที่ดีกับเธอก็คือทีม
“ทีมก็โดนเหมือนกัน เจ็บไหม ทาให้ตัวเองบ้าง”
“แค่นี้จิบๆ” ทีมตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“มาเดี๋ยวพี่ทาให้” เธอแย่งยาจากมือทีมมา ก่อนจะทาให้ทีมอย่างระวังเพราะกลัวน้องชายเจ็บ
เมื่อไหร่โลกใบนี้จะใจดีกับเธอบ้างนะ…
วันต่อมา
นาเนียร์ออกมาหาสมัครงานท่ามกลางแดดที่แทบเผาให้ไหม้เกรียม วันนี้อากาศร้อนกว่าทุกวัน ร่างบางเดินเข้าร้านนั้นทีร้านนี้ที ทุกร้านต่างให้กรอกใบสมัครทิ้งเอาไว้ ซึ่งเธอก็เข้าใจว่าคงไม่ได้ทำงานเร็วๆ นี้ และอาจโดนป้าพาไปฝากให้ทำงานที่บาร์ฝรั่งก่อนอย่างที่ลั่นปากพูดเมื่อวาน
“มาสมัครงานเหรอ”
“อือ ให้กรอกใบสมัครทิ้งไว้”
“ดูเด็กมาก อายุเท่าไร”
“เห็นบอกยี่สิบ”
“ดูเด็กมาก จะทำอะไรเป็นเหรอ” เสียงพนักงานร้านแห่งหนึ่งซุบซิบกันขณะที่นาเนียร์กำลังกรอกใบสมัครงานในระยะเผาขน
นาเนียร์จับปากกาแน่น ก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบกรอกประวัติทุกอย่างให้เสร็จเพื่อออกไปจากตรงนี้
หลังจากกรอกใบสมัครเสร็จสรรพก็เดินออกมาท่ามกลางแดดจ้า ร่างบางเดินในร่มหาร้านต่อไปเพื่อเข้าไปสมัครงาน เธอปาดน้ำตาให้กับความขมขื่นของชีวิต ในเวลาเหนื่อยๆ เธอมักคิดถึงหน้าพ่อแม่ก่อนเสมอ
ทำไมชีวิตเหนื่อยแบบนี้…
เธอตัดพ้อกับตัวเองในใจขณะกำลังเดินไปเรื่อยๆ ไร้ทิศทาง สายตาเหลือบไปเห็นสะพานแม่น้ำก็เกิดความคิดไม่ดีเข้ามาในหัว หากตัดสินใจกระโดดลงไปตอนนี้เพื่อจบทุกอย่าง…เธอจะมีความสุขกว่านี้ไหมนะ
ภาพในหัวเริ่มจินตนาการตอนกระโดดลงไปเพื่อจบทุกปัญหา ทั้งที่ในความเป็นจริงเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม
‘ทุกปัญหามีทางออกเสมอนะลูก’
เสียงของพ่อดังแทรกเข้ามาในความคิดที่ไม่ดี เธอเบือนใบหน้าไปจากสะพานแล้วเดินหน้าต่อ พ่อแม่คงไม่อยากให้เธอทำแบบนั้น พวกท่านคงอยากเห็นเธอเดินไปข้างหน้าและประสบความสำเร็จ
บางที…ความสำเร็จอาจรอเธออยู่ที่ไหนสักแห่ง แค่ยังเดินไปไม่ถึง
เธอจะทำให้พวกท่านภูมิใจ…
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ของนาเนียร์ดังขึ้นในกระเป๋าสะพาย เธอหยิบมันออกมาแล้วกดรับสายเจ้าของเบอร์ที่คุ้นเคย
“ขาพี่นุช”
(เย็นนี้ว่างไหม พอดีคนทำความสะอาดขาดน่ะ พี่เลยอยากให้เนียร์มาช่วยชั่วคราว)
“ได้สิคะพี่นุช” เธอตอบรับทันทีด้วยความดีใจ
(โอเคจ้า เดี๋ยวพี่ส่งโลไปให้ในไลน์นะ)
“ค่ะพี่นุช” โลกที่มืดมนค่อยๆ กลับมาสว่างอีกครั้ง เธอยกมือปาดน้ำตาออกด้วยความดีใจ
วันนี้โลกใจดีกับเธอแล้ว…
เธอเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ก่อนจะเดินหน้าต่อด้วยความสุขที่เพิ่มเข้ามาเกือบเต็มหลอด อากาศที่เคยบ่นว่าร้อนตอนนี้กลับลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว เธอมีความสุขจนลืมเรื่องเลวร้ายไปหมดสิ้น